ตอนที่ 97 แผนของเยวี่ยหมิงคง
ใบหน้าของเย่หลิวลี่แดงจากคำพูดเขาและนางก็ตอบ”พี่ใหญ่ ท่านพูดไร้สาระอะไร?ทำไมข้าต้องไปคิดถึงเขา?ข้าแค่อยากรู้ ยังไงเขาก็คืออัจฉริยะสูงสุดระดับเดียวกับท่าน!”
“ข้าได้ยินว่าเขาบดขยี้เจ้าชายราชวงศ์เซียนฉู่ได้สบายและยังทะลวงไปอาณาจักรจักรพรรดิขั้นกลางแล้ว พลังของเขาน่ากลัวมาก!”
แม้คำพูดนางจะฟังเหมือนคำอธิบายชั้นดี แต่เย่หลางเทียนจะพลาดความหมายเบื้องหลังได้ไง?
นางแค่ถามว่าเขาคิดเห็นอย่างไรกับกู่ฉางเกอ?
นางไม่สามารถปกปิดความคิดนางได้ผ่านลูกไม้ตื้นๆนี้!
เย่หลางเทียนอดส่ายหัวไม่ได้ขณะมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเย่หลิวลี่ เขาคิดไม่ออกว่านางไปเจอกับกู่ฉางเกอในอาณาจักรเบื้องล่างได้ไง และลงเอยเช่นนี้ เขาได้ยินบางรายละเอียดของเรื่องจากป้าเสวี่ยเกี่ยวกับว่าเย่หลิวลี่ตอแยกู่ฉางเกอยังไง และว่ากู่ฉางเกอทำให้นางขอโทษเขาโดยไม่ทำให้นางอับอายมากเกินไป
หรือเย่หลิวลี่จะลืมเขาไม่ลงเพราะเรื่องนั้น?
เย่หลางเทียนครุ่นคิด”ข้าเองก็ได้ยินเกี่ยวกับกู่ฉางเกอมามาก เขาคืออัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่สุด โลกเรียกพี่ว่าจักรพรรดิโบราณกลับชาติมาเกิด แต่เขาถูกเรียกว่าเซียนแท้จริงกลับชาติมาเกิด จักรพรรดิโบราณ กับเซียนแท้จริง..ฉายาเหล่านี้ห่างกันมากโข..”
เหล่าจักรพรรดิโบราณคือตัวตนยิ่งใหญ่ที่สร้างดินแดนให้ตัวเอง ขยายดินแดน รวมความมั่งคั่ง และก่อตั้งราชวงศ์สูงสุดที่ยืนหยัดมาหลายยุคสมัย แต่มีแค่เซียนแท้จริงถึงเป็นที่บูชาในหมู่เซียน และเกียรติเช่นนี้ก็มากกว่าจักรพรรดิโบาณ
แม้ทั้งสองฉายาจะดูยิ่งใหญ่ แต่ก็ต่างชั้นกันมากโข
เย่หลางเทียนเข้าใจเรื่องนี้ดี
แถม กู่ฉางเกอได้ทะลวงไปอาณาจักรจักรพรรดิขั้นกลางแล้ว ส่วนเขาเพิ่งทะลวงผ่านไปอาณาจักรจักรพรรดิขั้นต้น ช่องว่างระหว่างพวกเขาไม่เล็ก
เย่หลิวลี่ตกใจกับคำตอบของเย่หลางเทียน แม้กระทั่งพี่ใหญ่ของนางก็ยังคิดเช่นนี้ กู่ฉางเกอต้องน่ากลัวกว่าที่นางคิด!
