I Never Run Out Of Mana – ตอนที่ 65. พันธมิตร? ศัตรู? พันธมิตร!

65. พันธมิตร? ศัตรู? พันธมิตร!

รายงานคิมโฮจินหลังจากที่เฝ้าระวัง 5 วัน

-06:30 ตื่นนอน.

-หลังจากตื่นขึ้นมาให้อาหารสัตว์:เจ้าเกี๊ยว (มันไม่ใช่ชื่อที่เอาไว้เรียกหมาน่ารักๆหลอกนะ)

-07:20 เก็บของเตรียมออกไปข้างนอกพร้อมกับคาบขนมปัง (คงเป็นประเภทชอบทำตอนไฟลนก้น)

-07:30 บอกลาลูกสาวคิมจองยอนและภรรยาก่อนที่จะออกเดินทาง(เดาว่าบ้านนี้ตื่นเช้ามากกกก)

-08:00 มาถึงดันเจียนเฉินเลเวล 13 เพื่อหาปาร์ตี้เข้าร่วม

-เที่ยง จนกระทั่งจองโฮและสมาชิกในกลุ่มก็ของเขาก็เข้ามา พร้อมกับป้ายชื่อของอเวคคนอื่นเพื่อที่จะทำการล่า  (การล่าเป็นไปกว่า 12 ชั่วโมง ผมมองว่าเขาดูเหมือนจะมีเป้าหมายอยู่ในใจ)

-20:00 ล่าเสร็จแล้วก็กลับบ้าน.

-22:00 นอน. (นี่มันดูเหมือนชีวิตของพวกทหารเลย.)

“อะไรกัน เขาออกจากสมาคมจริงๆหรือเปล่าเนี่ย?”

เวลาผ่านไปนานเกินกว่าที่จะเรียกมันว่า ลาพักร้อนจากสมาคม

เกือบ 2 สัปดาห์แล้วที่เขาล่ามอนกับจุงโฮตลอดเวลา

จากข้อมูลของโฮจินและภรรยาของเขาแล้ว ผมสามารถบอกได้เลยว่าเขาลาออกจริงๆ

ขณะที่ผมเฝ้าระวังโฮจินอยู่ จุงโฮก็บอกให้ผมรู้ว่าเขาถามเกี่ยวกับผม.

จากการแนะนำของผม จุงโฮหลีกเลี่ยงคำถามมด้วยการเปลี่ยนหัวข้อหรือสร้างเรื่องราวตามที่ผมต้องการให้เขารู้.

สำหรับคำถามส่วนตัวที่เฉพาะเจาะจง เขาเพียงตอบว่าไม่รู้.

จากสิ่งที่ผมเห็นมาจนถึงตอนนี้คิมโฮจินก็ดูเหมือนจะออกจากสมาคมแล้วและใช้ชีวิตเหมือนกับอเวคทั่วๆไป.

นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม ผมถึงได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขา.

มันเป็นเพราะผมต้องการข้อมูลจากเขา.

และดูเหมือนว่าเขาจะหวังให้ผมปรากฏตัวต่อหน้าของเขา ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ผมจะทำให้มันช้าไปกว่านี้.

การล่ามอนเตอร์เสร็จสิ้นลงในช่วงดึง เนื่องจากเกิดความล่าช้าขณะที่ผมเฝ้าระวังโฮจิน

การได้รับข้อมูลและพันธมิตรเป็นสิ่งสำคัญ.

เช่นเดียวกับการบำรุงรักษามีดให้คมอยู่เสมอ ผมทำการล่ามอนเตอร์อย่างเช่นทุกวัน.

หลังจากงีบเป็นเวลาสั้นๆ ผมก็มุ่งหน้าไปที่บ้านของโฮจินเพื่อที่ผมจะได้พบเขา ขณะที่เขาออกบ้านมาล่ามอนเตอร์แบบทุกวัน.

ผมเห็นเขาออกมาจากอพาร์ตเมนต์ของเขา.

-ปิ๊บ

เขากำลังเดินไปยังรถSUVสีขาวของเขา.

