คลื่นสัตว์อสูรในอาณาจักรลับทำให้ผู้บ่มเพาะของแคว้นกลาง และทุกคนคิดว่าหายนะมาเยือนแล้ว พลังมารน่ากลัวพวยพุ่งออกจากอาณาจักรลับ นั่นเป็นสัญญาณของการตื่นขึ้นของมารร้าย เหนือสิ่งอื่นใด บันทึกภายในอาณาจักรลับบอกว่ามันคือสถานที่ที่อาวุธมารถูกผนึกไว้
พวกเขาสงสัยว่าผนึกกำลังจะแตก?อาวุธมารจะฟื้นคืนอิสรภาพ แล้วจะเข่นฆ่าทุกสิ่งมีชีวิต?
ผู้บ่มเพาะนับไม่ถ้วนตัวสั่น และความตื่นตระหนกก็เกาะกุมหัวใจพวกเขา แต่หลังรอสักพัก พวกเขาก็ตระหนักว่าไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ตรงกันข้าม พลังมารจากอาณาจักรลับดูเหมือนจะอ่อนลงทุกชั่วขณะ มันราวกับอาวุธมารที่กำลังจะถูกปลดปล่อยโดนใครบางคนผนึกไปใหม่
นี่ทำให้เกิดความวุ่นวาย!
บ้างสงสัยถึงความถูกต้องของบันทึกที่ทิ้งไว้ แต่มันก็เต็มไปด้วยลางร้ายจริง มีซากโบราณ เมืองที่ล่มสลายและซากศพอยู่ทั่ว
พวกเขาไม่อาจหาข้อผิดพลาดในบันทึกได้เลย!
สุดท้าย หลายคนก็ได้ข้อสรุปเดียวกัน’คุณชายจากอาณาจักรเบื้องบนลงมาอาณาจักรเบื้องล่างเพื่อผนึกอาวุธมาร!’
ผู้บ่มเพาะหลายคนเห็นคุณชายจากอาณาจักรเบื้องบนเข้าอาณาจักรลับ และก็ออกไปประมาณครึ่งเดือนให้หลัง ซึ่งเป็นตอนที่พลังมารเริ่มปะทุจริง มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ผู้บ่มเพาะรู้สึกขอบคุณคุณชายกู่กันมากพอคิดได้แบบนี้ และยังสร้างรูปปั้นคุณชายจากอาณาจักรเบื้องบนเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาด้วย
แน่นอน กู่ฉางเกอไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าเขารู้ เขาคงหัวเราะจนหายใจไม่ทัน ความสามารถการคิดไปเองของคนพวกนี้ช่างเหลือเชื่อ
ตอนนี้ เขากับเฒ่าหมิงและคนอื่นกำลังเตรียมมุ่งหน้ากลับอาณาจักรเบื้องบน
[ฮึ่ม!]
รังสีแสงสว่างส่องไปทั่วและอุโมงค์มิติก็เปิดตรงหน้าพวกเขา ในเวลาเดียวกัน สิ่งก่อสร้างคล้ายวังโบราณก็เผยตัว
“นี่คือวิธีที่เราจะไปอาณาจักรเบื้องบน?”
ซูชิงเกอกับหลินชิวหานตกใจกับฉากตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่พวกนางเห็นอะไรแบบนี้ มันต่างจากที่จินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง พวกนางคิดว่าพวกเขาจะรอยแยกในอากาศ ประสบกับหายนะ และทะยานขึ้นเหมือนผู้บ่มเพาะคนอื่นในอดีต
พวกนางไม่คิดเลยว่าอุโมงค์มิติจะเปิดต่อหน้าพวกนางโดยตรง ราวกับมันมีอยู่เพื่อกู่ฉางเกอ
“นี่คือศาลเจ้าของตระกูลกู่ที่จะรับผิดชอบพานายน้อยกลับไปอาณาจักรเบื้องบน มันสามารถท่องผ่านโลกนับหมื่นได้ และฉีกผ่านมิติไปทุกที่ในจักรวาล”
เฒ่าหมิงอธิบายให้ทั้งสองฟัง
“มันสามารถท่องผ่านโลกนับหมื่น ฉีกผ่านมิติ และไปได้ทุกที่ในจักรวาล..”