พอความคิดนี้แวบผ่านหัวนาง นางก็นึกถึงฉากของเทพโบราณที่ปรากฏด้านหลังกู่ฉางเกอ และนั่นก็เพิ่มความกลัวของนาง
เย่หลางเทียนไม่มีเวลาสังเกตสีหน้าแปลกๆของเย่หลิวลี่ ตอนนี้ เขากำลังยุ่งกับการส่ายหัวและคิดว่าเขาต้องแข่งขันกับกู่ฉางเกออย่างไรในอนาคต เขาเองก็เป็นอัจฉริยะสูงสุด เขาจึงต้องแข่งขันกับคนอื่นไม่ช้าก็เร็ว เขาไม่กลัวการท้าทายใดที่อาจมาหาเขา
“นายน้อย เด็กหนุ่มที่ชื่อเย่หลิงมาอีกแล้ว เขาอยากท้าท่านเพื่อสร้างชื่อให้ตัวเอง และเขาก็ได้รวมคนจำนวนมากในลานฝึกยุทธ์”
จากนั้น เสียงข้ารับใช้ก็ดังด้านนอกวัง เย่หลางเทียนที่กำลังคุยกับเย่หลิวลี่ขมวดคิ้ว
“เย่หลิง?ใคร?คนจากตระกูลสาขากล้าดียังไงถึงมาท้าทายพี่ใหญ่?”
เย่หลิวลี่แปลกใจกับคำพูด
เย่หลางเทียนคือนายน้อยตระกูลกู่ และยังไม่ได้ออกไปสร้างชื่อให้ตัวเองเลย แต่มันก็เป็นความจริงที่เขามีอำนาจ ใครจะมากล้าท้าเขา?
คนคนนั้นไม่อยากมีชีวิตอีกแล้วหรือไง?
เย่หลางเทียนตอบคำถามของเย่หลิวลี่ด้วยความรำคาญในน้ำเสียง”เย่หลิงนั้นได้รับอันดับหนึ่งในการแข่งขันของตระกูลเร็วๆนี้ ตระกูลจึงรับปากว่าจะให้รางวัลเขาสามอย่าง หนึ่งในนั้นคืออนุญาตให้ท้าทายพี่ได้ เขาอยากแก้แค้นให้พ่อของเขาตอนที่ข้าเผลอทำร้ายเขา”
“พี่ใหญ่ เราได้ชดใช้ไปแล้วไม่ใช่หรือ?ข้าจำได้ว่าพวกเขารับค่าชดใช้และปล่อยเรื่องนั้นไปแล้ว..”
เย่หลิวลี่ตกตะลึงกับรายละเอยีดของเรื่อง พวกเขาได้รับค่าชดเชยไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังมาทวงความยุติธรรม?ไม่น่าแปลกที่พี่ชายแสนใจดีของนางจะรำคาญ
“เขากำลังใช้เรื่องนั้นมาอ้าง อ้างว่าบ้านหลักดูถูกบ้านรอง และสร้างความวุ่นวายในตระกูล ผู้อาวุโสหลายคนยังต่อว่าข้าเพราะเรื่องนี้”
เย่หลางเทียนพูดด้วยความรำคาญบนหน้า
อีกฝ่ายเป็นโจรหน้าด้านและไม่สามารถรับมือได้ง่ายๆ แม้แต่เย่หลางเทียน นายน้อยตระกูลเย่ก็ยังรู้สึกหมดหนทางตอนรับมือกับเขา ไม่เพียงเขาจะไม่อาจปฏิเสธคำท้า แต่เขายังต้องไว้หน้าพวกบ้านรองและลดฐานบ่มเพาะตัวเองในการต่อสู้
เขาสงสัยว่าอีกฝ่ายแค่อยากทวงความยุติธรรม หรือโอกาสสร้างปัญหาให้เขา?
ไม่ช้า เย่หลางเทียนก็ออกวังและตรงไปลานฝึกยุทธ์ เย่หลิวลี่ตามหลังเขา อยากดูสิ่งที่เรียกว่า’สู้เพื่อความยุติธรรม’!
