ตอนที่ 3 : ฉันค้นพบหุ่นยนต์จากกองขยะ
“ไง เจ้าวินรันเนอร์ คิดถึงฉันมั้ย”
บนระเบียงที่เต็มไปด้วยสิ่งของมากมายที่อยู่ปะปนกัน เฉินจินหยิบสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งานมานานมากซึ่งตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นเต็มไปหมด เขาซื้อสกู๊ตเตอร์ตัวนี้เมื่อปีที่แล้ว เพราะแม่เขาหางานให้เป็นเจ้าหน้าที่จัดการเมืองในเขตตะวันตกอยู่ไกลออกไปจากตัวเมืองเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงซื้อวินรันเนอร์ตัวนี้ ใช้เดินทางไปทำงาน จนเขาลาออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่การจัดการเมือง ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานี้เขามักจะอยู่บ้านไม่อย่างงั้นก็ออกไปข้างนอกในที่ไกลๆ ดังนั้นเจ้าวินรันเนอร์ จึงไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อไป เขาจึงทิ้งมันไว้ในตู้เก็บของนับแต่นั้นมา
แต่ตอนนี้…..
“วินรันเนอร์ ฉันมาหานายแล้ว ตอนนี้นายมีภารกิจสำคัญกับฉันนะ ฉันจะพานายไปพิชิตโลกใบใหม่ด้วยกัน ถึงเวลาที่นายจะได้ออกไปเฉิดฉายแล้ว!”
ว่าแล้วเขาก็ทำการเช็ดฝุ่นให้ออกไปจนเกลี้ยง ขัดจนเงาวับคล้ายกับเปียโนที่มีความมันวาวสูงเลยทีเดียว เมื่อมองดูล้อของมัน มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่ ในขณะนั้นเขารู้สึกราวกับว่าเจ้าวินรันเนอร์คันโปรดมีเปล่งแสงแวววาวดั่งความหวังในใจเขา
เจ้าวินรันเนอร์คันนี้มีขนาดประมาณ 110 เซนติเมตรและมีน้ำหนักน้อยกว่า 25 กิโลกรัม มันอาจเก็บไว้ในถุงกีต้าร์หลังจากที่มันถูกพับเก็บให้มีขนาดกระทัดรัด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงแข็งแกร่ง! หลังจากมื้อเย็นสิ้นสุดลง เจ้าวินรันเนอร์ก็ชาร์จพลังมาเกินครึ่งวันแล้ว เฉินจินก็รีบกลับไปที่ห้องนอนของเขาและล็อคประตูลง พร้อมกับคว้าเจ้าวินรันเนอร์ที่ชาร์จเต็มผูกกับตัวเขาแล้วเริ่มปีนขึ้นไปตามเชือกนิรภัยสู่โลกอื่น
จากช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาสังเกตได้ว่าเวลาของโลกใบใหม่นี้กับโลกปัจจุบัน แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวง่ายๆว่าหากเขาเดินทางออกจากโลกปัจจุบันตอน2ทุ่มเท่ากับว่าโลกใบใหม่จะเป็นเวลา8โมงเช้าพอดี นั่นเท่ากับว่าเวลาพลบค่ำของโลกปัจจุบันก็คือเวลารุ่งเช้าของโลกใบใหม่นั่นเอง
เขารู้สึกโชคดีที่เวลาของทั้งสองโลกสวนทางกัน นี่เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการสำรวจโลกอื่น เขาสามารถหลับตอนกลางวันเพื่อมาสำรวจโลกใบใหม่นี้ในเวลากลางคืนได้และพ่อแม่ของเขาจะไม่สงสัยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
แต่บางครั้งเขาก็รู้สึกนอนไม่หลับในตอนกลางคืน บางทีการนอนตอนกลางวันแทนอาจทำให้เขาหลับสบายจนฝันหวานเลยทีเดียวละ
…
โลกใบใหม่
ด้านล่างของปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ เต็นท์ขนาดเล็กที่เขาตั้งไว้ชั่วคราวก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม เฉินจินดึงเต็นท์เปิดออก ถอดชุดเดิมออกแล้วสวมชุดป้องกันและหน้ากากกันฝุ่นพร้อมทั้งสะพายกระเป๋าเป้เล็กๆไปด้วย
เขายกเจ้าวินรันเนอร์ให้ตั้งตรงเพื่อสำหรับพร้อมออกเดินทาง แปะเทปกาวเพื่อติดตั้งเครื่องวัดปริมาณรังสีไว้ด้านหน้าของสกูตเตอร์ สองมือจับที่แฮนด์รถและใช้มือขวาบิดสวิทช์ล้อเพื่อใหม่หมุนเร็วขึ้นและเร็วขึ้นไปอีก เจ้าวินรันเนอร์สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดถึง 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและสามารถขี่ขึ้นไปบนที่สูงได้ถึง 55 องศา ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา
“คำพูดที่ว่า ‘กระตุ้นม้าของคุณแล้วควบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และสนุกใช้ชีวิตอย่างเต็มที่‘ ต้องพูดมาเพื่อความรู้สึกนี้โดยเฉพาะแน่ๆ“
และแล้วเฉินจินก็มาถึงจุดสูงสุดของหลุมอุกกาบาตภายใน 5 นาทีเท่านั้น
อย่างไรก็ตามหลังจากเริ่มเข้าสู่พื้นทะเลทรายที่แห้งแล้ง พื้นขรุขระและเต็มไปด้วยก้อนหินจำนวนมาก มันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าวินรันเนอร์ เนื่องจากมันมีช่วงล่างที่ต่ำเกินไป ทะเลทรายที่มีความเป็นหลุมเป็นบ่อ ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถขี่เจ้าวินรันเนอร์ได้อย่างสบายๆ เขาจึงต้องขี่มันบ้างลงเดินเองบ้างสลับกันไป
แต่ตอนนี้เฉินจินตั้งใจที่จะสำรวจบริเวณโดยรอบไม่ไกลเกินไป เขาวางแผนที่จะสร้างความคุ้นเคยกับพื้นที่บริเวณรอบนอกปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่แห่งนี้ หลังจากนั้นเขาจะขยายการสำรวจไปยังพื้นที่รอบนอกโดยรอบอีกครั้ง เขาใช้แผนเดียวกับเกมส์ที่เขาเคยเล่นเช่น “เอจ ออฟ เอ็มไพร์“, “สตรองโฮล“, “ซิวิลไรเซชั่นส์“, “เรดอะเลิร์ต” เป็นต้น โดยอิงจากแผนที่มักเริ่มต้นด้วยการสำรวจให้แน่นอนก่อน แต่การไขปริศนาและการต่อสู้ในรอบนอกนั้นก็สำคัญเช่นกัน
ภายใต้การมองเห็นแต่สีดำและสีขาวผ่านแว่นตากรองลม เขาเห็นก้อนหินจำนวนมาก โดยพื้นฐานของที่นี่ส่วนใหญ่แล้วเป็นหินทั้งหมด เครื่องวัดปริมาณรังสีที่ติดกับด้านหน้าของสกู๊ตเตอร์ แสดงให้เห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลการแผ่รังสี
ทันใดนั้นก็มีแสงปริศนากระทบกับตาของเขา เมื่อเดินไปดู … เขาพบว่าเป็นเพียงกระป๋องเปล่าที่มีร่องรอยของอาหารเหลืออยู่ด้านล่าง มันเป็นสีเหลืองคล้ายเนยถั่ว โลโก้บนกระป๋องพิมพ์ด้วยคำบางคำที่อ่านไม่ออกซึ่งคล้ายกับเป็นภาษาละติน
มันควรจะเป็นเนยถั่วกระป๋อง แต่รูปของพืชถั่วอยู่บนกระป๋อง นี้จะฉงนนัก หากว่าโลกนี้สามารถผลิตกระป๋องที่ทำจากวัสดุโลหะผสมชนิดนี้ได้ นั่นหมายความว่าอารยธรรมที่นี่มีระดับใกล้เคียงกับโลกปัจจุบันเลยทีเดียว
ดังนั้น เฉินจินจึงโยนมันทิ้งและเดินหน้าต่อไป เฉินจินลองเดินไปไกลขึ้น เขาพบซากตุ๊กตาที่ยังคงร่องรอยความเสียหายไว้… มันเป็นตุ๊กตาในแบบที่ เมื่อกดจมูกมันลงไปสามารถส่งเสียงร้องเพลงได้อย่างไพเราะ เขาจึงเก็บตุ๊กตานี้ไว้ในถุงพลาสติกที่เขานำมาด้วย เพื่อที่จะเอามาตรวจสอบดูอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็พบอุปกรณ์ภายในบ้านที่คล้ายกับซากตู้เย็น…ที่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงและชิ้นส่วนภายในถูกทำลาย มันเป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อมมัน และแล้วเขาก็พบซากพลาสติก…มันเป็นแปรงสีฟันที่ขนแปรงได้หลุดหลุ่ยออกมาจนเกือบหมดและซากหนังสือดูยุ่ยๆความเสียหายประมาณ80% ซึ่งสามารถอ่านเนื้อหาได้เพียงแค่มุมด้านบนของหนังสือเท่านั้น
นอกจากนี้เขาพบเสื้อ กางเกงที่ฉีกขาดและรองเท้าที่ชำรุด เฉินจินตระหนักว่ายิ่งเขาเดินไปไกลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีสร้างความแปลกใจให้กับเขามากขึ้นเท่านั้น เขายังเห็นรถบรรทุกยูทิลิตี้ที่คว่ำอยู่บนพื้น มีเศษโลหะและชิ้นส่วนต่างๆมากมายที่เขาไม่สามารถเลือกเก็บมาสำรวจได้ทั้งหมด
ข้างๆกันนี่เอง ดูเหมือนจะมีถังขยะที่เป็นโลหะวางอยู่บนพื้น รูปร่างของมันบิดงออย่างรุนแรงและมีอุปกรณ์วิทยุที่มีเสาอากาศพร้อมกับลำโพงวางอยู่ข้างกันสองตัว
“วิทยุเหรอ?”