ซูชิงเกอตกใจ กู่ฉางเกอไม่เคยอธิบายสิ่งนื้ให้นางฟังมาก่อน และแค่บอกว่านางจะเข้าใจเองพอถึงเวลา
สำหรับเทพเสมือน การฉีกสิ่งกีดขวางระหว่างอาณาจักรเบื้องล่างกับเบื้องบนถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ ส่วนการเดินทางผ่านมิตินั้นจะเป็นไปไม่ได้
ในทางกลับกัน วิธีนี้กลับไม่ใช่
“ตระกูลของคุณชายต้องน่าทึ่งมาก…”
หลินชิวหานเองก็ตกใจและทำได้แค่ยืนนิ่งมองฉากเหนือหัวนาง
เฒ่าหมิงเห็นด้วยกับนาง
ตระกูลเซียนโบราณกู่ วังเต๋าอมตะสวรรค์ ราชวงศ์เซียนสูงสุด และตระกูลเซียนโบราณเย่..เหล่านี้คือขุมอำนาจใหญ่ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอาณาจักรเบื้องบน มีบ้างที่เทียบได้กับพวกเขา แต่ไม่มีใครก้าวแซงพวกเขาได้
ด้วยพลังแบบนี้ พวกเขาย่อมมีประวัติศาสตร์ยืนยาวเบื้องหลัง เวลานับหมื่นปีที่ผ่านมาไม่ได้เปล่าประโยชน์ พวกเขาเก่าแก่จนไม่มีใครบอกได้ว่าจุดเริ่มต้นคือที่ใด
แถม เขาได้ยินมาว่าหลายพันปีก่อน ตระกูลกู่ได้มีส่วนร่วมในสงครามที่ทำให้เกิดความตายไปทั่วรัศมีล้านลี้ มันไม่สามารถประเมินจำนวนอาณาจักรเบื้องล่างที่โดนทำลายได้ในช่วงยุคนั้น สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนจากอาณาจักรเบื้องล่างมากมายตกตายจากผลพวงของการปะทะ
นั่นบ่งชี้ได้ว่าพวกเขาน่ากลัวแค่ไหน(แม้จะบอกว่ามี 3000 อาณาจักรเบื้องล่างขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีสามพันเป๊ะๆในแต่ละอาณาจักร สามพันแค่ใช้เพื่ออธิบายจำนวนมากมหาศาล)
“ตาแก่ผู้นี้แค่โชคดีในตอนนั้น และพบผู้อาวุโสจากตระกูลของนายน้อยเข้า ไม่งั้น ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้ข้าจะไปขุดเหมืองอยู่มุมไหนของอาณาจักรเบื้องบน”
คำพูดของเฒ่าหมิงทำให้ซูชิงเกอกับหลินชิวหานตกใจ
เขกำลังขุดเหมือง?
บรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลหลินโบราณ บุคคลในตำนานของอาณาจักรเบื้องล่างกลับตกต่ำขนาดนั้นในอาณาจักรเบื้องบน?ไม่น่าแปลกที่ทุกสิ่งมีชีวิตของอาณาจักรเบื้องล่างจะไม่ต่างอะไรจากมดต่อหน้าคนของอาณาจักรเบื้องบน
กู่ฉางเกอดูแลพวกนางเป็นพิเศษมาก!
หลังจากนั้น เฒ่าหมิงก็อธิบายต่อ”นายน้อยคือทายาทของตระกูลเซียนกู่ แค่ศาลเจ้านี่จะนับเป็นอะไร?พวกเจ้าต้องรู้ว่าตัวตนของนายน้อยคือจุดสูงสุดของอาณาจักรเบื้องบนแล้ว ไม่เพียงเขาจะเป็นทายาทของตระกูลเซียนกู่ แต่เขายังเป็นศิษย์แท้จริงของวังเต๋าอมตะสวรรค์ และอาจกลายเป็นผู้สืบทอดของพวกเขาเช่นกัน ด้วยตัวตนทั้งสองนี้ ไม่มีใครจะทรงเกียรติไปกว่านายน้อยแล้ว”
“พวกเจ้าถือว่าโชคดีมากที่นายน้อยยอมรับ มีสตรีสูงศักดิ์นับไม่ถ้วนในอาณาจักรเบื้องบนที่ปรารถนาจะอยู่ข้างกายนายน้อย แต่ก็โดนเมิน…”
“พวกเจ้าอย่าทำอะไรให้นายน้อยไม่พอใจเข้าละ”
โดยธรรมชาติ เขาต้องเป็นคนอธิบายทั้งหมดนี้ให้พวกนางฟัง เพราะนายน้อยของเขาคงไม่มาอธิบายเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เอง
มันต้องเป็นคนอย่างเขา
ซูชิงเกอกับหลินชิวหานตกใจ และอดพยักหน้าถี่ยิบไม่ได้ราวกับไก่กำลังจิกข้าวกิน ย้อนกลับไปในอาณาจักรเบื้องล่าง พวกนางรู้สึกว่ากู่ฉางเกอยิ่งใหญ่แล้ว และคงไม่เกินจริงที่จะบอกว่าเขาเป็นตัวตนสูงสุด แต่ตอนนี้..พวกนางกลับพูดไม่ออก
โดยเฉพาะซูชิงเกอที่ได้รับผลกระทบหนักสุด นางเริ่มฟื้นคืนชิ้นส่วนความทรงจำผ่านวิญญาณที่สองของนาง และทั้งหมดก็มีความรู้เกี่ยวกับอาณาจักรเบื้องบนอย่างคลุมเครือ นางดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับอาณาจักรเบื้องบน และกำลังมองหาโอกาสที่จะบอกกู่ฉางเกอเรื่องนี้
“ไปกัน อีกไม่นานเราก็คงถึงตระกูล”
จากนั้น กู่ฉางเกอก็เปิดปากและพูดกับหญิงสาวทั้งสอง ในเวลาเดียวกัน เขาก็ก้าวนำเข้าไปในศาลเจ้า
[ฮึ่ม!]
