“มันควรจะเป็นอย่างนั้น” ซู หลานพูดด้วยความเย่อหยิ่ง
ชายคนนี้กล้าที่จะแสดงความไม่พอใจต่อหน้าเธอ
ถ้าที่นี่เป็นเมืองหวู่เฉิงเขาคงจะถูกตัดหัวไปแล้ว
หัวหน้าตระกูลเหลียงกลับไปยังที่นั่งของตน แม้ว่าภายนอกของเขามันจะดูไร้อารมณ์ แต่ในใจของเขามันกลับเต็มไปด้วยความโกรธ
“เอาล่ะ ตอนนี้เราจะข้ามเรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ไปก่อน พี่หลินข้ามีบางอย่างที่จะพูดกับท่าน ข้าทราบว่าเมื่อเร็วๆนี้ลูกชายของท่านได้ทำสิ่งต่างๆไปมากมาย” หัวหน้าตระกูลหยวนพูด
เขามองไปที่ซู หลานและพูดออกมา
“คุณหนูเจ็ดจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนทำลายกฎที่ตระกูลขุนนางของเมืองหวู่เฉิงกำหนดขึ้น?”
หลิน วานยี่นิ่งเงียบเพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
มันไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องของลูกชายของเขา
เรื่องภาษีฟาร์มมันทำให้เขาโกรธก็จริง
แต่อย่างไรก็ตามมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถต่อว่าลูกชายของเขาได้ ส่วนคนอื่นไม่มีสิทธิ์
“เมื่อตอนที่ข้าอยู่บ้านข้าไม่ได้สนใจอะไรนอกจากกินและข้าก็ไม่ได้คิดที่จะสนใจกฎอะไรนั่นด้วย เมื่อเจ้ารู้แบบนั้นแล้ว ทำไมถึงยังมาถามข้าอีกเรื่องนี้อีก? เจ้าเพียงแค่ทำสิ่งที่เจ้าเห็นว่าเหมาะสมเถอะ” ซู หลานยิ้ม
เธอไม่ได้คิดที่จะสนใจสิ่งที่น่ารำราญเหล่านี้
หัวหน้าตระกูลเหลียงและคนอื่นๆรู้สึกโกรธกับสิ่งที่เธอพูด แต่พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไร
ถ้าไม่ใช้เพราะตระกูลซูเธอคงจะตายไปนานแล้ว
“น้องหยวน ข้ารู้จักลูกชายของข้าดี เขาก็แค่ทำตัวเรื่อยเปื่อยไปวันๆเจ้ามีปัญหาอะไรกับเขาหรือไม่?” หลิน วานยี่พูด
หัวหน้าตระกูลหยวนส่ายหัว “พี่หลินเรื่องก่อนหน้านี้มันไม่มีค่าให้พูดถึง แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าท่านจะยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในคราวนี้ ลูกชายของท่านออกไปนอกเมืองและแจกพื้นที่ทำการเกษตรที่ว่างเปล่าของตระกูลให้กับผู้ลี้ภัย”
“พี่หลินท่านมีอะไรอยากจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?”
หลังจากสิ้นสุดเสียง
หลิน วานยี่ขมวดคิ้วมีคลื่นความโกรธปรากฏขึ้นในใจของเขา
เจ้าลูกชายไม่เอาไหน!
เขากล้าทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง?
ทุกสิ่งที่ลูกชายของเขาทำก่อนหน้านี้อาจจะไม่มีค่าพอให้พูดถึง แต่ถ้าเรื่องที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริงละก็
ถ้าอย่างนั้น….
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้ความโกรธในใจของหลิน วานยี่ปะทุขึ้นไปอีก
หยวน เทียนชูเข้าร่วมบทสนทนา ”ท่านหัวหน้าตระกูลหลิน ท่านน่าจะรู้เกี่ยวกับกฎของเมืองดี ว่าท่านไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เพียงเพราะความพอใจของท่าน เพราะถ้าอยู่ดีๆตระกูลหลินเกิดเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมากะทันหัน แล้วท่านจะให้พวกเราสองตระกูลที่เหลือทำเช่นไร?”
“เราต้องแจกจ่ายดินแดนเช่นท่านหรือไม่? เราต้องยกเว้นภาษีและเก็บเพียง10%ในปีถัดๆไปหรือไม่?”
ครั้งนี้หัวหน้าตระกูลหยวนไม่ได้ตำหนิ
ลูกชายของเขาพูดถูกแล้ว และตระกูลหยวนจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้แน่นอน
ตระกูลหลินจะต้องอธิบายเรื่องนี้แก่พวกเขา
หลิน วานยี่ทำเพียงแค่ขมวดคิ้วเท่านั้น เขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมา แต่ลึกๆแล้วเขากำลังโมโหกับสิ่งที่ลูกของเขาทำ เจ้าเด็กคนนี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่?
