ณ ศาลาเสาวธารเมามาย
มีสาวใช้คนหนึ่งเดินถือจานเข้ามา “รับประทานให้อร่อยนะคะนายน้อย”
เค้กแปดสมบัติ ข้าวต้มห้าเมล็ด และชาอัลมอนด์
เรียบง่ายแต่ไม่หรูหราเกินไป
ถึงกระนั้นอาหารเช้าเช่นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถสัมผัสและเพลิดเพลินไปกับมันได้
อย่างเค้กแปดสมบัติมันก็ประกอบไปด้วยส่วนผสมที่คัดสรรมาแล้วกว่าแปดชนิด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นโสมที่สามารถเพิ่มพลังได้
“เจ้าสามารถสั่งสิ่งที่ต้องการได้เลย” หลิน ฟานกล่าว
โจว เชียงเหมาส่ายหัว “ลูกพี่ลูกน้อง ข้ายังไม่หิว”
“นายน้อยข้าก็เช่นกัน”
พวกเขาทั้งสองต่างก็ทำอะไรไม่ถูก
การที่จะกินอะไรมันต้องดูเวลาด้วยโดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าอีกเพียงแค่สองชั่วโมงมันก็จะถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว
เมื่อเห็นดังนั้นหลิน ฟานก็ไม่ได้พูดอะไรอีกและเริ่มกินอาหารของเขาเอง อาหารที่ถูกทำขึ้นโดยศาลาเสาวธารเมามายค่อนข้างอร่อยตามที่หวังไว้จากร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมือง
เมื่อเขานึกย้อนไปถึงเฟิง โพหลิวที่เพิ่งเจอเขาก็หยิบหนังสือที่เก็บเอาไว้ในตัวออกมาทันที
“ลูกพี่ลูกน้องท่านต้องระวังเอาไว้เทคนิคที่เป็นของปลอมไม่สามารถฝึกได้ มิฉะนั้นมันอาจจะทำให้ท่านมีปัญหาได้” โจว เชียงเหมาเตือนเขา เพราะอันตรายจากการฝึกเทคนิคที่เป็นของปลอมมันมีค่อนข้างมาก
ในอดีตมันเคยมีคนได้รับเทคนิคที่เป็นของปลอมและฝึกฝนตามสิ่งที่เขียนเอาไว้ข้างใน สุดท้ายแล้วจุดจบของคนที่ฝึกก็มีเพียงแต่ความตายที่รอพวกเขาอยู่เท่านั้น
โอกาสรอดสำหรับคนที่ฝึกมันแทบเป็นศูนย์
ในความคิดของเขามันจะไปมีคนที่โง่ขนาดนั้นอยู่ได้ยังไง?
แล้วมันก็ไม่มีทางเลยที่คนจะเอาเทคนิคลับออกมาขายเพื่อแลกกับเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิคลับที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเช่นนี้
“ลูกพี่ลูกน้องไม่ต้องห่วง เจ้าคิดว่าข้าโง่งั้นรึ?” หลิน ฟานเปิดหน้าแรกอ่านพร้อมกับรับประทานอาหารไปด้วย
แม้ว่าสิ่งที่เขียนอยู่ภายในจะเป็นคำจำพวกปรัชญา แต่เขาก็ยังสามารถอ่านมันได้
โจว เชียงเหมามองไปที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาด้วยความกังวล ตราบใดที่มีสัญญาณว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาจะปลูกฝัง เขาจะเป็นคนหยุดเอง
เราจะฝึกฝนเทคนิคที่เราไม่รู้จักได้ยังไง? เพราะเราไม่รู้ว่ามันเป็นของปลอมหรือไม่
ถ้าเลือกพลาดนั่นหมายถึงชีวิต
หลังจากนั้นไม่นานหลิน ฟานก็อ่านมันทั้งเล่มจบ เนื้อหาภายในไม่ได้มีอะไรน่าสนใจส่วนมากผู้เขียนจะโม้เกี่ยวกับวิชาของเขา
มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างภายในระบบสนับสนุนขนาดเล็ก