…
[ราชวงศ์เซียนสูงสุด เมืองหลวง]
ในโถงโอ่อ่า ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ลอยสูง และจักรวาลก็เหมือนถูกบีบอัดไว้ในนี้
เยวี่ยหมิงคงสวมชุดตลุมจักรพรรดิ และนั่งบนบัลลังก์ขณะเปล่งรัศมีกดขี่ ตาเรียวยาวของนางจับจ้องเหล่าเสนาบดีที่ยืนตัวสั่นขณะรายงานเรื่องต่างๆ
“ท่าน เราได้จัดการประเด็นภายในและภายนนอกของราชวงศ์เซียนสูงสุดเรียบร้อยแล้ว ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องการคัดค้านอื่นใดในอนาคต.”
เยวี่ยหมิงคงพยักหน้าพอใจ
“ไปได้แล้ว.”
จากนั้น นางก็สะบัดมือ และเสนาบดีทั้งหมดก็แยกย้าย มีแค่ผู้ติดตามของนางไม่กี่คนที่เหลือในวัง ไม่นาน เยวี่ยหมิงคงก็ส่งทั้งหมดไปด้วย
นางนั่งในโถงคนเดียว นวดขมับและพยายามคลายเครียดพอนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น เหนือสิ่งอื่นใด นางได้เตรียมการสำหรับอนาคตไว้ล่วงหน้า แม้นางจะรู้อะไรมากเกี่ยวกับอนาคต ชวิตก็ไม่ง่าย ถ้านางไม่รู้ถึงอนาคต ชีวิตนางคงแย่
กู่ฉางเกอนั้นน่ากลัว!
‘ตามเวลา สวรรค์หยินจะปรากฏในโลกอีกไม่ช้า และเขตชั้นในจะตกอยู่ในความวุ่นวาย เหนือสิ่งอื่นใด มันคืออาณาจักรโบราณที่จะต้องใช้ยักษ์ใหญ่หลายคนเปิด..ไม่ช้าเรื่องนี้จะกายเป็นสิ่งสำคัญสุดสำหรับทุกเผ่าและทุกตระกูล’
‘ตระกูลกับสำนักใหญ่ทั้งหมดจะร่วมมือกันเพื่อสร้างสำนักเซียนแท้จริง และจากนั้นจะเลือกศิษย์ที่ดีสุดจากทุกฝ่ายมาดูแลให้เป็นเซียนแท้จริง..’
‘ถนนอมตะของวังเต๋าอมตะสวรรค์ควรจะปรากฏในไม่ช้าเช่นกัน มันต้องเป็นเหตุผลที่ทำให้สามีแสนดีของข้าเข้าวังเต๋าอมตะสวรรค์และวางแผนอยู่นาน!ข้าไม่ทันสังเกตเรื่องนี้ในตอนนั้น’
‘ตอนนี้พอคิดดูแล้ว มันต้องเป็นเหตุผลที่เขาเข้าร่วมวังเต๋าอมตะสวรรค์แน่’
‘ตอนวิญญาณอมตะโผล่ตอนนั้น ทุกเผ่ากับทุกตระกูลต่างแย่งชิงมัน และมันยังทำให้เทพสูงสุดบางคนลงมือ…ทว่า!ผลลัพธ์คือไม่มีใครได้ครองและมันก็หายไป..’
