ตอนที่ 6 : ฉันค้นพบสมรภูมิรบ
เฉินจินใช้เวลาเพียง2ชั่วโมงเพื่อชาร์จพลังงานเจ้าวาวาจนมีแสงไฟสีเขียวขึ้นเรียงยาวในแนวเดียวกัน เขาถอดปลั๊กออก เจ้าวาวาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานอันเหลือล้น มันขยับตัวไปมา หมุนเป็นวงกลมและวิ่งรอบเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
“ นี่แกเป็นหุ่นยนต์จริงๆหรือ บางทีแกก็ดูเหมือนหมาที่ดูร่าเริงและมีพลังเหลือล้น แต่ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกเพราะแกดูฉลาดมากกว่านั้นอีก”
เฉินจินเคยเลี้ยงหมาพันธุ์เชาเชาที่ดูคล้ายตุ๊กตาหมี มันเป็นตัวผู้ ชื่อว่า “อี้ยี่” มันเป็นหมาที่ร่าเริงและดูมีพลังเสมอ บางครั้งถ้ามันรู้สึกตื่นเต้นมันก็จะวิ่งวนรอบๆโต๊ะเพื่อให้เขาสนใจ หรือเมื่อมันเห็นเขาถือไส้กรอกอยู่ในมือมันก็จะรีบวิ่งมาหาเขาทันที
แต่แล้วเมื่อถึงฤดูติดสัตว์เจ้าอี้ยี่ก็ลืมเขาทันที มันไม่ยอมกลับบ้าน เฉินจินเศร้าและเจ็บปวดมาก เขารอคอยมันเป็นเวลานานนับปีมันก็ไม่กลับมา หลังจากนั้นมาเขาก็ไม่คิดว่ามันเป็นหมาที่ฉลาดแสนรู้อีกเลย
…
เฉินจินสวมถุงมือยางแล้วหยิบกล่องเครื่องมือที่เต็มไปด้วยเครื่องมือซ่อมแซมอันครบครัน เขาหยิบวิทยุที่เก็บมาจากกองขยะออกมาจากกระเป๋า วันนี้เขาตั้งใจที่จะลองซ่อมมันดู เพราะจริงๆแล้วเฉินจินได้ทักษะด้านการซ่อมแซมมาจากเฉินกัง พ่อของเขาซึ่งทำงานเกี่ยวกับการผลิตอุปกรณ์เพื่อรองรับการลงจอดของเครื่องบินและเป็นเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคของบริษัท นอกจากนี้เขายังเป็นหัวหน้าทีมวิจัยนิวเคลียร์และได้รับรางวัลเป็น “ช่างเครื่องกลอันดับต้นๆ”อีกด้วย เฉินจินจึงมีความสามารถพิเศษในด้านการออกแบบกลไก โดยได้รับมาจากพ่อที่มักจะพาเฉินจินไปสำรวจที่ทำงานของเขาด้วยความหวังว่าเฉินจินจะประสบความสำเร็จเหมือนเขาในอนาคตอีกด้วย
แต่กลับกลายเป็นว่าแม่ของเขาตามใจเขามากเกินไป เฉินจินจึงเปลี่ยนใจไปชอบสิ่งอื่นอย่างรวดเร็ว แต่ความสามารถในการออกแบบของเขายังคงอยู่ เฉินจินชื่นชอบการเล่นเลโก้บล็อคคอมพิวเตอร์ ดีไอวาย ตุ๊กตาอะนิเมะและดัดแปลงรถแข่งของเล่น เขาจึงประสบการณ์เกี่ยวการออกแบบมากมายจากการเล่นของเล่นนี้อีกด้วย
อย่างเช่นตุ๊กตาอนิเมะที่เขามีมากกว่า 100 ตัวที่อยู่ในลิ้นชักข้างเตียงของเขานั้น เขาประกอบด้วยวัสดุที่เขาซื้อและนำมาประกอบเองทั้งหมด แม้ว่าฝีมือของเขาจะอยู่ในระดับปานกลาง ตุ๊กตาอนิเมะที่เขาประกอบเองนั้นมีความคล้ายคลึงกับอนิเมะที่ขายในร้านเพียงเล็กน้อย ฝีมือของเขายังห่างไกลจากนักออกแบบอนิเมะยิ่งนัก