เทคนิคควบคุมแมลง: ยังไม่ได้เรียนรู้
มันเป็นของจริง
“ลูกพี่ลูกน้องเอาไปดูสิดูเหมือนว่ามันจะเป็นของจริง” หลิน ฟานโยนมันไปข้างหน้า
เนื่องจากระบบบันทึกมันไว้ นั่นก็หมายความว่ามันเป็นของจริง
ดูเหมือนว่าเพื่อนคนนั้นจะยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและไม่ได้คิดจะหลอกเขา
เขารู้สึกว่าสิบเหรียญที่เขาจ่ายไปมันคุ้มค่าเพราะนอกจากเขาจะได้รับคำเยินยอแล้ว เขายังได้เทคนิคการเพาะปลูกมาอีก
เงินสิบเหรียญที่เขาจ่ายไปมันไม่ได้สูญเปล่าแถมยังได้กำไรมหาศาลกลับมาอีกต่างหาก
ที่ด้านนอก
เฟิง โพหลิวที่เพิ่งออกมาจากห้องพนันรีบวิ่งออกตามหาหลิน ฟานโดยทันที
เชี่ย
ข้าหยิบเล่มผิด การพนันมันทำให้หัวของข้าเบลอ มิเช่นนั้นแล้วสิ่งนี้มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
สิ่งนั้นคือทั้งหมดของชีวิตของเขา เขายอมตายดีกว่าเสียมันไป
ในตอนนั้นเองเขาก็เห็นคนที่คุ้นเคยที่ศาลาเสาวธารเมามาย มันคือนายน้อยหลินผู้ให้เงินสิบเหรียญแก่เขา
“ในที่สุด! ในที่สุดข้าก็พบเขา!”
เฟิง โพหลิวกลายเป็นยินดีและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาคิดว่าเขาคงจะไม่สามารถหานายน้อยหลินได้และคิดที่จะมุ่งหน้าไปที่ตระกูลหลินซึ่งเป็นทางที่เสี่ยงกว่า เมื่อมองไปที่สถานการณ์ตรงหน้าเขาก็อดคิดไม่ได้เลยว่าสวรรค์กำลังให้โอกาสเขา
เขาเร่งฝีเท้าและรีบเดินไปทางหลินแฟนอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่เขาเห็นว่าเหลืออีกไม่ไกลเขาก็จะเข้าใกล้ศาลาเสาวธารเมามาย เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น
ตุบ
ถังขยะสั่นราวกับว่าของมีบางสิ่งตกลงมาข้างๆมัน
และเมื่อเฟิง โพหลินมองไปที่มันเขาก็สังเกตเห็นหนังสือเล่มหนึ่งลอยอยู่ในน้ำสกปรก
มันช่างดูคุ้นเคยเหลือเกิน
มันเหมือนของที่เขาเคยเห็นมาก่อน
“อะไรกัน!?” รูม่านตาของเฟิง โพหลิวหดตัวลง มันคือเทคนิคควบคุมแมลง มันคือชีวิตของเขา เขาไม่ได้สนใจว่ามันจะสกปรกมากเพียงใดเขารีบเดินไปขว้ามันทันที
มันทั้งเปียกแถมยังส่งกลิ่นเหม็นออกมา
เขาพลิกเปิดมันและพบว่าเนื้อหาข้างในมันเป็นสิ่งที่เขาต้องการจะเห็น
“ข้าได้มันกลับมา ในที่สุดข้าก็ได้มันกลับมา”
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกมันช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้
ถ้าหากเขาหามันไม่พบเขาก็คงจะอยู่ในเมืองนี้จนกว่าเขาจะหามันเจอ
และตอนนี้เขาก็ได้รับมันคืนแล้วดังนั้นเขาจึงพร้อมที่จะออกเดินทางต่อ
แต่ทันใดนั้นเองเขาก็หยุดเดินเมื่อเขามาถึงด้านหน้าของศาลาเสาวธารเมามาย
การแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปและเริ่มที่จะพึมพำกับตัวเอง
“นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?”
“เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่? เขาไม่สนใจเทคนิคชั้นยอดของข้าแล้วโยนมันทิ้งเหมือนขยะ ไม่! ปล่อยไว้ไม่ได้ ข้าต้องได้รับคำตอบจากเขา”
เฟิง โพหลิวก้าวเข้าสู่ศาลาเสาวธารเมามาย
เขาเป็นคนที่อยากจะรู้อะไรก็ต้องได้รู้
ภายในอาคารโจว เชียงเหมาไม่ได้สนใจหนังสือเล่มนั้นเลย ดังนั้นเมื่อเขาเห็นลูกพี่ลูกน้องมอบให้เขาเขาก็ทำเพียงแค่โยนมันออกไป
ของปลอม มันเป็นของปลอมแน่นอน
การทิ้งมันไว้แถวนี้มีแต่จะก่อปัญหาเท่านั้น
หลิน ฟานไม่ได้สนใจ มันโอเคตราบใดที่ลูกพี่ลูกน้องมีความสุข ยิ่งไปกว่านั้นชื่อเทคนิคควบคุมแมลงมันก็ไม่ได้ดึงดูดมากพอ แม้ว่ามันจะดูแข็งแกร่งแต่มันก็ไม่ได้น่าสนใจเลยสักนิด
ตึง! ตึง!
มีเสียงเดินดังขึ้นที่บันไดพร้อมกับคนจำนวนมากที่รีบไปตรงนั้น
“เจ้าไม่สามารถขึ้นไปได้! บอกมาว่าเจ้าเป็นใครกัน?” ผู้จัดการหยุดเฟิง โพหลิวเอาไว้ การแต่งกายของเฟิง โพหลิวนั้นน่าเกลียดเหมือนผู้ลี้ภัย ดังนั้นผู้จัดการจะอนุญาตให้เขาเข้ามาได้ยังไง
อย่างไรก็ตามเขาจะสามารถหยุดชายคนนี้ได้ยังไง?
“การต้อนรับแบบนี้มันอะไรกัน? ข้ามาที่นี่เพื่อหาคนเจ้าคงไม่คิดว่าข้าเป็นขอทานใช่หรือไม่?” เฟิง โพหลิวโกรธ มีคนปฏิบัติกับเขาเช่นเดียวกับขอทาน ถ้านี่เป็นหลายสิบปีก่อน เมื่อมีคนมาทำให้เขาโกรธเขาจะตบมันผู้นั้นทันที
“เกิดอะไรขึ้น?” หลิน ฟานมองออกไป เสียงมันดังมากและเขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับมันเล็กน้อย
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เห็นว่าเป็นใครที่ผู้จัดการกำลังพยายามดึงออกไป
ชายคนนั้นเป็นเหมือนสุนัขเขาสามารถเดินขึ้นมาได้โดยไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้
“น้องชายนี่ข้าเอง! ท่านช่วยบอกให้ผู้จัดการปล่อยข้าไปได้หรือไม่! ข้าเพียงแค่อยากจะมาหาท่านเท่านั้น!” เฟิง โพหลิวตะโกน
เขาไม่อยากจะรังแกคนที่อ่อนแอกว่า
มิฉะนั้นเพียงแค่เขาสะบัดแขนมันก็ทำให้ผู้จัดการที่อ่อนแอกระเด็นไปชนกำแพงจนกระอักเลือดออกมาแล้ว
“ผู้จัดการหยุดได้แล้วเขาเป็นคนรู้จักของข้าเอง” หลิน ฟานกล่าว
ผู้จัดการปล่อยมือของเขาจากนั้นการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไป เขากลายเป็นสุภาพมากขึ้น “อา เขาคือเพื่อนของนายน้อยหลินนี่เอง แล้วทำไมเจ้าไม่พูดให้มันเร็วกว่านี้ละ?”
“ข้าพูดไปนานแล้วแต่เจ้าไม่เชื่อข้า” เฟิง โพหลิวส่ายหัว
หลิน ฟานโบกมือของเขา “ผู้จัดการไปทำหน้าที่ของเจ้าต่อเถอะ ที่นี่ไม่มีอะไรให้เจ้าต้องกังวลทั้งนั้น”
“ข้าเข้าใจแล้วนายน้อยโปรดเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหาร ข้าจะรออยู่ด้านล่าง ถ้ามีอะไรท่านสามารถเรียกข้าได้เสมอ” ผู้จัดการฉลาดและรู้ว่าควรจะทำยังไง
หลิน ฟานในตอนนี้รู้สึกว่าเฟิง โพหลิวน่าสนใจเขาจึงพูดออกไปว่า “เจ้าเสียเงินทั้งหมดอีกแล้วหรือ? งั้นครั้งนี้เจ้ามีวิชาอะไรมาขายข้ากันละ?”
โจว เชียงเหมามองไปที่เฟิง โพหลิวด้วยความโกรธ
ทำไมชายผู้นี้ถึงได้ไร้ยางอายขนาดที่ว่าคิดที่จะหลอกลูกพี่ลูกน้องของเขาอีกครั้ง?