ไม่ช้า ทุกคนก็เข้าไปและศาลเจ้าก็เข้าอุโมงค์มิติซึ่งปิดตัวลงหลังมันหายไป ถ้ามองจากภายนอก พวกเขาจะพบว่ามันคือการเดินทางผ่านความมืดมิดของห้วงมิติด้วยความเร็วสูง มันฉีกผ่านความว่างเปล่ารอบมันและเคลื่อนไปใจกลางอาณาจักรเบื้องบน
กู่ฉางเกอมองคลื่นอากาศปั่นป่วนด้านนอกศาลเจ้าและเรียบเรียงความทรงจำของอาณาจักรเบื้องบนในหัว
อาณาจักรเบื้องบนกว้างใหญ่มาก ในความคิดเขา มันเหมือนการรวมอาณาจักรขนาดเล็ก ขนาดใหญ่และดาวเคราะห์มากมายไว้ด้วยกัน ใจกลางของอาณาจักรเบื้องบนคือสถานที่ที่เจริญอย่างมาก มีตระกูลโบราณ นิกายโบราณและหลายเผ่าอาศัยร่วมกัน
ซึ่งแต่ละเผ่า และนิกายก็จะมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล อาณาจักรนับไม่ถ้วนและดาวเคราะห์ไว้ใต้ปกครอง
…
ตอนนี้ พวกเขาได้มาถึงอาณาจักรเบื้องบนแล้ว แค่ว่าอยู่แถวรอบนอก และกฏโลกแสนน่ากลัวก็พยายามกดทับพวกเขา โลกมากมายเข้าใกล้และขับไล่กันเพื่อสร้างพื้นที่โกลาหลที่สามารถกำจัดผู้บ่มเพาะได้ง่ายๆ
นี่คือเหตุผลว่าทำไมการทะยานจากอาณาจักรเบื้องล่างถึงไม่ง่าย มีแค่ตัวตนที่แข็งแกร่งมากหรือมีสมบัติเช่นนี้ถึงสามารถเดินทางผ่านอุปสรรคของโลกหลายโลกได้
พวกเขาผ่านโลกมากมายจนเข้าใกล้ใจกลางของอาณาจักรเบื้องบน ทุกโลกที่ผ่านล้วนเป็นอาณาจักรที่ระดับสูงกว่าอาณาจักรเบื้องล่างอย่างอาณาจักรฟ้าครามของพวกเขา
ในความคิดของกู่ฉางเกอ โลกเหล่านี้เหมือนอาณานิคม
พวกยักษ์ใหญ่ในใจกลางอาณาจักรเบื้องบน เช่นตระกูลเซียนกู่ ตระกูลเซียนเย่จะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร และมีขุมอำนาจมากมายภายใต้
แต่ละขุมอำนาจเหล่านั้นมีอาณานิคมของตนเป็นอาณาจักรและดาวเคราะห์มากมาย และนี่ทำให้คนของอาณาจักรเบื้องบนมองว่าอาณาจักรเบื้องล่างไม่ต่างกับกลุ่มมด
ภูมิหลังกับตัวตนตัดสินความต่างระหว่างคน
แน่นอน โลกโบราณหลายแห่งในใจกลางของอาณาจักรเบื้องล่างก็มีฝักฝ่ายของตน
‘ปกติพวกพระเอกต่างก้าวข้ามทีละโลกกว่าจะไปถึงอาณาจักรเบื้องบน แต่น่าเสียดาย ข้าอยู่จุดสูงสุดอยู่แล้ว!’
กู่ฉางเกอรู้สึกพอใจมากตอนคิดถึงจุดเริ่มของเขา ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ ภูมิหลัง ฐานบ่มเพาะ หรืออะไร เขาสูงสุดในทุกด้าน!