‘ทำไมอเวคถึงยังต้องใช้รถเพื่อที่จะออกไปล่ามอนเตอร์?’

ตัวผมเองก็ใช้วิธีการอย่างนี้คล้ายๆกัน จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ แต่เขาสามารถใช่สกิล วาป ไปที่นั่นได้.

โฮจินหยุดเดินไปที่และเงยหน้า.

พร้อมกับพูดคนเดียว.

“อ่า นี่ฉันลาออกมาแล้ว…การติดมันจนเป็นนิสัยนี่มันน่ากลัวจริงๆ”

“คุณคิมโฮจิน.”

ในขณะที่เขามองไปที่รถยนต์อย่างว่างเปล่า ผมก็เข้าไปหาเขาและพูด.

เขาหันหน้ามองยังต้นเสียง เขาดูเหมือนจะไม่แปลกใจที่เห็นผมยืนอยู่ตรงนั้น.

แต่เขาก็ซ่อนการแสดงของเขาและแสร้งทำเป็นโง่

“ใคร…?”

“นั่นคิมมินชอย เราเจอกันที่ดันเจี้ยนเลเวล 13 ก่อนหน้านี้.”

“อ่า! ตอนนี้ฉันจำได้แล้ว ขอโทษกับเรื่องนั้น ความทรงจำของผมไม่ค่อยดี ผมสงสัยว่าลมอะไรหอบให้คุณมาที่นี่…”

“เราเจอกันที่ดันเจี้ยนเลเวล 28 ด้วย ถูกไม๊?”

เมื่อเห็นรอยยิ้มของผม มีเหงื่อไหลลงมาบนหน้าของเขา.

“หืม? ฮ่าฮ่า…ไม่มีทาง ตั้งแต่ที่ผมเป็นอเวคที่ทำอะไรช้ากว่าคนอื่น ผมเพิ่งจะไปถึงดันเจี้ยนเลเวล 13 คุณก็รู้?”

“หยุดแสดงได้แล้ว คุณดูเหมือนจะไม่มีความสามารถพอที่จะทำอย่างนั้น ไม่ต้องทำให้เสียเวลา”

“หมะ… คุณหมายความว่าอย่างไร…”

“ขอโทษที่มาพูดเอาตอนนี้ แต่ผมเฝ้ามองคนในไม่กี่วันที่ผ่านมา.”

“….”

“เปลี่ยนสถานที่กัน ดูเหมือนว่าแถวนี้แมลงวันจะเยอะจริงๆ.”

มองผ่านตาหยั่งรู้ ผมได้ร้ายเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ผมสามารถหาคนที่ใช้สกิลสเตลเพื่อสอดแนมเรา.

ฝ่ายหัวรุนแรง?

ไม่! ไม่มีทางที่พวกเขาจะให้ใครบางคนที่เป็นมือใหม่อย่างนี้ ในฐานะที่คนๆอาจเป็นเป้าหมายที่กำลังจินได้

อาจจะเป็นคนที่ติดตามคิมโฮจิน.

บางทีเขาอาจสังเกตเห็น เพราะเขาพยักหน้าและตามผมมาที่ตรอดซอยถัดจากทางเข้าอพาร์คเมนต์.

เมื่อมาถึงมุมตึกและหลบพ้นสายตาของคนสอดแนม ผมใช้ Mass Stealth Jutsu และ Silent.

ระยะของมันเพียงพอที่จะครอบคลุมไปถึงโฮจินและผม.

“ตอนนี้เรามาต่อกันได้ มาคุยกันเถอะ คุณต้องการอะไรจากผม? ทำไมคุณถึงพยายามที่จะหาผม?”

โฮจินถอนหายใจยาวก่อนที่จะเริ่มพูดด้วยสีหน้าจริงจัง.

“งั้น… ก่อนที่ฉันจะตอบคำถามเธอ ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร สิ่งเดียวที่ฉันรู้ก็คือ เธอสามารถล่ามอนเตอร์มากกว่าเลเวลของเธอได้ ไม่รู้ว่าความสามารถที่เธอมีหรือว่าเพราะเธอแข็งแกร่ง ฉันก็ไม่อาจรู้ได้และ…”

เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะอธิบายต่อตามความคิดของเขา.
ราวกับว่ากำลังตัดสินใจ คำพูดของเขาก็เริ่มหนักแน่นขึ้น.

