เหลียง หยงฉีเฝ้ามองคฤหาสน์ตระกูลหลินจากภายนอกเป็นเวลานาน
เขากำลังคิดในใจว่าชายคนนี้กำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่
เพราะมีเพียงคนที่มีปัญหาด้านสมองเท่านั้นที่จะแจกจ่ายอาหารของตระกูลตนเองให้กับผู้อื่น
เขาสั่งให้คนรับใช้ที่ติดตามเขามาไปนำตัวชาวบ้านคนหนึ่งมาเพื่อยืนยันว่าของที่อยู่ในกระสอบมันเป็นข้าวจริงหรือไม่
ใบหน้าของชาวบ้านเปลี่ยนเป็นซีดขาวทันทีเมื่อเห็นเหลียง หยงฉี
พวกเขาคิดว่าตระกูลเหลียงกำลังจะมาแย่งอาหารไปจากพวกเขาอีกครั้ง
เหลียง หยงฉีขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจกับท่าทางของชาวบ้าน เขาจึงมองเข้าไปในกระสอบและตกใจทันที
มันเต็มไปด้วยข้าวจริงๆ
ใบหน้าของเขากระตุก
หรือเพื่อนคนนี้จะเป็นคนที่ไร้ประโยชน์จริงๆ?
“ฮ่า ฮ่า เขานี่มันโง่จริงๆ ตระกูลหลินนะตระกูลหลิน เจ้าจะสามารถสนับสนุนเขาไปได้นานแค่ไหนกัน?” เหลียง หยงฉียิ้มออกมาอย่างมืดมน เขาไม่ได้ชอบหลิน ฟานมาตั้งแต่แรกแล้ว
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ความโกรธแค้นก็ได้ถูกจุดขึ้นในใจของเขา
‘ความโกรธ +111’
………
“ตอนแรกข้าก็สงสัยว่าใครกำลังโกรธ ที่แท้มันก็เป็นนายน้อยสามนี่เอง บาดแผลบนใบหน้าของเจ้าหายแล้วจึงออกมามองหาปัญหาอีกครั้งงั้นรึ?”
หลิน ฟานโบกพัดของเขาขณะเดินออกมาจากคฤหาสน์พร้อมกับลูกพี่ลูกน้อง
แม้ว่าชาวบ้านจะซาบซึ้งจนหลั่งน้ำตา แต่สำหรับหลิน ฟานแล้วมันเป็นเพียงเรื่องปกติที่ไม่ควรพูดถึงเท่านั้น
เหลียง หยงฉีรู้สึกตื่นตระหนกอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้ยินเสียงนั้น
มันคุ้นเคยเกินไป
แม้ว่าเขาจะกลายเป็นขี้เถ้าเขาก็จะไม่มีวันลืมเจ้าของเสียงนี้
“เจ้าต้องการอะไร?” เหลียง หยงฉีอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลัง แต่เมื่อเขานึกได้ว่าเขามากับใคร เขาก็กลับมามีความกล้าอีกครั้ง
เขาถูกหลิน ฟานทุบตีบ่อยจนรู้สึกกลัว
เขารู้สึกกลัวมากจนหากออกไปข้างนอกโดยไม่พาใครไปด้วยเขาจะไม่รู้สึกถึงความปลอดภัย
ในตอนนี้คนที่ยืนอยู่ข้างๆเหลียง หยงฉีคือชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าธรรมดาคนหนึ่ง เขาธรรมดามากจนเราจะไม่สังเกตเห็นเขาเลยหากเราโยนเขาเข้าไปในฝูงชน
“ลูกพี่ลูกน้อง เขาคือครูฝึกของคฤหาสน์ตระกูเหลียงและเขาก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง” โจว เชียงเหมากระซิบ
หลิน ฟานไม่ได้สนใจเขาโบกพัดในมืออย่างสบายๆและยิ้มออกมา “นายน้อยสามเจ้ากำลังกลัวอะไร? ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าแน่นอนดังนั้นอย่าได้กังวลเกินไป มันเป็นการดีที่เจ้านำคนออกมาข้างนอกด้วยมากขึ้น แต่มันก็ทำให้เจ้าอึดอัดมากขึ้นเช่นกัน ทำไมเจ้าไม่ทำเหมือนนายน้อยผู้นี้ล่ะ ข้าเพียงแค่นำลูกพี่ลูกน้องมาคนเดียวก็สามารถอัดใครก็ได้ตามที่ข้าต้องการ”
‘ความโกรธ +123’
เหลียง หยงฉีโกรธหลิน ฟานมาก เขาไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อชายคนนี้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาบอกว่าจะไม่ทุบตีข้า?
