I Never Run Out Of Mana – ตอนที่ 46. The Firing from the Readied Marksman Begins

46. The Firing from the Readied Marksman Begins

“ฮัลโหล?”

“นี่ มินชอย นายอยู่ไหน?”

“ด้านหน้าอาคารสมาคมส่วนกลาง คุณคิดว่าคุณจะจบเมื่อไหร่?”

“สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องฟัง ฉันจะพาแม่นายออกไปใน 10 นาที.”

“Ok.ผมจะรออยู่ที่ทางเข้ารถไฟใต้ดิน ทางออกที่3.”

เนื่องจากมีการรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างมากในบริเวณอาคารสมาคม ผมจึงตัดสินที่จะรอทางเข้ารถไฟ.

ผมได้เช็ดเลือดออกจากตัวผมทั้งหมดรวมทั้งเสื้อผ้า

แต่ผมก็ไม่สามารถซ่อนกลิ่นที่ซึมผ่านผิวหนังได้.

ผมมองไปรอบๆอย่างรอบคอบ.

ไม่นานผมก็เห็นแม่และจุงโฮออกมา.

“ขุ่นพระ ทำเธอถึงเหม็นจัง.”

“ผมไปล่ามา การอภิปรายเป็นไงบ้าง?”

“ไม่ต้องถาม เธอไม่สามารถไปโจมตีคนรอบๆได้ เข้าไจ๊? โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่อ่อนแอที่ตายและไม่รู้แม้กระทั้งว่าศพของพวกเขาอยู่ไหน ตอนนี้ฉันไม่รู้แล้วว่าโลกกำลังจะไปยังทิศทางใด.”

คำพูดของแม่ผม ทำให้หัวใจผมหนักอึ้ง.

ไม่ใช่ว่าผมพึ่งฆ่าคนไปกว่า 500 คนของกิลด์ๆนึง?

อย่างน้อยๆผมก็ไม่เสียใจกับเหตุการณ์ในวันนี้.

ผมต้องแข็งแกร่งทั้งกายและใจ.

เพื่อปกป้องของๆผม ผมต้องใช้เวลามากกว่านี้.

“นี่ นายกำลังคิดอะไรของนายอยู่ แม่รู้อยู่แล้ว นายจะไม่ทำร้ายใครก่อน.”

“ผิดแล้ว แม้ว่าจะถูกทำร้ายก่อน แต่เธอต้องแก้ปัญหาด้วยคำพูดก่อน”

“Ok! ผมจะทำมัน ผมจะทำมัน เดาว่าคุณกำลังสนุกอยู่แน่ๆเพราะว่าคุณยังพูดอยู่ กลับบ้านเถอะ ผมหิว.”

* * *

หลังจากที่กลับมาบ้านและทานอาหารเสร็จแล้ว ผมก็คุยกับจุงโฮเกี่ยวกับจิน

ผมต้องการวางแผนที่จะจัดการเขา.

เขาเข้าใจความสามารถของผมแล้ว.

แต่ว่าผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับเขาและบอสของเขา.

และผมยังสามารถจัดการพวกเขาได้ในระดับหนึ่ง

แต่ผมไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของแม่ได้เมื่อผมออกไปล่า.

จุงโฮรู้สึกตกใจกับความสามารถที่มานาไม่มีวันหมดของผม ขณะที่เขาได้ยินสิ่งนี้เป็นครั้งแรก

เขาคิดว่าอัตราการฟื้นฟูของผมสูงมาก.

ทำไมผมถึงไว้ใจเขามากจนถึงจุดที่แบ่งปันความสามารถของผมน่ะหรอ?

มันน่าอายเล็กน้อย แต่ผมมีคนแคระที่ให้ค้นหาเบื้องหลังของจุงโฮโดยใช้แอสซาซินระดับกลาง.

ทั้งหมดที่ผมรู้คือ เขาเป็นคนดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้อีก.

