นอกยุ้งฉาง
หลิน ฟานโบกพัดกระดาษส่ายหัวและพูดออกมาด้วยความเสียใจ “อา~ ข้าไม่อยากจะมองเลย ใครเป็นคนทำกันนะ? การที่สามารถขโมยของในยุ้งฉางทั้งหมดได้ช่างน่ากลัวจริงๆ”
ขณะที่เขาพูดสีหน้าของเขาดูหวาดกลัวมาก
‘ความโกรธ +66’
ความโกรธมันมาจากไหน? ในตอนที่เขากำลังคิดเรื่องนี้เขาก็ตระหนักว่ามันเป็นหัวหน้าตระกูลเหลียงที่นำคนของเขาออกมาจากยุ้งฉาง
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้ยินสิ่งที่เขาพูดอีกต่างหาก
ในเมื่อเป้าหมายอยู่ตรงหน้าแล้ว หากไม่ยั่วโมโหเสียหน่อยเขาคงรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป
ชาวบ้านเริ่มมารวมตัวกันรอบๆ
การที่ยุ้งฉางของตระกูลเหลียงถูกขโมยมันเป็นเหตุการณ์สำคัญ
พวกเขามองเรื่องตรงหน้าราวกับละครฉากหนึ่ง ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ตกใจ ใครกันที่กล้าปล้นยุ้งฉางของตระกูลเหลียง? พวกเขาอยากจะตายกันรึไง
อย่างไรก็ตามสำหรับชาวบ้านอย่างพวกเขาเรื่องแบบนี้มักได้รับความนิยมเสมอ
แต่เดิมความจริงเรื่องที่ยุ้งฉางของตระกูลเหลียงถูกปล้นไม่ควรจะกระจายออกไป ถ้าหากอยากจะโทษใครก็ควรไปโทษพวกยามที่ตะโกนออกมาเมื่อพบเรื่อง นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั่วทั้งเมืองรู้ว่ายุ้งฉางของพวกเขาถูกปล้น
“ท่านหัวหน้าตระกูลเหลียง ข้าได้ยินมาว่ายุ้งฉางของท่านถูกปล้น ใครมันเป็นคนทำกัน? ข้ากลัวว่าท่านจะต้องสูญเสียมากเป็นแน่” หลิน ฟานกล่าวด้วยรอยยิ้มโดยไม่ปิดบังสีหน้าเศร้าหมองของเขา
‘ความโกรธ +111’
หัวหน้าตระกูลเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะที่มองหลิน ฟานอย่างโกรธเกรี้ยว
แค่มีคนมาขโมยของในยุ้งฉางมันก็ทำให้เขาโกรธมากแล้ว และตอนนี้เจ้าเด็กนี้ก็ปรากฏตัวออกมาและพูดเช่นนี้ เขาต้องการอะไร?
เขาจงใจทำแบบนั้นเพื่อให้ข้าโกรธ?
“อา มันมีคำพูดเก่าๆอยู่คำหนึ่ง มันคืออะไรนะ? อ๋อ สวรรค์มีตา มันเป็นเรื่องง่ายที่จะขโมยข้าวของผู้อื่น แต่สุดท้ายกรรมก็ตามทัน” หลิน ฟานกล่าว
‘ความโกรธ +233’
“เจ้าพูดพอรึยัง?” หัวหน้าตระกูลเหลียงกล่าวด้วยความโกรธ ถ้าหากคนที่พูดไม่ใช่นายน้อยของตระกูลหลิน เขาคงอัดมันไปแล้ว
หลิน ฟานส่ายหัว “แน่นอนว่าข้ายังพูดไม่พอ แถมยังรู้สึกตื่นเต้นอีก ข้าว่าเรามาหาความจริงไปด้วยกันดีกว่า บางทีเราอาจจะพบเบาะแสก็ได้ใครจะรู้”
“ไม่ต้องกังวล ตัวข้านั้นรู้สึกเห็นใจตระกูลเหลียงจริงๆสำหรับเรื่องนี้ ข้าไม่ได้มีเจตนามาเยาะเย้ยเลยแม้แต่น้อย”
แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เชื่อเลยว่าสิ่งที่เขาพูดมันคือความจริง
