I Never Run Out Of Mana – ตอนที่ 29. My Way

29. My Way

หลังจากการเป็นอเวคมาสามเดือนผมรู้สึกว่าผมต้องทำอะไรสักอย่าง

ผมสงสัยว่าผมเคยกลับบ้านที่เต็มไปด้วยความมั่นใจขนาดนี้มาก่อนไหม

หลังจากที่เสียงกระดิ่งหน้าบ้านดังแม่ของผมก็รีบมาเปิดให้อย่างรวดเร็ว.

ผมคิดว่าเธอเป็นห่วงลูกชายคนเดียวของเธอ.

“ผมกลับมาแล้ว.”

“…ลูกชาย สบายดีไหม?”

ด้วยความกังวลเธอรีบตรวจสอบอาการบาดเจ็บ

คุณไม่หรือว่าผมประทับใจมากจากความกังวลของเธอ

ผมตั้งใจที่จะพูดอย่างหนักแน่นในน้ำเสียงของผมและตอบ

“นางพัค คุณลืมสัญญาที่โรงพยาบาลแล้วหรอ? ว่าผมจะไม่บาดเจ็บหรือตาย.”

“ขอบคุณ ขอบคุณ.”

“มันจบแล้ว ว่าการปวดหัวจากหนี้จะหายไปนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ก่อนหน้านี้เมื่อคุณรับมือกับสามคนนั้นมันก็น่าทึ่ง ดึงแขนเสื้อ! และจ้องตรงไปที่พวกมัน.”

“เธอกำลังพูดอะไร ฉันทำแบบนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่.”

“มันเป็นด้านที่สวยที่สุดที่ผมได้เห็น ทุกอย่างวเริ่มต้นจากที่นี่ ผมจะรับเงินทั้งหมดในโลก! ลองใช้เงินให้มากๆ! เราต้องเปลี่ยนความคิดของครอบครัวของเรา ‘ช๊อปปิ้งและการใช้ชีวิต’ คุณต้องการเปลี่ยนไหม?”

ด้วยการแสดงออกและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน แม่ของผมก็ยิ้มสดใสออกมา

ตาของเธอไม่ได้เต็มไปด้วยน้ำตาและความเศร้าเหมือนกับที่ผ่านมา แต่มันเต็มไปด้วยความสุขและความตื้นตัน

‘ใช่.นี่คือสิ่งที๋ฉัยต้องการที่สุดหลังจากที่ได้เป็นอเวค’

เด็กอายุ18ปี.

สถานะของผมคืออเวค และความสามารถอันน่าเหลือเชื่อคือการมีมานาไม่มีวันหมด.

ถ้าผมยังตั้งใจอีกหน่อยไม่มีใครสามารถสู้กับผมได้

หากมีใครกล้าที่จะปิดกั้นเส้นทางของผม

ผมจะทำให้เขาได้รู้ว่าชีวิตหลังความตายมีจริงหรือไม่

* * *

เหลือเพียงหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะได้เริ่มไปโรงเรียน หลังจากที่ทานอาหารเช้าแล้วแม่ก็รีบไปที่ห้องของผม.

มันเป็นเพราะว่าผมกำลังมองหาหนังสือสกิลในกระเป๋า.(ผู้แต่งใช้คำเรียกว่ากระเป๋าคาดเอว)  1

แคนวาคอร์ได้ดรอปสกิลน้ำตาพายุในครั้งที่ผ่านมา

เพื่อการตอบสนองความคาดหวังของผม ผมพยายามที่จะค้นหาหนังสือสกิลของผม

ส่วนตัวผมก็หวังว่ามันจะมีการโจมตีที่รุนแรงและอยู่ในระดับสูง

หลังจากที่ค้นหาเสร็จสิ้นข้อมูลสกิลก็ปรากฎอยู่ในโทรศัพท์ของผม

-โล่สะท้อน-

อาชีพที่สามารถใช้ได้: นักรบบากิ. พาลาดิน. (หากถูกใช้จากอาชีพอื่นจะให้มานาเพิ่มขึ้น10เท่า.)

ใช้มานา: 200 (ทุกๆ10เลเวลของสกิลจะใช้มานาเพิ่ม10%.)

การแนะนำสกิล:

* หลังจากใช้แล้วคุณจะได้รับการปกป้องจากโล่ที่มองไม่เห็น

* ดูดซับการโจมตีทางกายภาพทำให้การโจมตีแฉลบออก.

* มีโอกาส10%ที่จะสะท้อนความเสียหาย50%. (ทุกๆ10เลเวลของสกิลจะมีโอกาศสะท้อนเพิ่มขึ้น2%และสะท้อนความเสียหายเพิ่มเติมอีก1%.)