แต่อย่างไรก็ตามในฐานะพ่อเขาไม่ควรไปต่อว่าลูกชายของตัวเองต่อหน้าคนอื่น และเขาก็จะไม่ปล่อยให้ลูกชายของเขาขอโทษพวกคนที่น่ารังเกียจเหล่านี้ด้วย
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล
“เรื่องนั้นข้าทราบดีอยู่แล้ว เพราะทั้งหมดมันเป็นความคิดของข้าเอง” หลิน วานยี่พูด
เขาจะเป็นคนรับผิดชอบทุกสิ่งเอง
“พี่หลิน เราจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นความคิดของท่าน?”
“แต่ท่านไม่ต้องห่วงเพราะเรื่องนี้มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร และมันก็จัดการค่อนข้างง่าย ท่านแค่ต้องบอกกับลูกชายของท่านให้ไปบอกคนเหล่านั้นว่าเขาโกหกและทำไปเพื่อความสนุกเท่านั้น จากนั้นทุกอย่างมันก็จะดีเอง”
“ท่านคิดเช่นไรบ้าง?”
หัวหน้าตระกูลหยวนหัวเราะ
“ฮาฮา” หลิน วานยี่ยิ้ม “พี่หยวน ข้าคิดว่าท่านคงจะไม่เข้าใจ เรื่องทั้งหมดมันเป็นความคิดของข้าเอง แล้วทำไมข้าต้องไปลงโทษลูกของข้าด้วยล่ะ?”
หัวหน้าตระกูลทั้งสองมองหน้ากัน
มีความโกรธปรากฏอยู่ในสายตาของพวกเขา
ในตอนนั้นเองชายชราที่ยืนอยู่ข้างๆซู หลานก็พูดขึ้นมา “คุณหนูของข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อดูพวกเจ้าเถียงเรื่องพวกนี้”
“ฮ่าๆๆๆ อาวุโสซูพูดถูก เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เพราะหลังจากนี้จะมีงานเลี้ยงต้องรับคุณหนูรออยู่” หัวหน้าตระกูลหยวนหัวเราะและพูดออกมา
เขาทำราวกับว่าเรื่องก่อนหน้านี้มันไม่เคยเกิดขึ้น
“น่าเบื่อ ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ปล่อยให้คนรุ่นใหม่ต่อสู้กันเองละเรื่องมันจะได้สนุกขึ้น” ซู หลานเอนตัวลงบนเก้าอี้ของเธออย่างเบื่อหน่าย
เธอเพียงแค่ต้องการหาความสนุกเท่านั้น
เพราะทุกอย่างในเมืองหยูฉางมันน่าเบื่อมาก
และถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะเธอต้องการหาคนที่ทำร้ายเธอ
เธอคงจะออกจากเมืองนี้ไปนานแล้ว
“เอาล่ะ เราจะทำตามคำแนะนำของคุณหนูซู และปล่อยให้คนรุ่นเยาว์ต่อสู้กันโดยมีคุณหนูซูเป็นคนตัดสิน” หัวหน้าตระกูลหยวนยิ้ม
จากนั้นเขาก็มองไปที่หลิน วานยี่
มันช่างง่ายดายจริงๆ
เขาต้องการให้หลิน วานยี่เรียกลูกชายของเขามา
แต่ในตอนนั้นเองอยู่ๆหลิน วานยี่ก็ลุกขึ้นและป้องหมัดของเขา “คุณหนูซู ตอนนี้ข้ามีบางอย่างที่ต้องทำ ดังนั้นขอตัวก่อน”
เมื่อซู หลานเห็นว่าหลิน วานยี่ไม่ได้ไว้หน้าเธอ เธอจึงต้องการจะทำอะไรบางอย่าง แต่อาวุโสซูก็ดึงเธอกลับมาและส่ายหัวเพื่อขอให้เธอเงียบ
ภายในห้องโถง
ในตอนนี้หัวของหัวหน้าตระกูลทั้งสองกำลังเดือดราวกับว่ามีควันลอยออกมา และการที่พวกเขาทั้งสองยังไม่ระเบิดและพุ่งออกไปฉีกชายคนนั้นเป็นชิ้นๆเพียงเพราะว่าการมีอยู่ของผู้หญิงคนนี้
“พวกเจ้ากำลังรออะไรอยู่? เจ้าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ข้าพูดรึยังไง? รีบๆไปเตรียมตัวได้แล้ว” ซู หลานเร่งพวกเขา เธออดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อนึกถึงภาพที่พวกเขาสู้กัน
แม้ว่าหัวหน้าตระกูลทั้งสองจะต้องการออกไปจัดการทันที แต่พวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้คุณหนูอยู่เพียงลำพังได้
เมื่อคิดได้ดังนั้นหัวหน้าตระกูลหยวนจึงฝางฝังเรื่องนี้กับลูกชายของเขา “เทียนชูข้าจะให้เจ้าอยู่ที่นี่กับคุณหนูซู”
“ครับ ท่านพ่อ” หยวน เทียนชูตอบกลับ หลังจากที่เขาลองคุยกับเธอมาสองวัน เขาก็พบว่ามันยากที่เขาจะสนิทกับเธอ แต่ถ้าเขาสามารถสนิทกับเธอได้ผลประโยชน์ที่เขาได้รับมันจะประเมินค่าไม่ได้
แม้ว่ามันจะยากแต่เขาก็ต้องทำ
ซู หลานพูดด้วยความรังเกียจ “ทำไมต้องให้เขามาอยู่กับข้าด้วย? เขามันน่าเกลียดแค่ข้ามองไปที่เขามันก็ทำให้ข้าอยากจะอาเจียนแล้ว เร็วเข้า! เอาเขาออกไป ไม่งั้นเมื่อข้ากลับไปข้าจะบอกปู่ของข้าว่าพวกเจ้าดูแลข้าไม่ดี”
หยวน เทียนชูรู้สึกลำบากใจเพราะมันไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับเขามาก่อน
แล้วคนที่พูดดันเป็นผู้หญิงอีก
“คุณหนูซู ได้โปรดใจเย็น เราจะออกไปเดี๋ยวนี้” หัวหน้าตระกูลหยวนเรียกลูกชายของเขาให้ออกไปพร้อมกัน
เธอคือคนที่ไม่สามารถทำให้โกรธได้
ด้วยเหตุนี้เองในห้องจึงเหลือเพียงแค่ซู หลานและอาวุโสซูเท่านั้น
“คุณหนูข้าว่าถึงเวลาที่ท่านต้องเปลี่ยนบุคลิกของท่านแล้ว” อาวุโสซูส่ายหัว ทุกครั้งที่คุณหนูออกมาข้างนอกเขาไม่รู้เลยว่าเธอจะไปทำให้ใครโกรธเคืองบ้าง
และถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะตระกูลซูแข็งแกร่งเธอคงจะไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้
ซู หลานไม่สนใจ “แต่ชายคนนี้หยิ่งมาก เขาจากไปโดยไม่ได้ไว้หน้าข้าเลยแม้แต่น้อย”
อาวุโสซูพูด “แม้ว่าเมืองหยูฉางจะดูเงียบสงบและไม่มีอะไรสำคัญ แต่ท่านไม่สามารถทำแบบนั้นกับตระกูลหลินได้ ส่วนตระกูลหยวนและเหลียงท่านสามารถรังแกพวกเขาได้ตามแต่ที่ใจท่านต้องการ”
“ทำไมถึงทำแบบนั้นไม่ได้ล่ะ? ตระกูลเหลียงและหยวนต่างเป็นตระกูลขุนนางดั่งเช่นเรา ในขณะที่ตระกูลหลินนั้นมีต้นกำเนิดมาจากผู้ลี้ภัย เมื่อเป็นแบบนั้นแล้วพวกเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหนเชียว?” ซู หลานกล่าวโดยไม่แยแส
“คุณหนูเขาแตกต่างจากผู้ลี้ภัยทั่วไป”
ในขณะที่เขากำลังพูดอาวุโสซูก็นึกถึงเรื่องในอดีต
“ผู้ชายคนนี้ไม่เลวเลย นานมาแล้วเขาต้องการบุกเข้าไปในเมืองของจักรพรรดิเพียงลำพัง แต่เขาก็ถูกหยุดโดยนายเก่าเสียก่อน นั้นเป็นเรื่องเมื่อ20ปีที่แล้วในเวลานั้นคุณหนูยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ” อาวุโสซูพูด
“นายเก่า? เจ้ากำลังพูดถึงท่านปู่งั้นหรือ?” ซู หลานถาม จากนั้นเธอก็ทำหน้าไม่พอใจ “เขาไม่ได้แข็งแกร่งพอจะเอาชนะข้าด้วยซ้ำ เพราะท่านปู่ยังแพ้ข้าเลย”
อาวุโสซูอยากจะหัวเราะ
แต่เขาก็ต้องหยุดเอาไว้ก่อน
คุณหนูท่านไร้เดียงสาและโง่เกินไป
ช่างมันเถอะ
มันเป็นเพราะนายเก่าชื่นชอบหลานคนนี้มากท่านจึงทำเป็นยอมแพ้ตลอดเพื่อเอาใจนาง
แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้มันมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาคิดว่ามันแปลก
หลิน วานยี่จะอดทดต่อการตำหนิของสองตระกูลนี้ไปทำไม เขามีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลังกันแน่
เพราะถ้ามองตามความเป็นจริงแล้วในเมืองนี้มันไม่มีใครสามารทำร้ายทำเขาได้ด้วยซ้ำ