เฟิง โพหลิวไม่ได้โกรธ “น้องชายเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร? มันจะเป็นเรื่องนั้นไปได้ยังไง? แม้ว่าข้าจะชอบการพนัน แต่เรื่องที่ข้าขายเทคนิคลับเป็นเพราะข้ารู้สึกคุ้ยเคยกับท่าน”
“ข้าก็ดันหลงคิดไปว่าเจ้าจะมาเสนอขายสินค้าให้ข้า ถ้าไม่ใช่เรื่องนั้นแล้วเจ้าจะอยากมาพบข้าทำไม? แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไรข้าก็ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว” หลิน ฟานกล่าว
เฟิง โพหลิวรวบรวมคำพูดของเขาและพูดออกมาด้วยความโกรธ “น้องชายที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาถามว่าทำไมท่านถึงโยนเทคนิคของข้าไปที่ถังขยะ นี่ไม่เพียงแต่เป็นการดูถูกเทคนิคของข้าแต่มันรวมไปถึงข้าด้วย”
“เหอะ! ของปลอมก็ยังคงเป็นของปลอมวันยังค่ำ บอกมาว่าเจ้าต้องการอะไรกันแน่?” โจว เชียงเหมาเย้ยหยันอย่างเยือกเย็น
ถ้าไม่ใช่เพราะลูกพี่ลูกน้องของเขาอยู่ที่นี่เขาคงจะออกไปโจมตีนานแล้ว
“ของปลอม?” เฟิง โพหลิวพูดเสียงดังขึ้น “เจ้าตัวโต เจ้าตาบอดงั้นรึถึงได้บอกว่ามันเป็นของปลอม? แล้วเจ้ารู้อะไรไหมเพียงแค่ข้าวางมันไว้ข้างนอกมันก็สามารถทำให้เกิดสงครามนองเลือดได้เลย!”
โจว เชียงเหมายังคงดูถูกเขาอยู่
“ลูกพี่ลูกน้องมันเป็นของจริง” หลิน ฟานกล่าว
“ได้ยินไหม ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าบอกว่ามันเป็นของจริง” เฟิง โพหลิวชี้ไปที่โจว เชียงเหมาแล้วกล่าวออกมาด้วยความยินดี
อย่างไรก็ตามสิ่งต่อไปที่หลิน ฟานกล่าวมันก็ทำให้เฟิง โพหลิวโกรธมากจนต้องการจะแสดงพลังของเขา
“แต่มันก็ไม่ได้น่าสนใจเลยสักนิด” หลิน ฟานกล่าว
เมื่อได้ยินดังนั้นรอยยิ้มของเฟิงโพหลิวก็ได้หายไปในทันที
วิชานี้คือชีวิตของเขา สำหรับการที่บอกว่ามันน่าเบื่อและไม่น่าสนใจ มันก็เหมือนกับการเอาเล็บมาจิกที่หัวใจของเขา
“น้องชายคำพูดของท่านช่างทำร้ายข้าเหลือเกิน ท่านสามารถดูถูกข้าได้แต่ได้โปรดอย่าดูถูกวิชาของข้า”
“หนังสือเล่มนี้มีเล่มเดียว! และมันก็ไม่ได้มีสำเนาสำหรับส่งต่อ!”
“ข้าจะพูดความจริงกับท่าน ความจริงแล้วข้าต้องการใช้หนังสือเล่มอื่นเพื่อโกงท่าน แต่ข้าดันหยิบออกมาผิดเล่ม ดังนั้นข้าจึงต้องการจะได้ของจริงคืน มิฉะนั้นแล้วข้าคงไม่ออกมาตามหาท่านหรอก”
“แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ท่านได้ดูถูกวิชาของข้าและข้าก็ไม่สามารถทนมันได้อีกต่อไปแล้ว เอาละออกไปข้างนอกเมืองกัน ข้าอยากจะให้ท่านได้รู้ว่าวิชานี้มันแข็งแกร่งแค่ไหนและท่านจะได้รู้สึกเสียใจที่ปล่อยมันไป”
เฟิง โพหลิวไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว
การเผชิญหน้ากับคนที่ไม่เห็นคุณค่าของมันเช่นนี้ เขาจึงเหลือเพียงวิธีเดียวเท่านั้นในการพิสูจน์ตนเอง