นั่นคือเหตุผลที่ผมเชื่อเขาและฝากแม่ไว้กับเขา ในศึกของโนเบลซ.

ผมแซวเขากับการที่เขาไม่สามารถซ่อนความจริงของเขาได้ แต่ผมก็ไม่ได้เกลียดเขา.

จุงโฮเปลี่ยนหัวข้อไปสู่การต่อสู้

“การโจมตีที่ทะลุโล่เลเวล 100 3ชั้น? มันไม่ใช่บางอย่างที่ต่างไปหรอ.”

“ผมไม่สนว่าเขาน่าทึ่งแค่ไหน ผมกังวลเรื่องความปลอดภัยของแม่ วันที่เราเจอกันอีกครั้งจะเป็นวันที่เขาต้องจัดงานศพ.”

ผมค่อนข้างซีเรียสและไม่สามารถสบายใจได้จนกว่าเรื่องราวต่างๆจะหมดไป.

“แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่ามันตลก.”

“สิ่งนั้นมันเป็นอะไร?”

“ฮยอง, คิดดีๆ ถ้ามีคนที่มีสกิลในการโจมตี ทำไมเขาไม่เล็งไปที่หัวใจหรือศีรษะ?”

“มั่นก็จริง.”

“แต่เขามุ่งเป้ามาที่ท้องของผม แน่นอนว่าผมจะตายจากการบาดเจ็บ แต่ผมจะไม่ตายทันที.”

“หืม….”

“เนื่องจากผมมีโล่สามชั้น มุนโจมตีเลยเปลี่ยน? เป็นไปได้ไหม อย่างไรก็ตามผมรู้สึกได้ว่าเขาก็ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่จุดไม่สำคัญเหมือนกัน.”

“รายได้ที่ได้จากกิลด์โนเบลซกำลังถูกทำลาย แต่มันก็เหมือนกับว่ามันจะไม่เป็นไรหากมันพังไปสักที่นึง? นายไม่คิดหรอว่าการโจมตีของเขาผิดพลาด?”

“อย่างที่ผมบอกก่อนหน้านี้ เขารู้ความสามารถของผมแล้ว ถ้าผมเข้าใจว่าเขาต้องการความสามารถไม่มีวันหมด.”

สักพักผมก็เอาโทรศัพท์ของผมออกมา.

มันเป็นการแสดงให้เขาเห็นว่ามีอะไรอยู่ที่ชั้นใต้ดิน15.

การแสดงออกของจุงโฮกลายเป็นร้ายแรงและเขาเริ่มมองไปที่โทรศัพท์ของผมอย่างจริงจัง.

“นี่คือ?”

“มันอยู่ชั้นใต้ดินของกิลด์โนเบลซที่15 คุณคิดว่าเครื่องนี้คืออะไร?”

“อ่า…ฉันเคยเห็นแบบนี้.”

จุงโฮกำลังนึกถึงบางอย่าง.

“ฉันไม่มั่นใจหลังจากมองมันหลายครั้ง.”

“ไม่มั่นใจ?”

“สิ่งที่พวกเขากำลังสกัดจากคนเหล่านี้คือมานา.”

“มานา? งั้นพวกเขาจะเอามานาทั้งหมดส่งไปยังพอร์ทัลเพื่ออะไร? มันมีเหตุผลอะไร?”

“นั่นฉันไม่รู้ แต่มานาที่ต้องการจะต้องเป็นอะไรบางอย่างที่มหาศาลมากเมื่อดูจากคนเป็นร้อยๆคน เนื่องจากพวกเขาต้องการมานาแมาก พวกเขาจึงต้องทำตัวเลวร้าย.”

“ถ้าสิ่งที่นายบอกมาถูกต้อง นายจะสบายอยู่พักนึง ก่อนที่พวกเขาจะเอาดาบมาจ่อคอคุณอีกครั้งเหมือนกับที่โนเบลซทำ.”