แถม การเดินทางของเขาไปอาณาจักรเบื้องล่างยังเต็มไปด้วยกำไร เขาวางแผนจะย่อยพวกมันทันทีที่กลับบ้าน
..
[ในเวลาเดียวกัน ในเมืองเซียนสูงสุดของราชวงศ์เซียนสูงสุด]
ในบานะราชวงศ์เซียนที่เก่าแก่สุดของอาณาจักรเบื้องบน ราชวงศ์เซียนสูงสุดมีรากฐานที่ไม่สั่นคลอนตั้งแต่อดีต มันปกครองหลายดินแดน และลือกันว่าราชวงศ์เซียนสูงสุดคือราชวงศ์แรกของอาณาจักรเบื้องบน
ภายในโถงหรูหรา หญิงสาวหน้าตางดงามสวมชุดคลุมสีทองยืนกอดอกอยู่ ชุดคลุมตัวหลวมของนางพริ้วสะบัด แต่ไม่อาจปกปิดเรือนร่างที่ทำให้ขากรรไกรของชายหนุ่มตกได้
ผมของนางนุ่มสลวยเหมือนสายน้ำ
แม้นางจะไม่พูด และใบหน้าก็ดูไม่แยแส แต่ก็สามารถรู้สึกได้ถึงพลังน่ากลังจากนาง นางดูเหมือนยืนอยู่เหนือทะเลดวงดาว มันราวกับว่านางกำลังถือดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ไว้ในมือ
ทุกอย่างเกี่ยวกับนางคือ’ความยิ่งใหญ่!’
นางคือเจ้าหญิงสี่ของราชวงศ์เซียนสูงสุด เยวี่ยหมิงคง
“ท่านพี่ ท่านควรยอมสละตำแหน่งเจ้าชายรัชทายาทได้แล้ว”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในเวลาเดียวกัน นางก็มองผู้ชายที่นั่งอยู่บนพื้นต่อหน้านางอย่างไร้อารมณ์ เสนาบดีหลายคนยืนรอบชายหนุ่มด้วยสีหน้าต่างกัน ครั้งนี้ ทั้งหมดต่างเหงื่อแตก และไม่กล้าส่งเสียง
ในเวลาแค่ครึ่งปี เจ้าหญิงของพวกเขาใช้วิธีการน่ากลัวมากมายเพื่อล้มพี่ชายนาง ซึ่งเป็นอดีตเจ้าชายรัชทายาท ทุกก้าวที่นางเดินล้วนสมบูรณ์แบบจนพวกเขาสั่นสะท้านไม่ได้
นางโดดเด่นจากราชวงศ์เซียนมากมายอดชมนางไม่ได้
นางทำให้ทุกคนยอมรับว่านางเป็นผู้หญิงที่ไม่ด้อยกว่าชายใด
ในราชวงศ์ ที่ผู้อ่อนแอโดนดูถูกและลิขิตให้โดนกำจัด มีหลายคนชื่นชมนาง เหนือสิ่งอื่นใด พรสวรรค์ของเจ้าหญิงสี่เหนือกว่าใคร และนางก็ก้าวหน้าเกินพี่น้องนาง
นางจะเป็นจักรพรรดินีไร้ผู้ต้านในอนาคต!
นี่คือความคิดของเหล่าเสนาบดี
“เอาตัวพี่ชายของข้าออกไปซะ..”
เยวี่ยหมิงคงสั่งการอย่างไม่แยแส
“ข้าจะเป็นองค์หญิงรัชทายาทนับจากนี้ไป!มีเพียงข้าถึงสามารถเป็นจักรพรรดินีแห่งราชวงศ์เซียนสูงสุดได้!”
“ไสหัวไป!”
เปลือกตาของเยวี่ยหมิงคงลดลง และความดูถูกก็ปรากฏบนหน้านางพอนางพูดจบ ทำให้คนรอบตัวนางรู้สึกกดดัน เหล่าเสนาบดีตัวสั่นและรู้สึกว่าหัวใจเต้นกระหน่ำขณะที่รีบถอยห่างออกไป
แม้นางจะเป็นผู้หญิง อำนาจของนางก็ทำให้พวกเขาสั่นกลัว
“อีกครึ่งปี”
“เจ้าควรกลับจากอาณาจักรเบื้องล่างแล้วสินะ?คู่หมั้นแสนรักของข้า…”
เยวี่ยหมิงคงพึมพำกับตัวเอง แม้คำพูดนางจะเต็มไปด้วยความลุ่มหลง แต่ดวงตานางกลับหนาวเหน็บมาก..