เมื่อเดินไปเขาคว้าวิทยุแล้ววางอยู่ตรงหน้า สีหน้าเขาแสดงออกด้วยความเปี่ยมสุข
“ฉันสงสัยว่ามันใช้งานได้หรือไม่?”
แต่รูปแบบของวิทยุนั้นล้าสมัยมาก ด้วยขนาดที่ใหญ่มาก ให้ความรู้สึกคล้ายวิทยุจากโลกในยุค 50 หรือ 60 เฉินจินสังเกตเห็นว่ามีเทปคาสเซ็ตในวิทยุ หลังจากกดสวิตช์เปิด / ปิดบนวิทยุเทปก็ยังไม่สามารถเล่นได้ เห็นได้ชัดว่าวิทยุได้รับความเสียหาย แต่มันก็ดูเหมือนว่าน่าจะซ่อมแซมได้ หากเขาซ่อมมันไม่ได้ เขาก็คิดแผนสองว่าจะซื้อเครื่องเสียงจากอินเทอร์เน็ตมาเปิดฟังสิ่งที่อยู่ในเทปนี้แทน ว่าแล้วเขาก็รับเก็บวิทยุไว้ในกระเป๋าของเขา
ตึกตึก ~
เขาได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากด้านข้าง เฉินจินตกใจ
“ใครน่ะ?”
เขามองไปรอบๆทันทีและพยายามหาที่มาของเสียงอย่างระมัดระวัง
สวบ ~
เสียงปริศนาส่งเสียงมาอีกครั้ง เฉินจินหันไปรอบๆและจ้องไปที่ถังขยะราวกับว่าต้นเสียงแปลกๆมาจากข้างในนั้น
คลิ๊ก ~
เสียงดังมาอีกครั้ง ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังดิ้นรนอยู่ภายใต้ถังขยะนั้น
“ฉันควรไปดูดีไหมนะ?”
เขาอยากรู้มากแต่ถ้าเขาเจอกับอันตราย….จะทำยังไงดีนะ
วาวา ~
วาวา ~
เขาได้ยินเสียงร้องออกมาจากถังขยะอีกครั้ง
“วาวามันเป็นเสียงร้องไห้เหรอ? หรืออาจเป็น…ทารกอยู่ข้างในนั้นไหมนะ?”
เฉินจินค่อนข้างตื่นตระหนก เป็นไปได้ไหมที่ทารกนั้นจะสามารถอยู่รอดได้ในสถานการณ์เช่นนี้?
เขาวางกระเป่าลงและเดินไปที่ถังขยะ จับมือทั้งสองข้างอย่างแน่นและใช้พละกำลังทั้งหมดพลิกถังขยะนั้นให้คว่ำลง เผยให้เห็นปากของถังขยะที่ราบเรียบอยู่บนพื้น เขาใช้สายตาจ้องมองเข้าไปข้างในแล้วมองดูว่ามีทารกอยู่ในนั้นหรือไม่…ไม่มี นอกจากขยะแล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลย
เฉินจินส่ายหัว “ดูเหมือนว่าฉันประสาทหลอนไปเองนะ”
ทันใดนั้น ‘ขยะ‘ ภายในถังก็เปลี่ยนไป โบกมือสองทั้งข้าง ใช้ขาพยายามปีนออกจากถังขยะ
เฉินจินตกใจมาก! และจ้องมองอย่างไม่ละสายตา
ถังขยะโลหะอยู่ตรงหน้าเขากลายเป็นหุ่นยนต์ ที่หัวของมันประกอบด้วยกล้องสองตัวติดกัน แกนกลางลำตัวเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แขนกลสองข้างที่คล้ายกับถังยื่นออกมาจากไหล่ ขาของมันประกอบด้วยสายพานขับเคลื่อนด้วยโลหะรูปสามเหลี่ยมสองชิ้น มีสีสนิมปนเปื้อนอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามการปรากฏตัวของหุ่นยนต์ขยะตัวนี้ค่อนข้างน่าสงสารเลยทีเดียว กล้องด้านขวานั้นหักและสายพานที่ใช้ขับเคลื่อนของขาซ้ายหายไป มันต้องใช้สายพานเพื่อขับเคลื่อนและรองรับร่างกายพร้อมกับใช้แขนกลทั้งสองข้างในการขยับไปข้างหน้า
วาวา ~
วาวา!
มันเคลื่อนไหวต่อหน้าเฉินจินและภายใต้ดวงตาสีเทาใสของกล้องกระพริบปริบๆสองสามครั้ง เสียงใสๆคล้ายกับเด็ก ถูกเปล่งออกมาจากหุ่นยนต์ตัวนั้นซึ่งมีแสงสีเขียวกะพริบเป็นแนวยาว ดวงตาของเฉินจินเกือบจะถลนออกมาเสีย…นี่เขาพบหุ่นยนต์จากกองขยะหรือนี่