เขาแกะชิ้นส่วนของวิทยุออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นแผงวงจรด้านใน แผงวงจรนั้นทำขึ้นมาในแบบง่ายๆและการเดินสายวงจรนั้นไม่ซับซ้อน มีฝุ่นหนาเกาะอยู่บนพื้นผิวแผงวงจร เขาใช้แปรงปัดฝุ่นออกเพื่อให้มองเห็นชิ้นส่วนภายในและตัวแผงวงจร
ทันใดนั้นเขาก็หยุดชะงักลง เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า
“ไดโอดมันเสียแล้วนี่ จะซ่อมยังไงดีละ”
ว่าแล้วเขาก็นึกถึงของบางอย่างที่เตรียมไว้! เขามีเครื่องบันทึกเสียง ยี่ห้อโซนี่ ที่เคยโด่งดังมากเมื่อ 10 ปีก่อน ถึงจะขนาดเล็กแต่เสียงคุณภาพสูงและยังใช้งานได้อยู่
ช่วงเวลาแห่งความคาดหวังก็มาถึงแล้ว เครื่องบันทึกเสียงของเขาจะสามารถเล่นเทปได้หรือไม่?
เฉินจินกดปุ่ม “เล่น” ทางวิทยุ
“เสียงแตก ~ ซ่า~”
เขาได้ยินเสียงอันแตกซ่านของวิทยุอันเนื่องมาจากไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานาน เพียงชั่วครู่เขาก็ได้ยินเสียงอันน่าประทับใจ ราวกับว่าได้อยู่ท่ามกลางงานเต้นรำยามราตรี
“ ข้างนอกนั้น มีโลกภายนอกของยองเกอร์ส
ออกไปจากที่นั่น นอกเมืองบาร์นาบี้ มีเมืองที่น่าหลงไหลชื่อบาร์นาบี้
ข้างนอกนั้น เต็มไปด้วยความเงางามและประกายระยิบระยับ
ปิดตาของคุณและเห็นจะมันเปล่งประกายเป็นบาร์นาบี้
ฟังนะ บาร์นาบี้! เสื้อผ้าของคุณที่มีมากมายบนโลกนั่น
ออกซิการ์ที่มีความสดใส พวกเราจะพบการผจญภัยยามเย็น
เด็กผู้หญิงในชุดขาวในยามค่ำคืน
ที่ซึ่งมีแสงไฟส่องสว่างราวกับดวงดาว”
…
จังหวะของเครื่องดนตรีประกอบนั้นมันเป็นเพลงที่สนุกสนานและเบาสบาย เขาสามารถได้ยินเสียงที่อันแน่นไปด้วยความสุขของผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบที่เต็มไปด้วยหมอกควันสีเหลืองสลัวเพลงนี้แสดงความหวังในเชิงบวกอย่างมาก เขาอดไม่ได้ที่จะหลับตาลงอและจมลงไปในท่วงทำนอง หุ่นยนต์ข้างๆเขาก็สั่นไหวเล็กน้อย
ในตอนท้ายของเพลง เฉินจินลืมตาขึ้นและปิดเครื่องบันทึกเสียงในมือของเขา
“วัฒนธรรมความบันเทิงในโลกนี้ ก็มีศิลปะดนตรีที่ยอดเยี่ยม แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งเหล่านี้ถูกทำลายจากสงครามที่นับว่าเป็นสมบัติในกองขยะ”
นอกจากนี้หลังจากสำรวจโลกนี้ไปสองสามวัน เฉินจินก็ตระหนักว่านอกเหนือจากเจ้าหุ่นยนต์วาวาแล้วก็ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในพื้นที่โดยรอบอีกเลยในโลกที่รกร้างและมืดมน
เฉินจินคิดว่าอารยธรรมในโลกนี้ถูกทำลายลงอย่างน่าเสียดายหลังจากที่สงครามเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามข้อสรุปนี้อาจเป็นอัตวิสัย หลังจากเขาได้สำรวจระยะทางเพียงไม่กี่กิโลเมตรในพื้นที่โดยรอบ เขาต้องสำรวจต่อไปเพื่อให้เข้าใจถึงความเป็นจริงบนโลกนี้