“แน่นอนว่าผมต้องมีพลังมากพอที่จะกันพวกเขาได้ และก่อนที่ผมจะทำแบบนั้นผมต้องรับประกันความปลอดภัยของแม่ผมก่อน ดังนั้นผมจึงสบายใจกับการเพิ่มความแข็งแกร่งได้.”

“วิธีง่ายๆ.”

“มันคือ?”

“นายก็เพียงใช้สกิลกับแม่ของนายเท่านั้น.”

“นายไม่สามารถใช้อะไรได้นอกจากสกิลโจมตีไปยังคนปกติหรอ?”

นั่นก็จริง

รวมทั้งสกิลปฏิเสธสถานะที่ปาร์คฮยอนใช้ มันเหมือนกับฮีลและการป้องกันอื่นๆ มันไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนยกเว้นอเวค.

ไม่มีทางที่จุงโฮจะพูดถ้าไม่รู้เรื่องนี้.

แต่จุงโฮไม่ใช่คนไร้สาระ.

ผมภาวนาให้สิ่งที่เขาพูด มันจะเป็นทางออกที่ผมต้องการ

“ฟื้นฟูและสกิลบัฟต่างๆไม่ได้ แต่การโจมตีทำได้ ถูกมั๊ย?”

“… คุณหมายถึง?”

ผมไม่รู้ว่าจะทำได้อะไรได้บ้าง แต่แปลกใจที่จุงโฮพูดถึงมัน

อย่างไรก็ตามเขายังคงทำต่อไปรวมทั้งการแสดงออกที่ไม่เปลี่ยนแปลง.

“เนโครแมนเซอร์มีสกิลที่เรียกว่า ‘หลักฐานการปฏิญาณ’ ที่นายสามารถใช้ได้.”

“มันคือ?”

“โดยทั่วไปแล้วเขาจะกำหนดเป้าหมายไปที่คนรับใช้.”

“เดี๋ยวฮยอง ผมคิดว่าผมไม่เข้าใจ ผม….”

“นายสามารถใช้มันกับเป้าหมายที่อ่อนแอได้เท่านั้น มันเป็นประเภทเดียวกับดีบัฟแต่มันจัดเป็นสกิลโจมตี.”

“…..”

“เดิมทีมันโอนความเสียหายทั้งหมดของผู้ใช้ไปยังเป้าหมายเช่น การใช้มนุษย์เป็นโล่ แต่เรื่องตลกก็คือมันสามารถใช้ในทางกลับกันเหมือนกัน.”

“จริงดิ? ถ้ามีสกิลแบบนั้นผมรู้สึกว่าเนโครแมนเซอร์เป็นยิ่งกว่าตัวแท้งหรืออัศวินVIPเสียอีก หรือแม้กระทั่งวอริเออร์เป็ด*อีก.”(ความจริงมันเขียนว่าวอริเออร์อเนกประสงค์ ผมเลยเรียกมันว่าเป็ด/ไรต์)

“มันก็จริง แต่ถ้าฉันไม่รู้เกี่ยวกับความสามารถของนายฉันคงไม่แนะนำให้ใช้สกิลนี้.”

“หมายความว่าไง?”

“ไม่มีใครในโลกใช้สกิลนี้ได้ อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ เยี่ยม ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะมีใครใช้ได้ในอนาคตไม่ว่าอย่างไรก็ตาม.”

“มันใช้มานาท่าไร? เท่าไร?”

“5ล้าน 5ล้านพอดี ถ้ามนุษย์ยังพัฒนาไปได้เรื่อยๆก็สามารถใช้งานได้ หากว่าเขาไม่ตายและยังเพิ่มเลเวลเรื่อยๆ…ก็อาจจะใช้สกิลได้ แต่มันไม่ใช่กับนาย?”