แต่โจว เชียงเหมากลับเชื่อในสิ่งที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาพูด
สำหรับคนอื่นๆพวกเขารู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่นายน้อยหลินพูดออกมามันก็แค่เรื่องไร้สาระที่ทำให้เขาดูดีเท่านั้น
“ท่านพ่อ”
ในตอนนั้นเองเหลียง หยงฉีก็รีบเข้ามาพร้อมการแสดงออกที่น่าเกลียด และเมื่อเขารู้ว่ายุ้งฉางของตระกูลถูกปล้นวิญญาณของเขาก็แทบจะลอยออกจากร่าง
“ท่านพ่อข้าได้ยินมาว่ายุ้งฉางของเราถูกปล้น มันเป็นความจริงงั้นเหรอ?” เหลียง หยงฉีถาม
มันจะเป็นของเขาในอนาคต
แต่ตอนนี้มันหายไปราวกับมีคนเอาไม้มาตีขาของเขา
หัวหน้าตระกูลเหลียงตอบเขาอย่างเย็นชา
ม่านตาของเหลียง หยงฉีหดเล็กลงด้วยความไม่เชื่อ จากนั้นเขาก็รีบวิ่งเข้าไปในยุ้งฉางอย่างรวดเร็ว และออกมาหลังจากนั้นไม่นาน เขาออกมาด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง
ทันใดนั้นเองเหลียง หยงฉีก็สังเกตเห็นหลิน ฟานที่ยืนอยู่ตรงนั้นและกำลังยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาดูเหมือนจะคิดบางอย่างได้และเดินไปหาหลิน ฟานด้วยความโกรธและพยายามคว้าคอเสื้อของเขา แต่อย่างไรก็ตามโจว เชียงเหมาก็ได้มาหยุดเขาเอาไว้เสียก่อน
“มันคือเจ้า! มันต้องเป็นเจ้าแน่ๆ!”
เสียงตะโกนของเขาดึงดูดความสนใจของทุกคน
นายน้อยสามของตระกูลเหลียงชี้ไปที่หลิน ฟานและพยายามบอกเขารับผิดชอบ
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนสับสน
หลิน ฟานโบกพัดอย่างใจเย็น “เหลียง หยงฉีเจ้าสามารถกินขี้ได้ แต่เจ้าไม่สามารถพูดเรื่องไร้สาระได้ และถ้าหากเจ้าอยากจะกินขี้ข้าก็จะไม่หยุดเจ้าแถมยังจะหาอันที่มันอุ่นๆให้กับเจ้าอีกด้วย แต่ถ้าเจ้าต้องการจะใส่ร้ายข้า ข้าจะสู้กับเจ้าจนตายไปข้างหนึ่ง”
“เจ้า…” เหลียง หยงฉีโกรธมากจนตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ จากนั้นเขาก็หันหน้ากลับมาและพูด “ท่านพ่อ ตอนนี้เขากำลังแจกข้าวให้กับหมู่บ้านตระกูลฉินและจาง ในขณะเดียวกันยุ้งฉางของเราก็ถูกปล้น ท่านไม่คิดว่ามันจะบังเอิญไปหน่อยหรือ?”
‘ความโกรธ +123’
หัวหน้าตระกูลเหลียงมองไปที่หลิน ฟาน ตาของเขามืดลงเห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ฮ่าฮ่า น่าสนใจ การที่ตระกูลหลินของข้าแจกข้าวมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า ข้ามีเงินดังนั้นข้าจึงสามารถทำอะไรก็ได้ มันมีตรงไหนที่ผิดปกติ?” หลิน ฟานไม่ได้กลัว แต่ถ้าพูดกันตามตรงหากเขาไม่มีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งเขาอาจะกลัวจริงๆก็ได้
แต่ตอนนี้?