บางทีมันอาจจะเป็นมาจากการลาออก.

แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างวการแสดงออกของเขาดูเหมือนจะสงบ

“ฉันไม่รู้ว่าเธออยู่ข้างไหน.”

“คุณกำลังบอกว่าคุณไม่รู้ว่าผมเป็นพวกหัวรุนแรงใช่ไหม? บางทีผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ?”

“ฮ่าฮ่า ดีใจที่เธอตรงไปตรงมา ถูกต้อง ฉันจะพูดโดยไม่ปิดบังอะไรเลย เช้านี้มีบางอย่างที่ฉันได้ตัดสินใจขณะที่ฉันออกจากบ้าน.”

“นั่นคือ?”

“ฉันกำลังเดินทางไปเปิดเผยเบื้องหลังของสมาคม ความจริงที่สมาคมได้ตระหนักถึงฝ่ายหัวรุนแรง แต่สิ่งที่พวกเขาพยายามทำก็คือเมิณเฉยทั้งหมด ทั้งสมาคมและทั้งรัฐบาล”

“ถ้านั้นเป็นความจริงและผมเป็นพวกหัวรุนแรงหล่ะ? คุณ
อาจถูกฆ่าตายที่นี่ ตอนนี้ โดยไม่มีสุ่มเสียง นี่คือทางเลือกของคุณ? ไม่เสียใจเลย?”

“ถ้าฉันสามารถยืนต่อหน้าครอบครัวของฉันได้อย่างภูมิใจและถ้ามันเป็นแค่ชีวิตของฉัน ฉันก็ไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจแม้แต่น้อย.”

ผมสามารถบอกได้จากเฝ้าระวังที่ผมได้ทำไปแล้ว แต่ตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายหัวรุนแรง.

และผมก็เพิ่งจะรู้ว่าทางสมาคมก็ส่งคนมาติดตามเขาเหมือนกัน

เขาอาจจะคล้ายกับยุนจองซัน[ชายผู้ชอบธรรม]

“ผมเข้าใจปัญหาของคุณแล้ว แต่ได้โปรดคิดถึงครอบครัวของคุณขณะที่คุณเสี่ยงชีวิต ผมเข้าใจ ก่อนอื่นผมไม่ได้เป็นพวกหัวรุนแรง จริงๆแล้วผมก็เป็นเหมือนคนที่คุกคามพวกนั้น?”

“จริงหรอ?”

จากสายตาของเขา ผมรู้สึกสิ้นหวัง.

“ใช่ ผมคิดว่าผมสามารถตอบคำถามของคุณได้ ตอนนี้ผมหวังว่าคุณจะตอบผมได้?”

“สิ่งที่ฉันต้องการจากเธอคือ…ความแข็งแกร่ง.”

“แข็งแกร่ง? ผมคิดว่าคุณต้องการมากกว่านี้ สำหรับที่คุณต้องการ?”

“ปัจจุบันผู้ที่ถืออำนาจในประเทศนี้ส่วนใหญ่ได้ติดต่อกับพวกหัวรุนแรง.”

“ผมรู้…”

“ถ้าพวกเขายังคงซ่อนความจริงจากองค์กรนานาชาติ รวมถึงประชาชน เรื่องใหญ่โตต่างๆต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน.”

“เพราะงั้นคุณกำลังขอให้ผมเป็นพลังให้กับคุณในการโจมตีฝ่ายต่างๆให้แตกออกจากกัน?”

“ใช่ ถูกต้อง.”

“ถ้าอย่างนั้นคุณจะให้อะไรผม? คุณก็รู้ว่าจะไม่เกิดการค้าขายหากมีคนได้แค่ฝ่ายเดียว.”

“นั่น…..”

สำหรับโฮจิน ที่กำลังพึมพำ ผมก็พูดอย่างตื่นเต้น.