สองสามครั้งที่ผ่านมาข้าถูกทุบตีอย่างทารุณ
ในฐานะนายน้อยสามของตระกูลเหลียงบวกกับครูฝึกของคฤหาสน์ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาจะต้องกลัวอะไรอีก? เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นสงบ
“ข้าก็แค่ทำในสิ่งที่ข้าต้องการดั่งเช่นเจ้า แต่จะว่าไปนายน้อยหลินเจ้านี่ช่างใจกว้างจริงๆเลยนะ การที่เจ้าแจกจ่ายอาหารของตระกูลหลินเช่นนี้ หัวหน้าตระกูลไม่ได้ว่าอะไรเจ้าเลย?” เหลียง หยงฉีกล่าว ออกมาด้วยน้ำเสียงที่มืดมน
หลิน ฟานยิ้ม “อะไรนะ? เจ้าอยากจะพูดอะไร? ข้าคือนายน้อยของตระกูลหลินเป็นทายาทเพียงคนเดียว ดังนั้นข้าจึงมีสิทธิ์ที่จะสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ข้าต้องการ ต่างจากบางคนที่ไม่กล้าทำตามใจตัวเอง และทำได้เพียงทำตามคำสั่งเหมือนหุ่นเชิดที่ไม่มีความสำคัญเท่านั้น”
เหลียง หยงฉีโกรธมากจนหน้าแดงก่ำ
เห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านั้นพุ่งเป้ามาที่เขา
‘ความโกรธ +66’
หลิน ฟานดูถูกเล็กน้อยเพราะคะแนนความโกรธที่เขาได้รับมันน้อยเกินไป แต่ก็ช่างมันเถอะไม่ว่ามันจะน้อยแค่ไหนยังไงมันก็เป็นคะแนน
“ลูกพี่ลูกน้องไปเดินเล่นกันเถอะ เพราะวันนี้ข้ารู้สึกว่าที่นี่จะไม่สงบ” หลิน ฟานถอนหายใจ
โจว เชียงเหมาเงยหน้าขึ้นด้วยความสับสน “โอเค”
หลิน ฟานยิ้มและไม่ได้พูดอะไรอีก เขาไม่ได้สนใจเหลียง หยงฉีและเดินออกไป
“ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจอะไรเช่นนี้ แล้วสักวันเจ้าจะเสียใจ” เหลียง หยงฉีมองไปที่หลิน ฟานด้วยความโกรธ เจ้าลูกครึ่งสุนัขนั้นรู้เพียงวิธีรังแกผู้อื่นเท่านั้น
ตอนนี้เขาจะไม่สนใจมันก่อน
เพราะทันทีที่เขากลายเป็นหัวหน้าตระกูลเหลียง เขาจะประกาศสงครามกับตระกูลหลินทันทีและจะสู้กันจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหายไป
เขาไม่รู้ว่าพ่อของเขากลัวอะไร
มันเป็นแค่หลิน วานยี่คนเดียวไม่ใช่หรือ หากตระกูลหยวนและเหลียงร่วมมือกันเราก็น่าจะกำจัดเขาออกไปได้
ณ ถนนห่างไปไม่ไกล
“ลูกพี่ลูกน้องเราไม่ได้จะกลับไปที่คฤหาสน์กันเหรอ?” โจว เชียงเหมาถาม เขาไม่รู้ว่าลูกพี่ลูกน้องหาข้าวมาเยอะขนาดนี้ได้ยังไง ถ้ามันถูกส่งมาเมื่อคืนเขาจะต้องรู้แน่นอน แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าสนใจอะไร? สุดท้ายมันก็เป็นแค่การแจกข้าวที่น่าเบื่อเท่านั้น”
หลิน ฟานโบกมือของเขาราวกับมันเป็นเรื่องเล็กน้อย
เป้าหมายสูงสุดของเขาคือการเผชิญหน้ากับตระกูลเหลียง
มันเป็นนิสัยของเขาที่เมื่อเขาพบกับเรื่องที่ทำให้เขาไม่พอใจเขาจะสู้กับมัน
“เจ้ารู้ไหมเมื่อคืนข้าวในยุ้งฉางของตระกูลเหลียงหายไปในชั่วข้ามคืน”
“นั่นเป็นเรื่องจริง? ใครมันกล้าขนาดนั้น?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เราไปดูด้วยกันเถอะ”
ชาวบ้านหน้าตาธรรมดาสองคนรีบวิ่งผ่านเขาไป
ดูเหมือนว่าเรื่องยุ้งฉางที่ถูกปล้นของตระกูลเหลียงจะได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
“มันจะเป็นไปได้ยังไง? ยุ้งฉางคือสถานที่ที่สำคัญที่สุดของทุกตระกูล มันมียามมากมายคอยปกป้องดังนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไงที่จะถูกปล้นภายในคืนเดียว?”
