เหลียง หยงฉีไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหัวหน้าตระกูลหยวนจะมาปรากฏตัวที่นี่
กลางดึกแบบนี้แทนที่หัวหน้าตระกูลหยวนจะไปสนุกกับสาวใช้ของเขา แต่เขากลับมายืนเฝ้าอยู่ที่ประตูเมือง นั่นทำให้เขาไม่ทันระวังตัว
ทำยังไงดี?
ข้าควรจะทำยังไงดี?
ด้วยเหตุผลบางอย่างเขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่ทำแบบนี้ เพราะเขาไม่เคยคิดเลยว่าหัวหน้าตระกูลหยวนจะมาดักรอเขาอยู่ที่นี่
ไม่ดีแล้ว
จู่ๆเขาก็นึกถึงความเป็นไปได้บางอย่าง
เจ้าคนสกุลหลินจะต้องรู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาจึงขุดหลุมเพื่อให้ข้ากระโดดลงไป
เพียงไม่นานความคิดของเหลียง หยงฉีก็กลายเป็นยุ่งเหยิง
เขารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งกับสิ่งที่ตนทำลงไป
ทำไมข้าต้องโลภและคิดจะเสี่ยงย้ายข้าวออกไปด้วยกัน? มันมีอะไรผิดปกติกับสมองของข้ารึเปล่า?
ไม่สิ!
เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับข้า แต่เป็นเจ้าทหารยามที่อยู่ข้างข้าต่างหากที่เป็นตัวต้นเหตุ! เขาทำให้ข้าสับสนดังนั้นมันจึงไม่ใช่ความผิดของข้า
“หยวน…ท่านหัวหน้าตระกูลหยวน ท่านมาทำอะไรที่นี่?” เหลียง หยงฉีพยายามจะสงบสติอารมณ์แต่ก็ทำไม่ได้ แขนและขาของเขาสั่นไปหมด
หัวหน้าตระกูลหยวนหรี่ตาและมองไปทางเหลียง หยงฉี “ยุ้งฉางของตระกูลข้าถูกปล้น มันมีตรงไหนที่ผิดปกติกันหากข้ามาตรวจสอบรถม้าที่เข้าออกที่นี่?”
“ไม่มี ไม่มีแน่นอน ท่านหัวหน้าตระกูลหยวนท่านสามารถดำเนินการตรวจสอบของท่านต่อไปได้เลย ส่วนข้าก็ขอลา” เหลียง หยงฉีต้องการจะหนีไปจากที่นี่
“ทำไมเจ้าถึงเร่งรีบเช่นนั้นเล่า?” หัวหน้าตระกูลหยวนขวางทางหนีของเขา “ข้ากำลังสงสัยว่าดึกขนาดนี้ทำไมเจ้าไม่นอนอยู่บ้าน แต่กลับมาขนของกับทหารยาม ตอบข้าได้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังขนอะไรอยู่?”
เหลียง หยงฉีกลืนน้ำลายและยิ้ม “มะ ไม่มีอะไรที่น่าสงสัยหรอกท่านมันก็แค่ของธรรมดาๆเท่านั้น”
ฟุบ!
หัวหน้าตระกูลหยวนแทงนิ้วของเขาเข้าไปในกระสอบผ้า ทันใดนั้นเองเหล่าเมล็ดข้าวก็ได้ไหลออกมาจากรูที่แทงเข้าไปทันที
“จบสิ้นแล้ว”
ร่างของเหลียง หยงฉีสั่นสะท้านราวกับว่าความลับในส่วนที่ลึกที่สุดของเขาถูกผู้อื่นค้นพบ
“ฮ่าฮ่า” ใบหน้าของหัวหน้าตระกูลหยวนค่อยๆมืดลง “เจ้าหลานชาย นี่คือของธรรมดาๆที่เจ้ากล่าวถึงรึไม่?”