มามาเราจะสู้กันและดูสิว่าใครจะเป็นฝ่ายแพ้ก่อน
ขนาดชายชราจากตระกูลหยวนยังหลบสายตาจากพ่อของเขา นับประสาอะไรกับหัวหน้าตระกูลเหลียงที่อ่อนแอกว่ามาก
หลังจากนั้นหลิน ฟานก็ตะโกนออกมา “พวกเจ้าทุกคนหยุดมอง! หยุดมองได้แล้ว! ตระกูลเหลียงบ้าไปแล้ว! พวกเขาเหมือนหมาบ้าที่พร้อมจะกัดทุกคน! โชคดีที่ข้ามีพื้นฐานครอบครัวที่แข็งแกร่งข้าจึงไม่กลัว แต่สำหรับพวกเจ้าหากพวกเขากล่าวหาเรื่องมันคงจบไม่สวย!”
ชาวบ้านถอยออกมาและมองไปที่สมาชิกตระกูลเหลียงด้วยความกลัว
คำพูดของนายน้อยหลินฟังดีเหตุผล
หากพวกเขาต้องการหลักฐานมันก็ไม่มีใครสามารถออกจากที่นี่ได้
‘ความโกรธ +333’
“หุบปาก!!” หัวหน้าตระกูลเหลียงมองไปที่หลิน ฟานด้วยความโกรธ “นายน้อยหลินสิ่งที่เจ้าพูดมันมากเกินไป ยุ้งฉางของเราถูกขโมยและเจ้าก็แจกข้าวในวันเดียวกัน เจ้ามีหลักฐานอะไรไหมที่พิสูจน์ว่าเจ้าบริสุทธิ์?”
หลิน ฟานมองไปที่หัวหน้าตระกูลเหลียงราวกับองคนโง่คนหนึ่ง
“บริสุทธิ์? ทำไมข้าต้องพิสูจน์อะไรแบบนั้นด้วย? หากท่านต้องการหลักฐานก็ไปหาจากพ่อข้านู้นท่านคงยินดีที่จะคุยเรื่องนี้ด้วย”
เขาโยนทุกอย่างไปให้พ่อของเขา
“โอ้ จริงด้วย! ตระกูลหลินของข้ากำลังแจกข้าวให้กับพวกชาวบ้าน แต่อย่าแม้แต่จะคิดปล้นพวกเขาเด็ดขาด ไม่งั้นเจ้าจะกลายเป็นศัตรูกับเรา ส่วนผลลัพธ์ท่านน่าจะทราบอยู่แล้ว” หลิน ฟานกล่าว
คำพูดของเขาค่อนข้างรุนแรงเล็กน้อย
ตระกูลชนชั้นสูงทั้งสามของเมืองหยูฉางมีความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆมากมายตลอดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่มันไม่มีครั้งไหนเลยที่สามารถเรียกได้ว่าสงครามจริงๆ
แม้แต่หลิน ฟานเองก็ไม่รู้ว่าสงครามมันจะเริ่มตอนไหน
ช่างมันเถอะ
เขาก็แค่ต้องเปิดก่อน มิฉะนั้นเขาก็ไม่อาจสร้างรากฐานได้
หัวหน้าตระกูลเหลียงกำหมัดแน่น ความโกรธมันอัดแน่นอยู่เต็มอกขณะที่เขามองไปที่หลิน ฟานด้วยความโกรธ
หลิน ฟานไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ท่านหัวหน้าตระกูลเหลียง ได้โปรดอย่ามองข้าแบบนั้น ท่านจะมองข้าไปเพื่ออะไร? ยังไงข้าวของท่านมันก็ไม่กลับมาเองหรอก อย่างไรก็ตามข้ารู้สึกว่าท่านควรจะหาคนทรยศก่อนเป็นอันดับแรก” หลิน ฟานกล่าว
‘ความโกรธ +444’
‘ความโกรธ +666’
คะแนนความโกรธที่เขาได้รับทะยานขึ้นพร้อมกับความโกรธของหัวหน้าตระกูลเหลียงที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ซู เซียงตกอยู่ในห่วงความคิด
ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา บ่อยครั้งที่ผู้ร้ายมักปรากฏตัวในที่เกิดเหตุ
นายน้อยหลินดูน่าสงสัยมาก แต่เขาไม่สามารถพูดแบบไม่มีหลักฐานได้
