ใบหน้าของเขาอาวุโสวูที่ตอนนี้กำลังซ่อนตัวอยู่หลังหินเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“เป็นไปได้ยังไงเพราะนายน้อยเพิ่งได้รับคัมภีร์อาทิตย์ม่วงสี่นักบุญมาไม่นาน แต่พลังงานสีม่วงที่ออกมาจากตัวท่านมันก็เป็นสัญญาณว่าท่านมาถึงขั้นหนึ่งแล้ว”
เขานั้นรู้อยู่แล้วว่าในโลกนี้มันมีตัวตนที่เรียกว่าอัจฉริยะ
แต่สิ่งที่เขาเพิ่งจะเห็นมันเกินคำว่าธรรมดาไปมาก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงทำเพียงแค่สังเกตนายน้อยอย่างเงียบๆเท่านั้น
“หืม?”
อาวุโสวูพบว่าตอนนี้นายน้อยกำลังนอนอย่างสบายใจพร้อมกับหยิบผลไม้เข้าปากและฮัมเพลงไปด้วย
นี่เขาเลิกฝึกแล้วงั้นรึ?
แล้วทำไมเขาถึงหยุด?
“ถ้าหัวหน้าตระกูลรู้ว่านายน้อยมีความสามารถมากเพียงใดท่านคงจะมีความสุขอย่างแน่นอน”
อาวุโสวูรู้สึกว่าไม่มีใครเลยสักคนที่รู้จักนายน้อยจริงๆ
หลังจากนี้ใครก็ตามที่กล้าดูถูกนายน้อยว่าเป็นเพียงแค่ขยะ เขาจะเป็นคนแรกที่จะฆ่าคนที่พูดคำเหล่านั้นออกมา
ถ้านายน้อยเป็นขยะจริงดั่งที่ผู้อื่นกล่าว แล้วเหตุใดท่านถึงสามารถฝึกคัมภีร์อาทิตย์ม่วงสี่นักบุญจนถึงขั้นหนึ่งได้ภายในหนึ่งวัน?
ณ ตระกูลหยวน
คุณหนูเจ็ดจากตระกูลซูได้เดินทางมาถึงเมืองหยูฉางแล้ว
และเนื่องจากลูกสาวคนหนึ่งของตระกูลหยวนได้แต่งงานกับนายน้อยของตระกูลซูทำให้เธอมีฐานะเป็นนางสนม นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ตระกูลซูมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลหยวนมากกว่าอีกสองตระกูลที่เหลือ
ในห้องโถง
คุณหนูเจ็ดของตระกูลซูกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก อาการบวมบนใบหน้าของเธอลดลงไปมากแล้ว แต่มันก็ยังคงมีร่องรอยของมันอยู่
การมาที่เมืองหยูฉางในครั้งนี้ของเธอไม่ได้มีเป้าหมายสำคัญอะไร เพราะเธอมาเพียงเพื่อดูเท่านั้น
อาการบาดเจ็บของเหลียง หยงฉีที่ถูกทำร้ายมาในวันนี้ยังไม่หายดี ซ้ำร้ายของขวัญของเขายังมาถูกทำลายอีก มันจึงทำให้เขาโกรธมาก
ในตอนแรกเขามั่นใจว่าด้วยรูปลักษณ์ของเขามันดูดีพอที่เขาจะสามารถพูดกับคุณหนูเจ็ด
บางทีถ้าหากเขาสามารถทิ้งความประทับใจดีๆเอาไว้กับเธอได้ เขาอาจจะมีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์กับเธอจนถึงขั้นได้แต่งงาน
จากนั้นมันก็การันตีได้เลยว่าตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเหลียงมันจะตกเป็นของเขาแน่นอน
เมื่อถึงตอนนั้นแม้แต่พี่ชายยังต้องหลีกทางให้กับเขา
แต่ตอนนี้?
ดูตัวเขาสิ
เขาพึ่งพ่ายแพ้มาเขาจะมีหน้าไปคุยกับคุณหนูเจ็ดได้ยังไง?
มันดีแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้รังเกียจเขา
หัวหน้าตระกูลเหลียงที่กำลังนั่งแบบสบายๆอยู่ เมื่อรู้เรื่องที่ลูกชายของเขาถูกทำร้ายมันก็เป็นธรรมดาที่เขาจะโกรธ
“ทุกท่าน ตั้งแต่วันนี้คุณหนูเจ็ดจะมาพักอยู่ที่นี่ และข้าก็มีคำถามบางอย่างที่อยากจะถามหัวหน้าตระกูลหลิน” หัวหน้าตระกูลเหลียงวางถ้วยชาและถามออกมาอย่างไม่เป็นทางการ
หลิน วานยี่เหลือบมองไปที่เขาและพูดออกมา “เชิญพูด”
หัวหน้าตระกูลเหลียงบอกให้ลูกชายของเขาออกมาและพูดว่า “ทุกท่านน่าจะเห็นอยู่แล้วว่าลูกชายของข้าถูกลูกชายของตระกูลหลินทำร้าย เมื่อท่านรู้แบบนั้นแล้วท่านไม่คิดจะให้คำอธิบายแก่ข้าหน่อยเลยรึ”
ฟุฟุ!
ซู หลานหัวเราะออกมาทันทีเมื่อเธอเห็นใบหน้าที่น่าสงสารของเหลียง หยงฉี
เธอไม่ได้ตั้งใจจะปิดปังมันเลยแม้แต่นิดเดียว
ใบหน้าของเธอบ่งบอกว่าเธอมีความสุขมากจริงๆ
ปรากฏว่ายังมีคนที่เลวร้ายยิ่งกว่าเธอ
ถ้าเสียงหัวเราะนี้มันมาจากคนอื่น หัวหน้าตระกูลเหลียงรับรองเลยว่าจะทำให้คนที่หัวเราะคุกเข่าและคลานออกมา
แต่อย่างไรก็ตามคนที่หัวเราะออกมาดันเป็นคุณหนูเจ็ดของตระกูลซู
เขาไม่บ้าพอที่จะทำแบบนั้นกับเธอแน่นอน
หลิน วานยี่ไม่ได้โกรธแต่กลับถามตัวเองว่าลูกชายของเขามีนิสัยแบบนี้จริงๆงั้นหรือ?
เหลียง หยงฉีเป็นเด็กที่หน้าตาดีและดูสุภาพ ซึ่งด้วยภาพลักษณ์นี้เองจึงทำให้มีผู้หญิงหลายคนมาตกหลุมรักเขา
แต่ตอนนี้ใบหน้าที่ดูดีของเขาถูกทำให้เสียโฉม มันจึงทำให้เสน่ห์ที่เขาเคยมีหายไปทั้งหมด
“ท่านหัวหน้าตระกูลหลิน ข้านั้นไม่เคยไปทำให้ใครโกรธเคือง แต่ในวันนี้เพื่อต้อนรับคุณหนูเจ็ดข้าได้พาคนรับใช้ออกไปซื้อของขวัญในเมือง และเมื่อข้าเจอเข้ากับลูกชายของท่าน เขาก็ไม่ได้พูดอะไรและตรงเข้ามาทำร้ายข้าจนข้าตกอยู่ในสภาพนี้ ท่านไม่คิดจะให้คำอธิบายกับข้าหน่อยหรือ?” เหลียง หยงฉีพูด
ในขณะที่เขาพูดแบบนั้นมุมปากของเขามันก็กระตุกไปด้วย
มันเจ็บมาก และยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เขาโกรธมากขึ้นเท่านั้น
“ความโกรธ +66”
หลิน วานยี่ยิ้ม “นายน้อยเหลียง ทุกคนในที่นี้รู้ความจริงที่ว่าลูกชายของข้าไม่ได้ฝึกฝน ส่วนเจ้านั้นฝึกจนถึงขั้นสาม ดังนั้นลูกชายของข้าจะไปทำร้ายเจ้าได้ยังไง?” (TL:ขอเปลี่ยนจากระดับเป็นขั้นนะครับ)