“นี่…” หน้าของเหลียง หยงฉีซีดลงและไม่รู้ว่าเขาควรจะพูดอะไรออกไปดี
หัวหน้าตระกูลหยวนก้าวไปข้างหน้าและคว้าข้าวขึ้นมาหนึ่งกำมือจากนั้นก็บีบมันแน่น ต่อมาเขาก็คลายมือของเขาทำให้ข้าวที่อยู่ข้างในไหลออกมา “ข้าวพวกนี้มันเป็นของตระกูลหยวนใช่ไหม? ที่เจ้าอยากจะย้ายมันออกไปก็เพราะกลัวว่าข้าพบมันใช่หรือไม่?”
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเป็นฝีมือของตระกูลเหลียงจริงๆที่ขโมยข้าวของเขาไป
ในตอนกลางวัน เขาจำทุกอย่างที่หลิน ฟานพูดกับเขาได้แต่เขาก็เลือกที่จะไม่เก็บมันมาคิดให้มากความ
เขาคิดว่าถ้าหากตระกูลหลินต้องการจะหว่านความไม่ลงรอยให้กับทั้งสองตระกูลเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ดั่งชาวประมง เขาก็จะไม่ทำอะไรทั้งนั้น
หลังจากที่ทุกคนจากไปแล้วเขาก็ส่งคนออกไปตรวจสอบทั้งสองตระกูล
แต่ใครจะไปคิดละว่าสิ่งที่หลิน ฟานพูดจะเป็นความจริง
หากมันเป็นแค่การใส่ร้ายตระกูลเหลียงทั้งหมดมันก็สามารถเปิดโปงได้ แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ตระกูลเหลียงคงจะเป็นคนขโมยมันไปจริงๆ มิฉะนั้นพวกเขาจะมาขนข้าวในเวลากลางคืนแบบนี้ทำไม
“ท่านหัวหน้าตระกูลหยวนมันจะต้องมีใครบางคนพยายามใส่ร้ายข้าแน่ๆ” เหลียง หยงฉีตะโกนออกมาอย่างตื่นตระหนก “มันเป็นเขา! มันต้องเป็นเขาแน่ๆ! ใช่แล้ว! หลิน ฟานมันกำลังใส่ร้ายข้า มันกำลังใส่ร้ายข้า!”
หัวหน้าตระกูลหยวนไม่อยากจะพูดเรื่องไร้สาระไปมากกว่านี้ “ไปแจ้งเรื่องนี้ให้หัวหน้าตระกูลเหลียงทราบ และบอกให้เขามาที่ยุ้งฉางเพื่อให้คำอธิบายแก่ตระกูลหยวน”
“ขอรับ” ทหารยามตอบ
เมื่อเหลียง หยงฉีได้ยินเช่นนั้นเขาก็อยากจะสำลักออกมาทันที เขามองไปทางทหารยามและพบว่าทหารยามอัจฉริยะของเขามีเหงื่อเย็นไหลออกมาราวกำลังคิดว่ามีเรื่องน่ากลัวเกิดขึ้น
ดูเหมือนว่าเมืองหยูฉางที่เงียบสงบจะมีรอยร้าวเกิดขึ้นเสียแล้ว
รุ่งอรุณได้มาเยือน
หลิน ฟานหาวและบิดตัวขณะลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน
“โกวชิ เจ้าอยู่ไหน?” หลิน ฟานตะโกนออกไปข้างนอก
โกวชิเดินเข้ามาในห้องของเขาพร้อมกับอ่างล้างหน้า
หลิน ฟานล้างหน้าและถามออกไปอย่างสบายๆ “เมื่อคืนมีอะไรเกิดขึ้นในเมืองหยูฉางรึเปล่า?”