คูลดาว์: 30 นาที.

ระยะเวลา: 5 นาที. (ทุกๆ10เลเวลของสกิลระยะเวลาจะเพิ่มขึ้น10%.)

คำอธิบายเพิ่มเติม: สามารถใช้งานกับโล่อย่างอื่นได้.

ราคาหนังสือสกิล: 3.5 ล้าน.

ผมคิดว่ามันเป็นสกิลที่ไม่ใช่ไม่ดีนัก

ด้วยวิธีนี้ผมก็มีโล่ป้องกันสามอย่าง.

มันไม่เหมือนกับโล่อื่นๆ โล่สะท้อนมีโอกาศที่จะทำให้การโจมตีแฉลบออกไปและสะท้อนความเสยหายให้กับคนที่เข้ามาโจมตี

สกิลพวกนี้ผมเรียกมันว่า สกิลของอาชีพ แท้ง.

สำหรับสายอาชีพที่ต้องเป็นแท้งแล้วคือพวกเขามรการโจมตีที่ต่ำและสกิลก็มีโอกาศที่จะสะท้อนความเสียหายในอัตราที่คงที่ไปยังมอนเตอร์.

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอเวคก็สามารถเรียนโล่ป้องกันได้ทั้งหมด แต่ผมไม่รู้ว่าเลเวลสกิลมีโอกาศที่จะสะท้อนออกมาเท่าไรและจำนวนความเสียหายที่สะท้อนออกมา.

ถ้าผมสามารถควบคุมมันได้จากพวกอเวคแล้วโอกาศที่จะสะท้อนมีถึง50% มันเป็นการสะท้อนการโจมตีทางกายภาพเท่านั้น แต่สิ่งที่ผมคิดได้ค่อผมต้องมีโล่ที่ป้องกันเวทย์มนตร์

ถ้าไม่ใช่อะไรที่จะมาเพิ่มสถานะมานาไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์หรือสกิลผมคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพื่อให้ได้มันมา

เมื่อความชำนาญผมมากขึ้น ความรู้สึกของการผิดหวังก็มากขึ้นตามไปด้วย.

ทุกคนที่มีเลเวลที่สูงๆจะสนุกกับมัน.

ด้วยการเลเวลของผมอัพอย่างรวดเร็วและการเติบโตทางกายภาพพื้นฐานของผม ผมคิดว่ามผมสามารถเครียร์ดันเจี้ยนเลเวล28ด้วยตัวคนเดียวได้เหมือนกับ ‘ชอย โซฮยอน’, ซึ่งแท๊กซังไม่สามารถที่จะหยุดเป็นแฟนบอยของเขาได้.

ราวกับจะหัวเราะทุกอย่างที่เขาพยายามอย่างหนักในหลายๆปีที่เขาแสดงให้เห็น(คนอื่นต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเครียร์ดันเจี้ยนชั้นๆหนึ่งได้แต่พระเอกใช้เวลา3เดือนก็มีความสามารถในการเครียร์ชั้น28ด้วยตัวคนเดียวเหมือนกับ ชอย-โซฮยอน ที่ฝึกอย่างหนักหลายปี/ไรต์)

ผมให้ความสนใจหนังสือสกิลแค่เวลาสั้นๆ

ผมรู้สึกท้อแท้กับของความของปาร์คฮยอนของกิลโนเบลส.

วันนี้เป็นวันที่6สงครามระหว่างกิลดิ์รอบสองกับกิลด์เอ็มไพน์

ผมวางแผนที่จะไปอาคารของกิลดิ์โนเบลสในวันนี้.

* * *

ในอาคารของกิลด์โนเบลส ชั้นที่60 ห้องทำงานของปาร์คฮยอน ผมอยู่ที่นั่น.

5โมงเย็น ก่อนที่จะเหลืออีก1ชั่วโมงจะเกิดสงครามกิลด์

ด้วยคำแนะนำจากเลขาฯฝึกหัดผมเข้าไปในห้องและวางดาบทมิฬลงบนโต๊ะประชุม.

เธอสงสัยกับการกระทำของผมว่ามันหมายถึงอะไร ผมพยักหน้าเล็กน้อยให้ปาร์คฮยอน เธอก็ไล่เลขาฯของเธอทั้งหมดออกไป.

“คุณมินชอย มันคืออะไร? ฉันกำลังเคลือนไหวเนื่องจากสงครามกิลด์กำลังจะเริ่ม.”

“ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะคืนดาบเล่มนี้.”