‘แต่พอคิดดูแล้ว วิญญาณนั่นน่าจะโดนกู่ฉางเกอชิงไป เพื่อขโมยอาหารจากสายตาของสัตว์ประหลาดโบราณได้…เขาสมกับเป็นสามีข้าจริงๆ’
เยวี่ยหมิงคงหัวเราะกับตัวเอง แต่ไม่ช้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง
‘เขาคือผู้สืบทอดวิชาต้องห้าม ฐานบ่มเพาะจริงของเขาไม่ควรธรรมดาอย่างตาเห็น ข้าหุนหันพลันแล่นไปที่ไปเยือนตระกูลกู่ โอกาสรอดของข้าจะน้อยมากถ้าเขาอยากฆ่าข้า’
‘ข้าต้องเตรียมการเผื่ออนาคต’
เยวี่ยหมิงคงถอนหายใจ
นางเสียเปรียบที่เดินทางไปตระกูลกู่ ในทางกลับกัน นางยังพบว่ากู่ฉางเกอคนปัจจุบันต่างจากคนที่นางเคยรู้จัก การเปลี่ยนแปลงในตัวเขาทำให้นางสงสัยและจิตใจไม่สงบ
นางรู้ว่ากู่ฉางเกอเกิดมาพร้อมธรรมชาติมาร และมันก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจปกปิดจากโลกได้นานนัก เหตุผลที่เขาขุดกระดูกเต๋าของน้องสาวเขาคงเพื่อปกปิดมัน
แน่นอน เหตุการณ์นี้ไม่ส่งผลต่อกู่ฉางเกอนัก
พรสวรรค์ของเซียนแท้จริง และธรรมชาติมาร..เรื่องนี้จะทำให้โลกตกใจ
แต่นางไม่รู้ว่าต้นกำเนิดของธรรมชาติมารของกู่ฉางเกอมาจากไหน นางเดาว่ามันคงเกี่ยวกับวิชามารต้องห้ามของเขา
‘ตอนนี้ที่ข้าคิดถึงมัน น้องสาวเซียนเอ๋อร์เป็นคนดีขนาดนั้น แต่ก็ยังพบชะตากรรมน่าเศร้า ไม่เพียงกู่ฉางเกอจะขุดกระดูกเต๋านางในชีวิตก่อนหน้าของข้า แต่เขายังกลืนฐานบ่มเพาะนางด้วยและนั่นก็ทำให้นางหายตัวไป ข้ามันโง่ที่คิดว่านางจะปล่อยวางความเกลียดชังและตัดสินใจใช้ชีวิตแบบสันโดษ’
‘ข้าต้องปกป้องนางให้ได้ในชีวิตนี้’
พอความคิดนี้แวบผ่านหัวนาง เยวี่ยหมิงคงก็รู้สึกว่าภาระบนบ่านางหนักขึ้น
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่นางรู้ดีถึงความจริงที่มีอาจารย์ลึกลับเบื้องหลังกู่ฉางเกอ ผู้เคลื่อนไหวแค่ครั้งเดียวในชาติก่อนของนาง มันคือคนที่คอยป้องกันมรดกมารของกู่ฉางเกอไม่ให้หลุด
เยวี่ยหมิงคงเดาว่าอาจารย์ลับของกู่ฉางเกอต้องเกี่ยวกับมรดกมารของเขาและเขาจะลงมือก็ต่อเมื่อมรดกมารของกู่ฉางเกอกำลังจะถูกเปิดเผย
เหนือสิ่งอื่นใด ทำไมเขาไม่เคยเผยตัวเลย?
มรดกมารคือสิ่งที่ไม่สามารถหลุดไปได้!เหนือสิ่งอื่นใด แม้แต่อาจารย์ของกู่ฉางเกอก็สามารถทำได้แค่ชักใยในความมืด
ในใจของนาง เยวี่ยหมิงคงไม่อยากเห็นวันที่มรดกมารของกู่ฉางเกอได้ออกมายลแสงและทุกคนที่เกี่ยวกับเขาจะหมายเอาชีวิตเขา
‘ข้ากำลังทำอะไร?ไม่ใช่ว่าข้ากำลังปกป้องเขาอยู่หรือนี่?’
เยวี่ยหมิงคงรีบสงบอารมณ์และตัดสินใจไปวังเต๋าอมตะสวรรค์ การเดินทางของนางคือเพื่อการปรากฏของถนนอมตะ รวมถึงกู่เซียนเอ๋อร์
ในฐานะพี่สะใภ้ นางไม่สามารถทนดูกู่เซียนเอ๋อร์ต้องลำบากได้ทั้งที่นางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
‘อืม ผู้สืบทอดของจักรพรรดิโบราณแห่งการเกิดใหม่ควรปรากฏได้ทุกเมื่อ ไม่สิ?เขาดูเหมือนจะชื่อเย่หลิงหรืออะไรทำนองนั้น เขามีโอกาสได้ครอง[เครื่องรางแห่งการเกิดใหม่] ซึ่งมีพลังแห่งการกลับชาติมาเกิด ข้าต้องได้รับพลังนี้…!’
ดวงตาของเยวี่ยหมิงคงหรี่ลงพอนึกถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่อง
ปรมาจารย์สวรรค์แห่งการเกิดใหม่!เขาคือตัวตนโบราณที่มีฐานบ่มเพาะน่ากลัวอย่างยิ่ง ว่ากันว่าเขาควบคุมพลังของหกวิถีสังสารวัฏ ซึ่งทำให้มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฆ่าเขาและเขาก็ใช้ชีวิตมาได้หลายยุคสมัย
นางควรใช้ประโยชน์จากความจริงที่ผู้สืบทอดของจักรพรรดิโบราณแห่งการเกิดใหม่ยังไม่เติบโต และชิง[เครื่องรางแห่งการเกิดใหม่]จากเขา
เยวี่ยหมิงคงเริ่มวางแผนหลังคิดเรื่องนี้
..
[วังเต๋าอมตะสวรรค์]
ชายชราชุดขาวหน้าตาคล้ายเทพเซียนกำลังนั่งตกปลาบนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกหนาทึบ
“ผู้เยาว์อดชื่นชมวิถีชีวิตที่แสนสบายและไร้กังวลของผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้เลย”
เสียงหัวเราะปรากฏบนเขา มันคือชายหนุ่มที่นั่งบนม้านั่งหินโดยไม่สนใจว่าคนอื่นรอบตัวเขาจะคิดอย่างไร สีหน้าของเขาแสดงราวกับกำลังนั่งในสวนหลังบ้านตัวเอง
“กู่ฉางเกอ แค่เข้าเรื่องมากถ้าเจ้ามีบางอย่างจะพูด เจ้าไม่ต้องอ้อมค้อมกับข้าหรอก”
ผู้อาวุโสใหญ่ตอบโดยไม่เปลี่ยท่าที และมองไปยังสายเบ็ดที่ลงสู่ทะเลเมฆเบื้องหน้าเขา
ผู้อาวุโสใหญ่ตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าและมองตรงไปยังสายเบ็ด
เขาไม่มีความรู้สึกดีต่อกู่ฉางเกอ แต่กู่ฉางเกอไม่สนใจ
เขายิ้มและพูด”ก็ไม่มีอะไรมาก ข้าแค่อยากขอบคุณผู้อาวุโสใหญ่ที่ช่วยสั่งสอนน้องสาวข้า”
กู่เซียนเอ๋อร์ผู้ยืนไร้อารม์อยู่ด้านหลังเขากำกระบี่หยกในมือแน่นและอยากแทงทะลุหัวใจเขาจากข้างหลัง
มีน้อยคนถึงมาเยี่ยมภูเขาของผู้อาวุโสใหญ่ได้ในวันปกติ และกู่ฉางเกอก็เคยมาที่นี่แค่ครั้งเดียว มันเป็นตอนเขาเข้าร่วมวังเต๋า และทำลายสถิติของถนนเต๋าสวรรค์
หลายคนคิดว่าผู้อาวุโสใหญ่จะรับเขาเป็นศิษย์ แต่ความเป็นจริงต่างจากที่คิด ผู้อาวุโสใหญ่แค่พาเขามาภูเขา พูดไม่กี่คำ จากนั้นก็ส่งกลับไป
โดยธรรมชาติ กู่ฉางเกอจำทุกคำได้ชัด ย้อนกลับไป ประโยคแรกที่ออกจากปากของผู้อาวุโสใหญ่คือ’เจ้ามีแรงจูงใจที่ไม่บริสุทธิ์ มีพลังมารฝังลึก และไม่มีความละอายเลย’