นี่เป็นเวลาที่เราจะได้รู้กันว่าหัวหน้าตระกูลหยวนมีสมองรึไม่
ถ้าเขาไม่เข้าใจจริงๆเราก็คงพูดได้แค่ว่าเขาสมควรถูกปล้นแล้ว เพราะข้าอุตส่าห์ทำให้ทุกอย่างมันชัดเจนขนาดนี้ ถ้าเขายังไม่เข้าใจอีกป่านนี้ข้าวพวกนั้นคงจะหายไปแล้วจริงๆแล้วก็เป็นได้
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันขอรับนายน้อย” โกวชิส่ายหัว เขาไม่ได้ออกจากคฤหาสน์ตระกูลหลินดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่ามีเกิดอะไรขึ้นข้างนอก
หลิน ฟานส่ายหัว “ข้าไม่รู้เลยว่าลูกพี่ลูกน้องของข้าจะกลับมาเมื่อไหร่”
เขาคิดถึงลูกพี่ลูกน้องของเขามาก
เขาหายไปได้สองวันแล้ว
“นายน้อยที่ที่อาจารย์ไปมันถูกเรียกว่าแม่น้ำเว่ยเหอ หากดูจากเวลาตอนนี้เขาก็น่าจะเกือบถึงจุดหมายแล้ว ถ้าเราบวกเวลากลับของเขาเข้ากับเวลาในการจัดการกับธุระมันก็น่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ4-5วัน” โกวชิกล่าว
ถ้าทุกอย่างราบรื่นเวลา 4-5วันก็น่าจะเพียงพอ
“แม่น้ำเว่ยเหอ” หลิน ฟานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกได้เลยว่าแม้ว่าเมืองหยูฉางจะเป็นเพียงสถานที่เล็กๆที่เงียบสงบและเป็นเมืองที่อยู่ชายขอบ แต่มันกลับซ่อนความลับต่างๆเอาไว้มากมาย
นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเท่านั้น
เมืองหยูฉางมีตระกูลขุนนางทั้งหมดสามตระกูล
เหลียง หยวน และหลินทั้งสามต่างก็เป็นตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลหลินของเขา เพราะความแข็งแกร่งของพ่อเขานั้นมันมากเสียจนอีกสองตระกูลต่างก็หวาดกลัว
เมื่อดูสถานกาณ์ข้างต้นแล้วมันก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่อย่างไรก็ตามสำหรับหลิน ฟานแล้วที่นี่มันจะต้องซุกซ่อนปัญหาที่ใหญ่มากและมันก็ไม่ง่ายอย่างที่ตาเห็นอย่างแน่นอน
แต่อยู่ๆหัวของเขาก็เจ็บบางทีมันคงจะเกิดจากการที่เขาคิดมากเกินไป เขาจึงหยุดคาดเดาต่อไปทันที
“นี่มันเชี่ยอะไรวะเนี่ย!!”
หลิน ฟานตกตะลึง เขาเพียงแค่หลับไปคืนเดียวแต่คะแนนความโกรธในระบบสนับสนุนขนาดเล็กเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้ได้ยังไง?
คะแนนความโกรธ : 4,716
มันเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หรือมันจะเป็นเหลียง หยงฉีที่ถูกทุบตีอย่างหนัก จากนั้นก็ส่งคะแนนความโกรธมาให้กับเขา?
เขาเดินมาที่ห้องโถงแต่กลับไม่พบหลิน วานยี่ เขาจึงถามทหารยามที่อยู่แถวนั้นทันที “พ่อของข้าอยู่ไหน?”
“เรียนนายน้อย ท่านหัวหน้าตระกูลออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว ข้าได้ยินมาว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่ตระกูลเหลียง ดังนั้นข้าจึงคิดว่าท่านหัวหน้าตระกูลน่าจะไปที่นั่น” ทหารยามกล่าว
ทหารยามอย่างเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น
หลิน ฟานรู้สึกมีความสุขมากเพราะดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาคาดหวังไว้มันจะเกิดขึ้นจริงๆ หัวหน้าตระกูลหยวนค่อนข้างฉลาดและไม่ได้มองข้ามการวิเคราะห์ของเขาเมื่อวานนี้
“โกวชิเราไปที่ตระกูลเหลียงกันเถอะ”
เขาไม่ได้กินข้าวเช้าและรีบตรงไปยังตระกูลเหลียงโดยทันที เหตุการณ์ที่น่าสนใจเช่นนี้มันจะขาดเขาไปได้ยังไง?