โจว เชียงเหมาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
“เราสามารถไปดูกันได้” หลิน ฟานรู้สึกยินดี เขาไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นจะโกรธมากแค่ไหนและเขาก็สงสัยว่าเขาจะได้รับคะแนนมากเท่าไหร่
แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ปัจจุบันเขาไม่ได้รับคะแนนเลยแม้แต่นิดเดียว
นั่นหมายความว่าพวกเขาอาจจะยังไม่รู้ว่าใครทำ ซึ่งมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่ได้รับคะแนน
ณ ยุ้งฉาง
หัวหน้าตระกูลเหลียงที่มีใบหน้าบึ้งตึงมองไปที่ยุ้งฉางที่เหลือเพียงกระสอบเปล่า เพลิงแห่งความโกรธกำลังลุกโชนอยู่ในใจของเขา
ชายคนหนึ่งสูดกลิ่นในอากาศพร้อมกับสังเกตทุกเบาะแสรอบๆ ดวงตาของเขาเหมือนเหยี่ยวซึ่งสามารถหาเป้าหมายและมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น
เขาคือซู เซียง เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนของตระกูลเหลียง เขาไม่ใช่คนจากตระกูลเหลียงแต่มาจากนอกเมือง เขาสามารถหาความจริงได้จากเบาะแส
แต่ในตอนนี้เขากลับขมวดคิ้วแน่น
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ลุกขึ้นและกล่าวด้วยความเศร้า “ท่านหัวหน้าตระกูลตอนนี้ข้ายังไม่พบอะไร”
ใบหน้าของหัวหน้าตระกูลเหลียงเย็นชา ยุ้งฉางได้รับการป้องกันอย่างหนาแน่น แล้วข้าวทั้งหมดมันจะถูกขโมยโดยไม่มีสัญญาณหรือการเคลื่อนไหวได้อย่างไร?
ซู เซียงก้มหน้าลงและพยายามคิด
ทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นของเหลวหนืดที่มุม
เขาคุกเข่าลงทันทีและหยิบดินที่มีของเหลวหนืดขึ้นมาดูอย่างระมัดระวัง
“มันคืออะไร?” หัวหน้าตระกูลเหลียงถามขึ้นมา
เขาเพียงต้องการหาคนร้ายที่ทำเรื่องนี้และฉีกมันเป็นชิ้นๆ
ซู เซียงขมวดคิ้ว เขาแลบลิ้นออกมาและเลียของเหลวนั้น เมื่อมันเข้าไปในปากเขาก็หลับตาทันที
“หัวหน้าตระกูล มันคือของเหลวจากไส้เดือน” ซู เซียงกล่าว
“ไส้เดือน?”
หัวหน้าตระกูลเหลียงขมวดคิ้ว ข้าวที่ถูกขโมยมันเกี่ยวอะไรกับไส้เดือน?
“อย่าขยับ และห้ามแตะต้องอะไรทั้งนั้น” ซู เซียงบอกให้ทุกคนอยู่นิ่งๆ จากนั้นเขาก็เดินไปที่กระสอบที่ถูกฉีกและคว้ามันมาดูใกล้ๆอย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นไม่นานซู เซียงก็เปิดปากของเขา “ท่านหัวหน้าตระกูลข้ารู้แล้วว่าใครทำ”
“มันคือใคร?” หัวหน้าตระกูลเหลียงถามอย่างกังวล
“หุบเขาแมลง” ซู เซียงกล่าว
หัวหน้าตระกูลเหลียงขมวดคิ้ว เขาไม่คุ้นกับชื่อหุบเขาแมลงเลย
ซู เซียงกล่าว “ท่านหัวหน้าตระกูล หุบเขาแมลงเป็นชื่อสำนักหนึ่ง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้พวกเขาต้องปิดหุบเขาจากโลกภายนอก พวกเขามีความสามารถแปลกๆที่สามารถควบคุมแมลงได้ ของเหลวที่เห็นอยู่บนพื้นมันมาจากไส้เดือน และรอยกัดที่ฉีกกระสอบก็ดูเหมือนว่าจะเกิดจากแมลง”
“จากการคาดการณ์ของข้า มันน่าจะมีคนควบคุมไส้เดือนให้ขุดทางแล้วใช้แมลงย้ายข้าวออกไป”
“อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น ถ้าพูดกันตามตรงมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะในการควบคุมแมลงมันต้องมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งมาก และในเมืองหยูฉางมันก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถใช้กำลังภายในทำเรื่องแบบนี้ได้”
“ที่สำคัญเลยก็คือวิชาควบคุมแมลงมันจะไม่ถูกส่งต่อให้บุคคลภายนอก และคนนอกก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะมันไม่เป็นที่รู้จัก”
ถ้าหลิน ฟานอยู่ที่นี่เขาคงจะสบถออกมา
เชี่ย ทำไมเขาถึงพูดถูกทุกอย่าง? เขาอยู่ตอนที่ข้าลงมืองั้นหรือ?
“ปิดเมือง! ข้าจะตรวจสอบปิดเมืองซะ!” หัวหน้าตระกูลเหลียงตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
ในความคิดของเขาสิ่งที่ซู เซียงพูดเป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการ
ซู เซียงไม่ได้พูดอะไรอีกเขามีคำถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาก็เชื่ออย่างสุดใจว่าเป็นคนจากหุบเขาแมลงแน่นอน เพราะในเมืองหยูฉางมันไม่มีคนที่มีความสามารถเช่นนี้