เพราะความแข็งแกร่งของตระกูลหลินไม่อาจมองข้ามได้โดยเฉพาะหลิน วานยี่ แม้เขาจะไม่เคยสู้กันมาก่อน แต่เขาก็เคยเห็นด้วยตาตัวเอง หลิน วานยี่ให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่ไม่สามารถวัดได้
ยิ่งไปกว่านั้นความแข็งแกร่งของนายน้อยหลินก็ไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วย
ดูเหมือนว่าเขาคงคิดมากไปเอง
จริงๆแล้วถ้าหลิน ฟานรู้ว่าซู เซียงกำลังคิดอะไรอยู่เขาคงยกนิ้วโป้งให้
เจ้าสุดยอดจริงๆ
เขาสามารถคาดเดาเรื่องทั้งหมดได้ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีความกล้ามากพอ
ถ้าเขากล้ามากกว่านี้ทุกอย่างคงเรียบร้อยไปแล้ว
“ลูกพี่ลูกน้องเจ้าไม่คิดว่าวันนี้อากาศดีเหรอ ทุกอย่างดีอารมณ์ของข้าก็เลยดีตามไปด้วย เราไปดื่มกันที่ศาลาเสาวธารเมามายกันดีกว่า ท่านหัวหน้าตระกูลเหลียงถ้าสิ่งเก่าไม่ไป สิ่งใหม่ก็จะไม่มา ครั้งนี้ตระกูลเหลียงของท่านสูญเสียอย่างหนัก ทำไมท่านไม่ให้ข้าเลี้ยงน้ำเต้าหู้ที่แผงลอยข้างทางให้ชุ่มคอเสียหน่อยละ?” หลิน ฟานกล่าว
“น่ารังเกียจ” เหลียง หยงฉีกำหมดแน่น “เจ้าสกุลหลินอย่าได้หยิ่งผยองเกินไปนัก!”
‘ความโกรธ +133’
เพื่อนคนนี้ช่างไร้ค่าเสียจริง
คะแนนความโกรธที่ได้ก็ช่างน้อยนิด เขาจะโกรธมากกว่านี้และระเบิดเหมือนภูเขาไฟไม่ได้หรือ?
หัวหน้าตระกูลเหลียงพยายามทำให้ตัวเองใจเย็นลง “ไม่จำเป็น เชิญนายน้อยหลินไปกินคนเดียวเถอะ”
เขาสะบัดมือด้วยความโกรธโดยที่ไม่ได้มองไปที่หลิน ฟาน
“งั้นเราไปกันเถอะลูกพี่ลูกน้อง” หลิน ฟานยิ้มและมองไปที่เหลียง หยงฉี การมองของเขาถือเป็นการยั่วยุอย่างหนึ่ง
ถ้าเจ้าไม่พอใจก็มาทุบตีข้าสิ
สุดท้ายมาดูกันว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ
ชาวบ้านจะไม่รู้ถึงความขัดแย้งระหว่างตระกูลเหลียงและนายน้อยหลินได้อย่างไร
คำพูดของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยกลิ่นของดินปืน
ณ คฤหาสน์ตระกูลหลิน
หลิน วานยี่กำลังขมวดคิ้ว ข้าวในยุ้งฉางของตระกูลไม่ได้ลดลงแต่ลานด้านหลังกลับเต็มไปด้วยข้าว ในเวลาเดียวกันยุ้งฉางของตระกูลเหลียงก็ถูกปล้น
แม้แต่คนโง่ก็ยังเดาได้เลยว่าใครเป็นคนทำ
ไม่สิ คนนอกไม่รู้ว่าข้าวในยุ้งฉางของตระกูลหลินไม่ได้ลดลง
“เด็กนี่ทำได้ยังไง?”
“ไม่มีทาง”
“พี่วู่ เจ้ามุ่งหน้าไปที่ยุ้งฉางและจัดให้ยามสองคนเฝ้าข้างใน”
เจ้าเด็กไม่เอาไหนสามารถกวาดล้างยุ้งฉางของตระกูลเหลียงได้โดยไม่ส่งสัญญาณใดๆ ถ้าเกิดวันหนึ่งสมองของเขามีปัญหาเขาอาจจะปล้นยุ้งฉางของตระกูลตนเองก็เป็นได้
เขาต้องป้องกันก่อนที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น