“แต่ถ้านายใช้สกิลนี้ เอาไปใช้กับพวกมันไม่ดีกว่าหรอ? เนื่องจากนายสามารถควบคุมได้.”

“ก็จริง แต่มันก็ขึ้นอยู่กับควบคุมของนาย นายสามารถใช้มันโจมตีจิตใจของเขาหรือคุณมันก็อาจจะมีผลกระทบจากสกิลของพวกเขาและมันอาจจะออกมาได้ด้วยจิตใจของนายคนเดียว.”

ถ้ามันเป็นอย่างที่จุงโฮพูดนี่มันเป็นแผนที่สุดยอด

แม้ว่าแม่ของผมจะถูกโจมตีแต่ความเสียหายทั้งหมดจะถูกโอนมาให้ผม.

นอกจากสกิลที่ไม่มีแรงค์แล้วก็ไม่มีการโจมตีอะไรที่ทำได้ที่จะสามารถผ่านโล่มานา.

และมันก็ยังมีประโยชน์หากเป้าหมายไม่มายุ่ง.

ไม่ว่ามันจะมีค่าใช้จ่ายเท่าไรผมก็ต้องหาวิธีอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้มันมา.

ผมไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นหลังจากคำถาม.

“ราคามันคงจะแพงอย่างไม่น่าเชื่อเลยใช่มั๊ย?”

“ใช่…แพงใอย่างไม่น่าเชื่อ.”

“ผมมีแค่แก่นอเวค แต่นั่นก็คงพอมั้ง?”

“ยาก.”

“ผมจะหามันได้จากที่ไหร?”

“อาจจะอยู่ในถังขยะตามตลาด.”

“อ่า ผมเกือบจะตีคุณซะแล้ว อย่างนั้นมันก็เป็นสกิลที่ไร้ค่า.”

“แน่นอน ใครมันจะไปซื้อสกิลที่ไร้ค่าแบบนั้นหลังจากที่นายได้มันมาแล้วหล่ะ? หากนายล่ามิมิคอย่างบ้าครั่งมันอาจจะดรอปสักเล่ม.”

“คุณรู้ดีจริงๆนี่ ใช่มั๊ย?”

“ฉันได้ทำงานเป็นเบี้ยล่างของสังคมมานานแล้ว นี่เป็นพื้นฐานของมันเท่านั้น.”

ผมมุ่งหน้าไปตลาดกับจุงโฮ

* * *

มันเป็นเวลา1สัปดาห์แล้วหลังจากที่ผมกวาดล้างกิลด์โนเบลซและปาร์คฮยอน

ผมได้รับสกิลที่จุงโฮพูดวันนั้น.

นักเวทย์สามารถใช้มันได้ด้วยมือทั้งสองข้าง.

ต้องขอบคุณมันไม่ได้เป็นสกิลที่ต้องใช้อย่างต่อเนื่องเหมือนกับโล่มานา

มันใช้เพียงครั้งเดียวมันก็อยู่ตลอดและยังจำเป็นต้องร่ายกับเป้าหมายเดิมอีกครั้งเพื่อยกเลิก.

ผมจำเป็นต้องทดสอบผลของสกิล.

ผมไม่สามารถใช้ใส่แม่ได้หากยังไม่ได้ทดสอบว่าปลอดภัย.

แต่มีวิธีที่ง่ายและค้นหามันได้อย่างรวดเร็ว.

เช้าวันอาทิตย์

ผมมุ่งหน้าตามไปยังเสียงกรีดร้องที่เกิดขึ้นอยู่ในห้องครัว.

แม่ของผมทำมีดบาดนิ้วขณะทำอาหาร.

เธอกดมันไว้แน่น.

แต่เมื่อเธอเปิดมันออกมาและปรากฎว่าไม่มีรอยบาดแต่อย่างใด.

เธอดูประหลาดใจ แต่คิดว่ามันเป็นความโชคดี เธอเลยไม่สงสัยอะไร.