ณ ห้องโถงตระกูลเหลียง
เหลียง หยงฉีกำลังคุกเข่าอยู่ตรงนั้นพร้อมกับใบหน้าที่บาดเจ็บซึ่งเขาได้รับมันมาเมื่อคืน
ในขณะนี้เหลียง หยงฉีรู้สึกผิดอย่างมาก มันมีน้ำตาอยู่ที่มุมตาของเขา
“ท่านพ่อ ข้าถูกใส่ร้าย! ข้าไม่ได้เป็นคนขโมยข้าวของตระกูลหยวน!” เหลียง หยงฉีคร่ำครวญจากนั้นก็มองไปทางทหารยามทั้งหก “ถ้าท่านไม่เชื่อข้าท่านก็สามารถถามพวกเขาได้! ข้าไม่ได้เป็นคนขโมยข้าวไปจริงๆ!”
ตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่าเขาเป็นสุนัข เขาอึดอัดและไม่สามารถพูดในสิ่งที่เขาต้องการได้
ส่วนทหารยามที่เหลียง หยงฉีคิดว่าเป็นอัจฉริยะนั้นตอนนี้เขากลับก้มหน้าลงและไม่พูดอะไรด้วยร่างที่สั่นเทา
เขาไม่สามารถพูดได้ว่านายน้อยไม่ได้เป็นคนขโมยข้าวไป นับประสาอะไรกับเรื่องที่เขาบอกให้นายน้อยขนข้าวออกนอกเมืองไป มิฉะนั้นเขาจะกลายเป็นผู้ร้ายหลักที่ทำให้นายน้อยสับสน และเพื่อแก้ปัญหาให้เรื่องนี้จบลงเขาจะต้องกลายเป็นแพะรับบาบอย่างแน่นอน
ใครมันจะไม่อยากรอดบ้าง?
อย่างน้องก็เขาคนหนึ่งนี่แหละที่อยากจะมีชีวิตรอด
“หุบปาก!” หัวหน้าตระกูลเหลียงตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “พี่หยวนเรื่องนี้ข้าไม่ได้รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย มันเป็นเจ้าลูกไม่เอาไหนของข้าที่เป็นคนทำทุกอย่างด้วยตนเอง และข้าจะให้คำอธิบายแก่ท่านอย่างแน่นอน”
หัวหน้าตระกูลหยวนผิดหวังกับลูกชายคนที่สามของเขามาก
เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
ถ้าเขาต้องการจะขโมยเขาก็ควรจะทำให้มันเนียนกว่านี้และอย่าให้ถูกจับได้ แต่ดูเขาตอนนี้สิเขาถูกจับได้พร้อมกับหลักฐาน แล้วแบบนี้ข้าจะไปทำอะไรได้อีก?
ถ้าเขาถูกจับได้ตอนที่ข้าวมันยังอยู่ในยุ้งฉาง เขาก็ยังสามารถพูดได้ว่ามีคนพยายามใส่ร้ายพวกเขาเพื่อหว่านความไม่ลงรอยให้กับทั้งสองตระกูล
แต่อย่างไรก็ตามเขากลับนำทหารยามมาหกคนเพื่อเคลื่อนย้ายข้าวพวกนั้นออกไปด้วยรถม้าหกคัน แบบนี้แล้วเขายังมีสมองอยู่หรือไม่?
“นายน้อยสามข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนแบบนี้”
ในตอนนั้นเองหลิน ฟานก็ได้เดินเข้ามา
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและโศกเศร้า
การแสดงได้เริ่มขึ้นแล้ว
และเขาก็กำลังจะได้รับคะแนนความโกรธจำนวนมาก