“ข้อมูล ผมต้องการข้อมูลทั้งหมดรวมถึงวิธีการป้องกันไม่ให้ทางสมาคมรู้เกี่ยวกับการเติบโตของผม เป็นไปได้ไหม?”

****

ผมคุยเสร็จแล้วหลังจากที่ผ่านไปพักหนึ่ง.

เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกค้นพบโดยแอสซาซินของสมาคม เขามุ่งหน้าไปยังดันเจี้ยนเลเวล 13 โดยการใช้วาป.

ผมวางแผนที่จะมุ่งหน้าไปยังบริเวณล่ามอนเตอร์ตามปกติ.

ถ้าโฮจินเห็นด้วยกับแผนของผมและหาวิธีทำให้ผมเข้าไปในดันเจี้ยนได้โดยไม่มีการส่งข้อมูลกลับไปยังสมาคิม ผมวางแผนที่จะดันเจี้ยนเลเวล 28

ถ้าหากดันเจี้ยนยังไม่เวิร์ก ผมก็วางแผนที่จะเข้าไปแม้ว่าผมต้องเป็นพอร์ทัลก็ตาม.

จนกว่าผมจะสามารถเพิ่มเลเวลให้แข็งแกร่งได้ตามที่ผมต้องการ.

ผมไปที่สำนักคนแคระเพื่อใช้พอร์ทัลและมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ล่ามอนเตอร์.

ผมรีบขึ้นแท็กซี่และก็มีถึงอย่างรวดเร็ว.

-ปิ๊บ ถึงที่หมายแล้ว.

“ทั้งหมด 14,000 วอน.”

“ครับ.”

ผมจ่ายค่าแท็กซี่.

จากนั้น.

-หวืด

ผมได้ยินเสียง”กรุบ”เบาๆผ่านตรอกเล็กๆ มันทำให้ผมเสียวสันหลัง.

โลกรอบๆตัวผมเริ่มมืดลง.

ความมืดได้บดบังการมองเห็นของผม.

ราวกับว่าแยกกันอยู่คนละโลก ในความมืดผมไม่อาจมองเห็นอะไรด้านหน้าได้ เพราะไม่มีแม้แต่แสงใดๆ.

ในเวลาสั้นๆ ผมถูกขัง

“อะไร….”

ผมร่ายชิลด์ปกกันตัวผมตามสัญชาตญาณและใช้ร่ายเวทย์ด้วยมือทั้งสองข้าง เพื่อที่ผมจะได้เห็นแสงที่ออกมาจากพวกมัน.

แต่ ผมก็ยังไม่เห็นอะไรเลย.

ผมไม่รู้ว่าผมอยู่ที่ไหนหรือเกิดอะไรขึ้น ผมจึงทำได้แค่มอง.

มีเสียงของคนดังก้องทุกทิศทาง.

เสียงมันสะท้อนเหมือนกับว่าผมอยู่ในถ้ำ ผมไม่อาจบอกได้ว่าต้นเสียงมาจากไหน.

“มันเป็นแก แกไอ้สารเลว คนที่ฆ่าจิน.”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ผมสามารถบอกได้ทันทีเลยว่าเป็นใคร.

โจ๊กเกอร์ หนึ่งในสามผู้นำของฝ่ายหัวรุนแรง เขามาปรากฏตัวต่อหน้าผม.

คนที่รู้ถึงตัวตนของผมอย่างจิน ก็มีแค่คนเดียว เป็นเขา.

“โจ๊กเกอร์? โอ้เด็กน้อย วันนี้ผมไปเจอผู้คนมากมาย คุณมาที่นี่เพราะว่าคุณต้องการที่จะจบเหมือนกับจิน?”

“ตลกน่า นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของแก ให้เรายืมพลังของแกซะ.”

“มีใครในกลุ่มพวกคุณที่รู้ถึงความแข็งแกร่งของผมบ้าง? ไม่ต้องพูดจาไร้สาระและออกไปซะ.”