“ลูกชายของท่านสั่งให้โจว เชียงเหมามาทำร้ายข้า!” เหลียง หยงฉีตะโกนอารมณ์ของเขาดูเหมือนจะไม่แน่นอน
หัวหน้าตระกูลหยวนที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่ได้พูดอะไร
สำหรับเขาเรื่องนี้มันก็เป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น
เขาต้องทำเพียงแค่มองและไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้
นายน้อยสองของตระกูลหยวน หยวน เทียนชูส่ายหัวและพูดออกมาด้วยความเศร้า “พี่เหลียงเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองหยูฉาง และการที่เขาถูกทำร้ายกลางถนนมันไม่เพียงแต่ทำให้เขาเสียงหน้าเท่านั้น แต่ยังทำให้ตระกูลเหลียงเสียหน้าอีกด้วย”
“เทียนชู หุบปาก! เจ้ากล้าพูดแบบนั้นได้ยังไง? ไปยืนอยู่ด้านข้างซะ!” หัวหน้าตระกูลหยวนตะโกนอย่างดุเดือด
“ครับท่านพ่อ” หยวน เทียนชูยืนอยู่ด้านข้างอย่างเชื่อฟัง
มันเป็นเรื่องดีที่เขาหว่านความบาดหมางลงไประหว่างตระกูลหลินและตระกูลเหลียง
“ลูกสามไม่ต้องกังวลเพราะหัวหน้าตระกูลหลินขึ้นชื่อเรืองความน่าเชื่อถือ เขาจะต้องมีคำอธิบายให้เจ้าอย่างแน่นอน คุณหนูเจ็ดก็อยู่ที่นี่ด้วย เจ้าคงจะไม่ทำให้ตัวเองขายหน้าใช่ไหม?” หัวหน้าตระกูลเหลียงพูด
ซู หลานมองไปที่เหตุการณ์ตรงหน้าราวกับดูละครเรื่องหนึ่งอยู่ “คุยกันต่อไปเถอะ ข้าอยากจะรู้ว่าเรื่องนี้มันจะจบยังไง”
เธอเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบแทรกแซงเรื่องของคนอื่น
“ถ้าเป็นนายน้อยหลินล่ะก็ข้ารู้จักนะ ข้าคิดว่าเขาก็เป็นคนดีคนหนึ่ง และบางทีเจ้าอาจจะน่ารำคาญจนเขาทนไม่ไหวที่จะทุบตีเจ้าก็ได้” ซู หลานหัวเราะ
ภาพของเขาปรากฏขึ้นในใจของเธอ
ถึงเขาจะไม่ได้หล่อ แต่เขาให้ความรู้สึกที่เธอไม่เคยพบมาก่อน
หลิน วานยี่หรี่ตา การที่ลูกชายที่ไร้ความสามารถของเขาไปรู้จักกับคุณหนูเจ็ดของตระกูลซูมันไม่ได้อยู่ในหัวของเขาเลยแม้แต่น้อย
มันทำให้เขาประหลาดใจจริงๆ
เหลียง หยงฉีไม่พอใจเล็กน้อย “คุณหนูเจ็ด ท่านช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ชายคนนั้นมันเป็นเพียงแค่ขยะเท่านั้น! เขาแค่ทำตัวขี้เกียจไปวันๆและไม่เคยคิดที่จะฝึกฝนเลยแม้แต่น้อย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ซู หลานหัวเราะ “เจ้านี่ตลกจังนะ เจ้าบอกว่าเขาเป็นขยะ แล้วเจ้าที่ถูกเขาทำร้ายเรียกว่าอะไรละ?”
“แค่ก แค่ก!” ชายชราที่อยู่ข้างๆเธอไอออกมา
มันเป็นการเตือนให้เธอสุภาพมากกว่านี้
เธอชินกับการทำตามใจตัวเองมาตลอด ดังนั้นเธอจึงไม่เคยรั้งคำพูดของตัวเองไว้เลย
“คุณหนูเจ็ด ท่าน…” เหลียง หยงฉีไม่เคยคิดเลยว่าคุณหนูเจ็ดที่งดงานจะพูดประโยคแบบนั้นออกมาได้
เขาต้องการที่จะด่าเธอ แต่เขาก็ไม่กล้า
“หุบปาก! เจ้ายังขายหน้าไม่พอรึยังไง? รับไสหัวไปได้แล้ว!” หัวหน้าตระกูลเหลียงตวาด
เรื่องนี้มันทำให้เหลียง หยงฉีที่โกรธอยู่แล้วโกรธยิ่งขึ้นไปอีก
ความโกรธทั้งหมดของเขามันได้เปลี่ยนเป็นคะแนนและส่งไปให้กับหลิน ฟาน
“ความโกรธ +77”
หากไม่ใช่เพราะมันเรื่องแบบนี้คงจะไม่เกิดขึ้น
หัวหน้าตระกูลเหลียงรู้สึกผิดหวังจริงๆ ที่เขาพาลูกชายคนที่สามมากับเขาด้วยเพราะเขาอยากจะลองดูว่าคุณหนูเจ็ดจะสนใจในตัวลูกชายของเขารึไม่
แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ตรงหน้ามันได้ทำให้เขาเสียหน้าทั้งหมด
“โอ้? อะไรกันเจ้าไม่พอใจข้างั้นรึ? ตบเขาซะ” ซู หลานมองไปที่เขาด้วยสีหน้าเยาะเย้ย
“คุณหนู” ชายชราพึมพำ
“ตบเขา” ซู หลานพูด
“เข้าใจแล้วขอรับ”
หัวหน้าตระกูลเหลียงร้องออกมา “คุณหนูเจ็ดได้โปรดเมตตาด้วย!”
ทันใดนั้นอยู่ๆชายชราก็หายตัวไปและมีเสียงที่คมชัดดังขึ้นแทน
เหลียง หยงฉีถูกบังคับให้ล้มลงไปกับพื้นด้วยการตบเพียงครั้งเดียว
มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของเขา
ตอนนี้เขามึนไปหมด
มันเกิดอะไรขึ้น?
นี่เขาถูกตีจริงๆงั้นเหรอ?
เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปทางซู หลานด้วยความโกรธ
ซู หลานมองกลับไปด้วยความโกรธ “เจ้าคิดว่ากำลังมองอะไรอยู่ ถ้ายังมองแบบนี้ต่อไปข้าจะควักลูกตาของเจ้าออกมาซะ!”
“ข้าเชื่อว่าคุณหนูซูเป็นคนใจกว้าง ดังนั้นได้โปรดให้อภัยด้วย” หัวหน้าตระกูลเหลียงไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว เขายืนขึ้นและมองไปที่เหลียง หยงฉี “จะไปไหนก็ไป!”
เหลียง หยงฉีที่กำลังโกรธลุกขึ้นและเดินออกไป
หยวน เทียนชูมองไปที่ซู หลาน
เขาไม่ได้คาดหวังเลยว่าเธอจะอารมณ์ร้อนถึงเพียงนี้
เธอจะโจมตีใครก็ตามที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน และเธอก็ไม่ได้ไว้หน้าตระกูลเหลียงเลยแม้แต่น้อย
ชายชราพูดออกมา “หัวหน้าตระกูลเหลียง ได้โปรดอย่าใส่ใจ คุณหนูท่านยังเด็กนัก และทำเรื่องทั้งหมดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ”
แม้ว่าเขาจะขอโทษ
แต่น้ำเสียงของเขามันไม่ได้มีความจริงใจเลยแม้แต่นิดเดียว
ชายชรานั้นพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเอง
ในขณะที่คุณหนูเจ็ดพึ่งพาความแข็งแกร่งของตระกูลซู
เธอเป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุดและเปรียบได้ดั่งไข่มุกของตระกูลซู ด้วยเหตุนี้เองเธอจึงถูกตามใจอยู่เสมอ
“ไม่เป็นไรมันไม่ใช่ความผิดของคุณหนูเลย เป็นข้าเองที่ควบคุมเขาไม่อยู่และปล่อยให้เขาเป็นเช่นนั้น การที่เขายังไม่ตายก็ถือว่าเป็นโชคดีของเขาแล้ว” หัวหน้าตระกูลเหลียงพูด
เขาจะไปทำอะไรได้อีก?
ปะทะกับตระกูลซูงั้นเหรอ?
ความสามารถของเขาอ่อนแอมากถ้าทำแบบนั้นเขาจะไม่มีทางรอดเลย
ทางด้านหลิน วานยี่ค่อนข้างสงบ
นี่พวกเขาไม่ต้องการคำอธิบายแล้วงั้นหรือ?
แล้วทำไมสุดท้ายมันถึงจบด้วยการที่พวกเขาถึงมีเรื่องกัน?