เมื่อได้ยินคำพูดของผม เธอไม่สามารถซ่อนความสงสัยและสับสนออกมาได้และเธอก็พูด.

“คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร…?คุณไม่ชอบมันหรอ?”

“ไม่.”

ผมถอนหายใจออกสักพักและพูดต่อ.

“ผมจะออกจากกิลด์”

“…..”

ขณะที่ผมพูดเสร็จใบหน้าของปาร์คฮยอนเย็นเฉียบในสองวินาที

แต่เธอก็กลับมาเปลี่ยนท่าทางของเธออีกครั้งและมันก็หายไปอย่างเงียบๆ

หลังจากที่เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอก็เปิดปากของเธอ.

“หืมม….มันคืออะไร? มันเป็นเพราะต้องเข้าร่วมสงครามกิลด์ใช่มั๊ย?”

“ไม่มีเหตุผล ผมเสียเวลาของผมเอง.”

“ถ้าอย่างนั้นแทนที่จะเป็นการด่วนตัดสินใจเราสามารถแก้ปัญหาด้วยการพูดคุยได้…”

ในขะณที่เธอยังพูดอยู่ผมขัดจังหวะของเธอ

และหลังจากโค้งหัวอย่างสุภาพผมพูด

“ผมรู้สึกขอบคุณมากที่คุณช่วยผม ผมรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมากและไม่มีวันลืมตลอดไปในชีวิตของผม อย่างไรก็ตามกิลด์โนเบลสไม่ใช่ที่ๆผมควรอยู่.”

“คุณจะไม่บอกเหตุผลหรอ?”

“…..”

เธอจ้องมองตรงมาที่ผมซึ่งยังคงเงียบหลังจากที่ถาม.

“มีข้อเสนอจากหน่วยสอดแนมของกิลด์อื่นหรอ? พวกเขาเสนออะไร?”

“ไม่ ผมไม่ชอบสถานการณ์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของคนอื่น”

ปาร์คฮยอน เธอเป็นหัวหน้ากิลด์ และสามารถสั่งอเวคคนอื่นๆขอกิลด์ได้.

มันเป็นการแสดงหน้าที่ว่างเปล่าอย่างน่าเหลือเชื่อ.

เธอเป็นผู้หญิงที่น่ากล้วเมื่อคุณยิ่งรู้จักเธอมากเท่าไร.

จากการคาดเดาของผมเธอต้องการที่จะยึดจับผมไว้จนจบ

แต่มันไม่สามารถช่วยได้ แต่ก็ต้องแปลกใจจากคำถัดไปของเธอ.

“ดี..โอเค แน่นอน มองไปที่การแสดงออกของคุณฉันไม่คิดว่าฉันจะสามารถรั้งคุณเอาไว้ได้ไม่ว่าฉันจะพูดอะไร หากมันเป็นกรณีแบบนี้ก็ไม่สามารถช่วยได้ สัญญาเป็นสัญญา ตามสัญญาที่เราได้ร่างเอาไว้ก่อนหน้านี้คุณมีอิสระที่จะออกไปได้ทุกเมื่อ และไม่มีบทลงโทษอะไร.”

จากคำพูดของเธอ มันช่วยไม่ได้ที่จะสับสน.

“…ใช่ ผมรู้ตั้งแต่ผมอ่านรายละเอียดของสัญญา.”

“ถ้าคุณไม่ต้องการกิลด์แล้วทำตามที่คุณต้องการ แต่คุณไม่รู้ว่าจะมีชีวิตออกมาอีกเมื่อไหร่ ถ้าเราเจอกันอีกครั้งและคุณกลับมาเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะอยู่ด้วยกันอีกครั้ง.”

คำพูดที่คลุมเครือของเธอสิ้นสุดลงและผมก็ถูกทิ้งไว้กับความโล่งใจที่ยังไม่แน่นอน

เป็นเพราะว่าอาวุธของผมจากไปแล้ว?  ไม่.

มันต้องเป็นข้อสงสัยที่ผมรู้สึกต่อปาร์คฮยอน

รู้สึดสับสนในช่วงเวลาสั้นๆด้วยเหตุนี้ผมจึงออกจากกิลด์โนเบลส.

“ฉันต้องยกมีดกุหลาบของฉันอีกครั้ง?”(ครั้งหนึ่งเยอรมันได้ทำมีดที่ตกแต่งไว้ด้วยกุหลาบ แต่ความบังเอฺญของมันทำให้มันสามารถตัดอะไรก็เลย ทุกคนเลยเรียกมันว่ามีดกุหลาบ เป็นการเปรียบเทียบในการตัดความสัมพันธุ์)

Comment

Options

not work with dark mode
Reset