ผมใช้โล่มานา

แม้ว่าจะเป็นมีดกุหลาบบาดเธอตรงๆเธอก็ไม่มีแผล

ข่าวเรื่อง ‘การหายสาบสูญของสมาชิกกิลด์โนเบลซ’ ขึ้นหน้าหนึ่ง.

พวกเขาถือเป็นเรื่องลึกลับเพราะว่าไม่สามารถหาร่องรอยของพวกเขาได้.

500 คนถูกฆ่า แต่ไม่มีข่าวอะไรเกี่ยวกับพอร์ทัล.

สมาคมไม่สามารถหาพอร์ทัลในอาคารได้?

โอกาศที่เกิดขึ้นนั้นเป็น0.

และเครื่องที่ติดตั้งบนพอท์ทัลถูกนำออกเรียบร้อยแล้ว

คาดเดาว่าพวกเขาไม่ต้องการให้มันถูกเปิดเผยผ่านสื่อ.

ด้วยสกิลทำตามปฏิญาณ ผมรู้สึกโล่งใจมากขึ้นเกี่ยวกับแม่ของผม.

แต่จินเป็นเป็นคนที่มีสกิลที่น่าเหลือเชื่อ.

ถ้าพวกเขาทำตามองค์กรจะต้องมีพลังมากกว่าเขา.

ถ้าพวกเขาไม่มีสกิลที่ไม่มีการจัดอันดับ? แล้วผมจะไม่ทำอะไรได้นอกจากความต้านทานเพียวๆ.

ผมได้ซื้อของให้ตัวเองเพื่อเพิ่มความสามารถของผม.

ผมต้องใช้โอกาสนี้อย่างเต็มที่ตอนที่ผมยังไม่ได้ถูกโจมตีใดๆ นั่นก็คือผมต้องรีบเติบโตเร็วๆ.

เนื่องจากดันเจี้ยนเลเวล19-21ไม่สามารถโจมตีด้วยเวทย์มนต์ได้ ผมจึงต้องเข้าไปในเลเวล23

เพื่อทำการล่าให้เร็วขึ้นผมยังเอาสร้อยคอลูว์เวอร์จากเลเวล 18 ดังนั้นผมจึงใช้เวทย์มนต์ทั้งสองมือได้อย่างไร้กังวล.

ด้วยผมของเซ๊ตเอฟเฟค ผมจึงมีโล่ป้องกันเวทย์เพิ่มขึ้นมาอีกอัน

สิ่งต่างๆที่อยู่ในดันเจี้ยนจะถูกป้องกันด้วยโล่นี้.

ผมเข้าไปในดันเจี้ยนเลเวล18เพื่อสร้อยคอ แต่มันก็ยังเพียงเลเวล.

เมื่อเลเวลผมมาถึง170 ผมได้ใส่ค่าสถานะทั้งหมดไปที่ความอึด.

ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องเพิ่มค่าความแข็งแกร่งอีก

เพียงแค่ที่ผ่านมามันก็เกินกว่า600แต้มแล้ว

มันเป็นแค่วิริเออร์บางคนเท่านั้นที่จะใส่มันอยุ่ค่าเดียวจนถึงเลเวล 118.

ด้วยจินวอนทั้งสองเล่มมันยังเพิ่มความแข็งแกร่งให้ผมได้อย่างมหาศาล

นอกจากจะมีไอเทมหรือสกิลที่ทำให้เวทย์มนต์ไม่ส่งผล ผมจึงต้องวางแผนเอาแต้มทั้งหมดต่อจากนี้ใส่ไปที่ความคล่องตัวและความอดทน

นั่นเป็นเหตุผลที่ผมเลือกดีนเจี้ยนเลเวล23

มันคือการหาอุปกรณ์ป้องกันจากดันเจี้ยน

“จินหรือใครก็ตาม ฉันจะยิงทันทีที่ฉันพร้อม.”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset