ณ ตระกูลหยวน
“ท่านพ่อยุ้งฉางของตระกูลเหลียงถูกปล้นโดยไม่เหลืออะไรเลย คนที่ทำมันช่างโหดเหี้ยมนัก!” มันเป็นหยวน เทียนชูที่รีบเดินเข้ามาในห้องโถง เมื่อเขาเห็นว่าพ่อของเขากำลังดื่มชาเขาก็เล่าให้ท่านฟังทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
การแสดงออกของหัวหน้าตระกูลหยวนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องยุ้งฉางถูกปล้นเป็นเรื่องใหญ่
ตอนนี้ตระกูลเหลียงจะต้องระเบิดอย่างแน่นอน
“พวกเขารู้หรือไม่ว่าใครทำ?” หัวหน้าตระกูลหยวนถาม
หยวน เทียนชูส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ แต่มีอย่างหนึ่งที่น่าสนใจเจ้าขยะจากตระกูลหลินกำลังแจกข้าวให้ชาวบ้านของทั้งสองหมู่บ้านตั้งแต่เช้า ท่านพ่อ ท่านคิดว่าสมองของเขามีปัญหาไหม? เพราะเขาสามารถทำร้ายตนเองได้เพื่อช่วยผู้อื่น การเป็นคนดีมันไม่ใช่เรื่องง่าย”
“เขาน่าสงสัยจริงๆ” หัวหน้าตระกูลหยวนจมอยู่ในความคิดและพูดออกมา “ยุ้งฉางของตระกูลเหลียงถูกปล้นขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็กำลังแจกข่าว ตระกูลเหลียงไม่สงสัยพวกเขาเลยรึไงกัน?”
“พวกเขาทำ เหลียง หยงฉียืนยันเหมือนคนบ้าว่าหลิน ฟานเป็นคนทำ แต่น่าเสียดายเขากลับไม่มีหลักฐานใดๆ สุดท้ายข้อกล่าวหาของเขาจึงกลายเป็นเท็จ” หยวน เทียนชูกล่าว
แม้ว่ามันจะไม่ใช้ยุ้งฉางของเขาที่ถูกขโมย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเขากลับตื่นตระหนก
เพื่อที่จะสามารถปล้นยุ้งฉางทั้งหมดได้โดยไม่ส่งเสียงหรือดึงดูดความสนใจใดๆ คนๆนั้นจะต้องมีความสามารถอย่างมาก
“ไปเพิ่มการป้องกันของยุ้งฉาง” หัวหน้าตระกูลหยวนออกคำสั่ง ถ้าคนๆนั้นตั้งเป้ามาที่ตระกูลหยวนเขาจะไม่แย่รึไง?
เขาต้องเตรียมพร้อมสำหรับอันตราย
มันไม่ได้เกิดขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เกิด
มันจะไม่แย่กว่าหรือหากมันเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรกับมันได้?
ศาลาเสาวธารเมามาย
หลิน ฟานค่อนข้างผ่อนคลาย หลังการกระทำที่ไร้ยางอาย เขาก็สังเกตเห็นว่าตราบใดที่เขายังอยู่ในเมืองหยูฉางเขาก็สามารถทำอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ
ทั้งตระกูลเหลียงและหยวนต่างเป็นตระกูลชนชั้นสูงในเมืองหยูฉางเหมือนกัน แต่หัวหน้าตระกูลของพวกเขากลับโดนเขาหยอกล้อ
ถ้าหากท่านพ่อคิดว่าเขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ท่านคงดุเขาและบอกให้เขาขอโทษไปแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าพ่อของเขาดูจะไม่สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
ท่านไม่ได้คิดจะให้คำอธิบายกับพวกเขาด้วยซ้ำ
พูดตามตรงการที่พ่อไม่ได้ดุเขามันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่กลัว
อย่างมากเขาก็แค่ต้องหลบอยู่ในเมืองหยูฉาง
แต่ถ้าหากเขาอยากออกไปเดินเล่นข้างนอกเขาก็แค่ต้องใช้ระบบสนับสนุนขนาดเล็กเพื่อยกระดับพลังของเขา ดังนั้นมันจึงไม่น่าเป็นปัญหานัก
ณ คฤหาสน์ตระกูลหลิน
ตอนเขากลับมาชาวบ้านก็ยังคงเข้าแถวรอคิวแจกข้าวอยู่
ชาวบ้านรู้สึกขอบคุณจริงๆ พวกเขาไม่ได้พยายามซ่อนมันขณะที่คุกเข่าขอบคุณเขา
พวกเขากตัญญูและรู้จักจดจำความเมตตา
ในขณะที่หลิน ฟานกำลังจะเดินกลับไปที่ลานด้านหลังเพื่อนอนพ่อของเขาก็เข้ามาเสียก่อน “เจ้าเป็นคนปล้นยุ้งฉางใช่หรือไม่?”
“แน่นอนว่ามันไม่ใช่ข้า ท่านคิดว่าข้าเป็นคนขโมยงั้นหรือ?” หลิน ฟานปฏิเสธ เขาไม่ได้ทำแมลงต่างหากที่ทำหากอยากหาคนร้ายก็ไปโทษพวกแมลงสิ
อย่างไรก็ตามเขาก็สังเกตเห็นว่าสายตาที่พ่อมองเขามันดูแปลกไปเล็กน้อย
ราวกับเขาจะถามว่าเจ้าคิดว่าพ่อโง่งั้นรึ?
“ท่านพ่อท่านไม่เชื่อข้า?” หลิน ฟานรู้สึกเจ็บปวด “พ่อและลูกต้องไว้ใจกัน ในฐานะที่ข้าเป็นลูกชายของท่านเราควรไว้ใจกันซึ่งกันและกัน การที่เห็นว่าท่านสงสัยในตัวข้ามันทำให้ข้าปวดใจจริงๆ”
ไม่มีคำพูดใดๆ
พ่อของเขาไม่ได้พูดออกมาแม้แต่คำเดียว
เขาทำเพียงแค่หรี่ตาและมองมาที่หลิน ฟานอย่างเงียบๆเท่านั้น
ภายการการจ้องมองเช่นนี้เขาไม่สามารถทำตัวอ่อนแอได้ เขาต้องใจเย็นเข้าไว้เพราะความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือการใช้ชีวิตในฐานะนายน้อยที่ร่ำรวย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเผยความสามารถออกไปได้มากนัก
“ท่านพ่อข้าไม่ได้นอนมาทั้งคืน และไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้วดังนั้นข้าขอตัวไปนอนก่อน” หลิน ฟานไม่กล้ามองพ่อเขาตรงๆและเดินไปลานด้านหลังทันที
เมื่อเขาเดินไปเรื่อยๆเขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
เมื่อกี้เขาได้เปิดเผยอะไรไปรึเปล่า?
เขาส่ายหัวและคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะทำไม่ได้พูดอะไรที่มันดูมีพิรุธ
หลิน วานยี่ไม่ได้หยุดหลิน ฟานจากการจากไป เมื่อมองไปที่หลังของเจ้าเด็กไม่เอาไหนเขาก็ส่ายหัว
“นายท่านดูเหมือนว่านายน้อยจะเป็นคนทำจริงๆ” อาวุโสวู่เดินเข้ามา
“เหอะ เขาพยายามซ่อนมันจากข้า เจ้าเด็กไม่เอาไหนคนนี้นับวันยิ่งกล้าหาญมากขึ้น เขาอยากให้เมืองหยูฉางตกอยูในความโกลาหลรึไง?” หลิน วานยี่กล่าว
อาวุโสวู่ไม่ได้ตื่นตระหนก แม้ว่านายน้อยจะทำให้ท้องฟ้าเป็นรู เขาก็จะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อเขากลับไปที่ลานด้านหลังเขาก็หลับไปจริงๆ
เขาเล่นกับแมลงมาทั้งคืนมันจึงทำให้เขาเหนื่อยมาก ตอนนี้เขาแค่อยากนอนแบบสบายๆเท่านั้น
ณ ตระกูลเหลียง
“ท่านพ่อ ข้ามั่นใจว่าข้าวของเราต้องถูกไอสารนั้นขโมยไปอย่างแน่นอน” เหลียง หยงฉีกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
พวกเขาโดนหยามที่หน้าประตูบ้านของตนเอง
“เจ้ามีหลักฐานไหม?” หัวหน้าตระกูลเหลียงถาม
สีหน้าของเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน อย่างไรก็ตามเขาไม่โง่พอที่จะไปขอคำตอบจากตระกูลหลิน
ถ้ามองแค่ผิวเผินตระกูลชนชั้นสูงของเมืองหยูฉางอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่ความจริงแล้วพวกเขาคอยตรวจสอบกันและกันอยู่เสมอ
แล้วอีกอย่างในใจลึกๆเขาก็ยังหวาดกลัวตระกูลหลินอีกด้วย
“ไม่” เหลียง หยงฉีก้มหัวลงและกำหมดแน่น แม้ว่าเขาจะไม่มีหลักฐาน เขาก็ยังเชื่อว่ามันเป็นหลิน ฟานแน่นอนที่ขโมยข้าวไป
ทันใดนั้นดูเหมือนว่าเขาจะคิดบางอย่างได้
“ท่านพ่อ ทำไมเราไม่ส่งคงไปที่หมู่บ้านแล้วแย่งข้าวมาละ? ยังไงมันก็เป็นของเราตั้งแต่ต้นดังนั้นเราจึงมีสิทธิ์ที่จะเอาคืน”
หัวหน้าตระกูลเหลียงเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ลูกของเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ “สมองเจ้ามีปัญหางั้นรึ?”
เขาไม่คิดเลยว่าลูกชายคนที่สามที่เขาหวังไว้สูงจะมีความคิดที่โง่เขลาเช่นนี้
“ท่านพ่อ ข้า…” เหลียง หยงฉีต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
แอ๊ด!
มันเป็นเหลียง อี้ชูที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับซู เซียง
ซู เซียงไม่ได้เป็นคนของตระกูลเหลียง เขาเป็นเหมือนแขกมากกว่า เขาจะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเหลียงแลกกับการให้ความช่วยเหลือบางอย่าง
เรื่องยุ้งฉางในครั้งนี้ถือเป็นความท้าทายสำหรับเขา
เขาต้องค้นหาความจริงจากรายละเอียดที่คนธรรมดาไม่สามารถสัมผัสหรือเข้าใจได้
ตามตรรกะและเหตุผลแล้วนายน้อยจากตระกูลหลินเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด
เขาจะไม่แปลกใจเลยถ้าตัวการเรื่องนี้มันเป็นเขา
แต่…
ทุกอย่างที่เขาสันนิษฐานอยู่บนคำว่า ‘แต่’
“ท่านพ่อข้าได้สอบสวนเรื่องยุ้งฉางกับท่านซูและสามารถยืนยันอะไรบางอย่างได้” เหลียง อี้ชูกล่าว
เหลียง หยงฉีขมวดคิ้ว “พี่ใหญ่ท่านมาที่นี่ทำไม? ไม่มีอะไรที่ท่านสามารถทำได้ที่นี่”
“เจ้าพูดแบบนั้นกับพี่ชายเจ้าได้อย่างไร? อี้ชูพูดต่อ” หัวหน้าตระกูลเหลียงกล่าว
เหลียง หยงฉีรู้สึกเจ็บใจ ท่านพ่อดุข้าเพราะพี่ใหญ่ ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกได้ถึงอันตราย
ดูเหมือนว่าพี่ใหญ่กำลังสู้กับข้าเพื่อความรักของท่านพ่อ
“ท่านซูได้โปรดอธิบาย” เหลียง อี้ชูกล่าวอย่างสุภาพ
ซู เซียงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนคาราวะ “นายท่านจากการสืบสวนของข้า ข้าสามารถยืนยันได้แล้วว่ามันเป็นหุบเขาแมลงจริงๆ ข้าพบพวกเขาคนหนึ่งในเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อน”
“ตอนแรกข้าก็ยังไม่มั่นใจ แต่หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้วข้าก็พบว่าคนๆนั้นดูคุ้นเคย ในท้ายที่สุดข้าก็สามารถจำได้ว่าเขาคือเฟิง โพหลิวคนทรยศของหุบเขาแมลง”
หัวหน้าตระกูลเหลียงไม่รู้ว่าเฟิง โพหลิวคือใคร
แต่การที่เขารู้ว่ามันเป็นใครก็ช่วยขจัดข้อสงสัยในใจของเขา
“นายท่าน ชายคนนี้เขาได้รับมรดกที่แท้จริงของหุบเขาแมลง เขาสามารถควบคุมแมลงได้และเหตุการณ์ในยุ้งฉางก็ควรจะเป็นฝีมือของเขา ข้าคิดว่าเราทำได้แค่ปล่อยให้เรื่องเงียบลงเพราะเราไม่สามารถทำให้เขาขุ่นเคืองได้” ซู เซียงกล่าว
เหลียง หยงฉีที่ยังคงเศร้าใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาจึงอยากจะเสนอตัวทันที “ท่านพ่อ ข้ายินดีที่จะเป็นคนนำคนไปจับตัวเฟิง โพหลิวกลับมา”
ซู เซียงเงยหน้าขึ้นและมองไปที่นายน้อยสามอย่างไร้กำลัง
เชี่ย
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชายคนนั้นมีภูมิหลังยังไงและต้องการจะจับตัวเขา สุดท้ายแล้วชีวิตของเขาก็คงจบลงที่มือของคนที่เขาอยากจับ
“นายน้อยสามจะดีกว่าหากไม่ทำให้ชายคนนั้นขุ่นเคือง มิฉะนั้นตระกูลเหลียงอาจจะถูกกวาดล้าง” ซู เซียงพยายามเกลี้ยกล่อมเขา
เขาเรียนรู้เรื่องทั้งหมดนี้มาจากเมืองจักรพรรดิ
ในแง่ของความรู้เขามีมากกว่าตระกูลเหลียงและหยวนมาก
เขารู้หลายอย่างที่คนอื่นไม่รู้
หัวหน้าตระกูลเหลียงตกใจ “ชายคนนั้นแข็งแกร่งมาก?”
ซู เซียงตอบ “ใช่ เขาแข็งแกร่งมาก”