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาสวมชุดป้องกันและหน้ากากกันฝุ่นอีกครั้ง แบกกระเป๋าสะพายหลังและขี่เจ้าวินรันเนอร์ เขาเริ่มเดินทางสำรวจอีกครั้ง เขาวางแผนที่จะสำรวจหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่และใช้เข็มทิศเพื่อค้นหาทิศเหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตกจากนั้นเขาจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นแปดส่วนเท่าๆกัน เขาจะใช้เวลาสำรวจแต่ละในหนึ่งส่วนประมาณ 20 กิโลเมตร
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสำรวจ เขาซื้อโดรนกล้อง ดาเจีย แพลนท่อม โฟร์โปร ที่สามารถควบคุมระยะไกลถึง 7 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทาง 30 นาทีก็สามารถถ่ายวิดีโอ โฟร์เค ที่อัตราส่วน 60 เฟรมต่อวินาทีได้และเป็นกล้องที่มีขนาดถึง 20,000,000 พิกเซลเลยที่เดียว
สำหรับราคาอยู่ที่ 9,999 หยวน! เขาใช้เงินจ่ายไปแล้วครึ่งหนึ่งของเงิน 20,000 หยวน ที่แม่โอนให้ อย่างไรก็ตามเงินนี้ถูกใช้อย่างดี เพราะมันสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและขยายขอบเขตการสำรวจของเขาได้อย่างกว้างไกล
ข้อกังวลอีกประการหนึ่งคือเขาต้องหลีกเลี่ยงการหลงทาง ทัศนวิสัยเกินกว่า 3 กิโลเมตรในโลกที่เต็มไปด้วยฝุ่น ไม่มีแหล่งน้ำหรืออาหารในถิ่นทุรกันดาร เมื่อหลงทางก็ตายอย่างแน่นอน!
เฉินจินทำได้แค่วางแผนง่ายๆเท่านั้น ซึ่งก็คือการใช้สีสเปรย์สีแดงพ่นป็นลูกศรลงบนพื้นทุก ๆ 500 เมตรหรือจัดหินก้อนกองหนึ่งเป็นรูปลูกศรแล้วพ่นสีแดง เห็นได้ชัดว่าแผนประเภทนี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการสำรวจของเขา แต่เฉินจินก็กลัวว่าจะหลงทาง เขาไม่กล้าเสี่ยงชีวิตของตัวเองไว้ที่นี่เพราะเขากลัวว่าจะไม่ได้กลับบ้านอีกเลย
ถึงกระนั้นหลังจากออกเดินทางเฉินจินก็ตระหนักว่าเขาไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป เพราะอย่างน้อยภายในระยะ 100 กิโลเมตร เจ้าวาวาสามารถเก็บข้อมูลทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่โดยรอบ โดยมันก็คุ้นเคยกับพื้นที่อยู่แล้วทำให้เขาโล่งใจที่มีเจ้าวาวาอยู่ข้างกาย
อีกทั้งเจ้าวาวายังรู้ว่าเขากำลังค้นหาอะไรอยู่ มันส่งสัญญาณให้เขาด้วยการโบกแขนกล นำเขาไปในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หลังจากพวกเขาเดินทางไปได้ประมาณ 30 กิโลเมตร เพื่อก้าวข้ามผ่านภูเขาใหญ่ เขาก็ได้พบกับสมรภูมิรบขนาดใหญ่!
เขารู้สึกตกตะลึงกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นที่สุด!