“2 วัน ฉันจะกลับมาอีกใน 2 วัน คิดให้ดีเกี่ยวกับคำตอบของแก ยอมหรือตาย หนึ่งในสองคำตอบนี้พอๆกับการถ่มน้ำลายออกมา.”

‘ตาหยั่งรู้.’

จากที่ไกลๆ ผมเห็นรูปร่างของเขา.

อย่างไรก็ตาม ระยะทางนั้นไกลเกินกว่าที่ผมจะเห็นได้ชัดเจนนอกจากจุดแดงๆ.

มันไกลเกินกว่าที่ผมจะโจมตี.

“อ๊ากกก!”

ผมเริ่มวิ่งเต็มด้วยความเร็วเต็มที่เพื่อที่จะไปจัดการเขา.

ผมรู้สึกว่าผมไม่อาจพอใจได้จนกว่าผมจะปล่อยเมเทโอใส่หน้าของเขาเป็นอย่างน้อย.

อย่างไรก็ตาม.

-หวืด

ผมได้ยินเสียงเดียวกันนี้เมื่อผมลงจากรถแท็กซี่และความมือก็หายไป.

จุดแดงไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกแล้ว.

“เลวเอ้ย….”

หลังจากที่ความมืดจางหายไป ผมก็สามารถมองเห็นแสงต่างๆได้อีกครั้ง.

ผมเสียใจที่ปล่อยให้เขาหนีไปได้ เพราะแท็กซี่ยังอยู่ข้างๆผม.

มันเป็นแท็กซี่แบบเดียวกับที่ผมนั่งมาที่นี่หลังจากที่ผมพูดกับโฮจินเสร็จ.

เมื่อมองอย่างระมัดระวัง คนขับยังคงนับเงินที่ผมจ่ายไปอยู่.

ผมแน่ใจว่าผมต้องอยู่ในความมืดเป็นเวลา 3 ชั่วโมงอย่างน้อยๆ.

แต่ภาพเหล่านี้ มันเหมือนกับว่าผมพุึ่งจะให้เงินกับคนขับ.

‘เขาหยุดเวลาหรืออะไรสักอย่าง?’

ดูเหมือนว่าเขาจะเคลื่อนย้ายผมไปยังอีกมิติหนึ่งซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากเวลา.

มีความเป็นได้ว่ามันเป็นความสามารถของอาชีพ เอ็กซีคิวชั่นเนอร์(เพรชฆาต).

“2 วัน….”

โจ๊กเกอร์เคลื่อนไหวเร็วกว่าที่จินบอกกับเรา.

ผมเริ่มเดินไปยังสำนักงานของคนแคระ.

ผมโทรหาจุงโฮ.

“ฮัลโหล?”

“ไง ฮยอง.”

“ช่าย แล้วได้เจอกับคุณคิมโฮจินแล้วหรือยัง?”

“ครับ ผมพึ่งคุยกับเขาเสร็จ.”

“เป็นไงบ้าง? แน่ใจว่าเขาออกจากสมาคมแล้วหรือยัง มีเรื่องอื่นอีกไหม? คิดว่าเขาช่วยอะไรได้บ้าง?”

“ไม่แน่ใจนัก แต่เขาต้องการบางอย่างจากผม ดังนั้นดูเหมือนว่ามันจะเกิดอย่างนั้นได้.”

“ดีใจที่มันเป็นไปได้อย่างราบรื่น”

“ใช่ ให้มันราบรื่นได้ต่อไป”

บางทีเขาอาจสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะจุงโฮถามผม.

“ว่าไง? ทำไมนายถึงสดชื่นนัก?”

“ฮยอง.”

“เออ เรียกฉันทำไม.”

บันวอนจินชอย ผมได้ให้พวกมันกับจุงโฮไป.

ผมวางแผนที่จะเอามันกลับมาเมื่อผมต้องเผชิญหน้ากับโจ๊กเกอร์และพวกฝ่ายหัวรุนแรงอีกครั้ง.

จุงโฮก็รู้มันเช่นกัน.

ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมาก.

“ผมต้องการดาบพวกนั้นอีกครั้ง.”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset