ตอนที่ 103 ฟื้นคืนอีกครั้ง
เมื่อเซียวเฉินเห็นถึงพลังของเปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริง,เขาก็เผยสีหน้าตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าหลังจากสร้างต้นกำเนิดเปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริงได้,มันจะทรงพลังถึงเพียงนี้
เซียวเฉินหยิบเสาไม้ออกมาและยืนตัวตรงกับพื้น เขาถือกระบี่เงาจันทร์ไว้ในมือและเร่งพลังสมาธิของเขาจนถึงขีดสุดเขาเข้าสู่สภาวะว่างเปล่า
“วาดกระบี่ฟัน!”
“ซัวะ!ซัวะ!ซัวะ!”
เซียวเฉินฟันออกไปต่อเนื่องเก้าครั้งสับเสาไม้ออกเป็นสิบส่วน เสาไม้ที่มีน้ำหนักเบาอย่างไม่น่าเชื่อนี้,ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย
เซียวเฉินเก็บกระบี่เข้าฝักและยืนขึ้น,เขายิ้มกว้างออกมา เขาอยู่ไม่ไกลจากการบรรลุวาดกระบี่ฟันที่สมบูรณ์แบบ
เซียวเฉินหยิบบุปผาเจ็ดสีออกมาจากแหวนห้วงอวกาศ เซียวเฉินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาตรงไปที่แท่นหินแบนอีกครั้งและนั่งลงขัดสมาธิ
เขาดึงกลีบดอกไม้สีแดงแล้ววางมันลงในปากของเขา กลีบดอกไม้ละลายในทันทีที่สัมผัสกับปากของเขา ทันใดนั้นมันก็ซึบซับเข้าเลือดเนื้อและผิวหนังของเขา,สร้างความเจ็บปวดที่ไม่อาจจะทนได้
ไม่มีจุดใดบนร่างกายของเซียวเฉินที่ไม่รู้สึกเจ็บปวด,มันเหมือนกับเข็มกำลังทิ่มแทงเขา เซียวเฉินกัดฟันอดทน ดอกไม้เจ็ดสีกำลังชำระล้างไขกระดูกของเขา,ดังนั้นนี้เป็นความเจ็บปวดที่ต้องรับไว้
เซียวเฉินรู้สึกราวกับผิวหนังของเขากำลังหลุดร่อน เมื่อสายลมพัดผ่านมาเขาจะรู้สึกได้เพียงความเจ็บปวด เซียวเฉินไม่กล้าที่จะเปิดปาก,เขาเกรงว่าหากเขาอ้าปากเขาจะเผลอกัดลิ้นตัวเองแบบไม่ตั้งใจ
เพียงเสี้ยววินาที,ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ,ราวกับเพิ่งกลับมาจากการอาบน้ำ ความเจ็บปวดที่ไม่อาจทานทนดำเนินต่อไปกว่าสองชั่วโมง
ในทันทีที่ความเจ็บปวดจางหายไป,เซียวเฉินรู้สึกได้ว่ารูขุมขนทั้งหมดของเขาเปิดกว้าง ผิวสีดำของเขากลับกลายมาเป็นสีขาวหิมะ
เซียวเฉินรู้สึกถึงความแข็งแกร่งในร่างของเขาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เขารู้สึกยินดี เขาไม่ลังเลที่จะหยิบกลีบสีขาวมาเข้าปาก
ในที่สุด,เซียวเฉินก็กลืนลงไปครบทั้งหมดเจ็ดสี ทุกกลีบก่อให้เกิดความทรมานอย่างสาหัส ทุกครั้งที่กลืนกลีบดอกไม้เข้าไป,ความเจ็บปวดจะเพิ่มขึ้นมาอีกสองเท่า
เซียวเฉินเกือบจะหมดสติจากความเจ็บปวดที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ในตอนที่กลืนกลีบที่เจ็กเข้าไป หากไม่ใช่เพราะจิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งกว่าทั่วไป,เซียวเฉินคงจะหมดวติไปนานแล้ว,ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
“ปัง!ปัง!ปัง!”
เซียวเฉินยืนขึ้นบนแผ่นหิน,กระดูกในร่างของเขาส่งเสียงแตกลั่น หลังจากที่ผ่านการชำระล้างไขกระดูกทั้งเจ็ดครั้ง,กระดูกก็เริ่มสร้างขึ้นมาใหญ่
หลังจากการเปลี่ยนแปลงเสร็จสิ้น,เซียวเฉินพบว่าตัวของเขาสูงขึ้น แต่เดิมเขาสูงเพียง 1.7 เมตร แต่ในตอนนี้เขาสูง 1.8 เมตร เพิ่มขึ้นมาถึง 10 เซน
ใบหน้าของเขาที่ราวกับรูปแกะสลักกลายเป็นหล่อเหลายิ่งกว่าเดิม กระแสพลังแข็งแกร่งถูกปิดซ่อนเอาไว้,ราวกับดาบล้ำค่าที่เก็บไว้ในฝัก
แสงแวววาวสดใสวูบผ่านดวงตาของเซียวเฉิน กระแสพลังของเขากลายเป็นแหลมคม,ราวกับดาบที่ถูกดึงออกมาจากฝัก,แสงสว่างเย็นยะเยือกถูกส่งออกไปทั่วทิศทาง
ร่างกายของเขาผ่านการเสริมสร้างจากอัสนีสวรรค์และ,ในตอนนี้,ไขกระดูกของเขาถูกชำระล้างด้วยบุปผาเจ็ดสี ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ
เซียวเฉินกระโดดลงมาจากแท่นหินและปล่อยฝ่ามืออย่างรุนแรงไปที่ก่อนหินที่อยุ่ด้านข้าง เขาไม่ใช้พลังปราณแม้แต่น้อยและอาศัยความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาเท่านั้น
“ปัง!”
รอยแตกนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นบนก้อนหินใหญ่ รอยแตกรูดยาวออกไปไม่หยุดและก้อนหินใหญ่ก็แตกสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยลอยไปในอากาศ
เซียวเฉินมองดูเศษหินที่ร่วงลงสู่พื้น เขาถอนหายใจในใจ ในตอนที่เซียวเฉินมายังโลกนี้ครั้งแรก,เขาไม่อาจหลอมรวมจิตวิญญาณต่อสู้ของเขาได้
ในเวลานั้น,ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือฝึกฝนจนร่างกายของเขาแข็งแกร่งอย่างที่สุด เพราะยังมีคนบางคนในโลกนี้,ผู้ที่ไม่อาจหลอมรวมจิตวิญญาณต่อสู้ของพวกเขาได้ แต่ยังสามารถฝากชื่อเสียงของพวกเขาไว้ได้ด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียว
เขาไม่คาดคิดว่าจะสามารถบรรลุความสำเร็จเล็กๆในการฝึกฝนร่างกาย,แม้ว่าจะอยู่บนเส้นทางที่แตกต่างออกไป
ดวงอาทิตย์ลอยสูงบนท้องฟ้า,สาดแสงลงมาทั่วผืนดิน ผิวของแม่น้ำจวงส่องแสงระยิบ,สะท้อนภาพของดวงอาทิตย์
เซียวเฉินเอนกายลงบนก้อนหินก่อนที่จะหยิบแผนที่เจ้าปัญหาที่ทำให้เขาถูกไล่ล่าออกมาจากแหวนห้วงจักรวาล เขาตรวจสอบแผนที่หลายต่อหลายครั้งก่อนหน้านี้แต่ก็ยังไม่พบอะไร
ตำแหน่งของซากโบราณบนแผนที่น่าจะตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งในพื้นที่ด้านในของป่าอำมหิต ช่างน่าเสียดาย,เซียวเฉินไม่เคยก้าวเท้าเข้าไปในพื้นที่ส่วนในของป่าอำมหิตมาก่อน
เขาไม่อาจบอกได้ว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นไปตามในแผนที่หรือไม่ แผนที่นี้ต้องคุ้นเคยกับพื้นที่ด้านในของป่าอำมหิตถึงจะเข้าใจได้
ซากของคนจากยุคโบราณจะต้องเต็มไปด้วยสมบัติ,อาวุธวิญญาณ,เกราะศึก,ทักษะต่อสู้โบราณ,และสมบัติลับมากมาย… สิ่งเหล่านี้ล่อตาล่อใจเซียวเฉินเป็นอย่างมาก
ยุคโบราณมีอายุมากกว่าหนึ่งหมื่นปีก่อนที่จะก่อตั้งราชวงศ์เทียนวู่ นี่เป็นช่วงรุ่งโรจน์ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถนนหนทางทั่วอาณาจักรเต็มไปด้วยเซียน,พวกเขาสามารถผ่าภูเขาผลักแม่น้ำได้
ยังมีตำนานที่กล่าวกันอีกว่าเทพเจ้าแห่งการต่อสู้ก็เกิดขึ้นในยุคนั้น ว่ากันว่าพวกเขาสามารถหยิบจับดวงดาวได้ตามใจและพ่นมันออกมาจากปาก ช่างน่าเสียดาย,ความรุ่งโรจน์นั้นถูกฝังกลบเลือนหายไปตามกาลเวลา แทบไม่มีการสืบทอดของคนโบราณต่อมาเลย
ระหว่างราชวงศ์เทียนวู่และบุคโบราณมีช่องว่างขนาดใหญ่ ไม่มีใครรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงระยะเวลานั้น คนโบราณดูราวกับถูกลบหายออกไปปราศจากร่องรอย
ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าคนโบราณถูกฆ่าล้างโดยเหล่าปีศาจที่ออกมาจากโลกปีศาจ ไม่ว่าเป็นเช่นไร,แต่นั้นก็เป็นเหตุที่ราชวงศ์เที่ยนวู่ต้องถูกทำลาย
อย่างไรก็ตามนอกเนื่องจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม,ก็ไม่มีใครที่รู้ความจริงอีกเลย สามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยเปิดเผยเกี่ยวกับยุคโบราณ
เซียวเฉินมีความสนใจในยุคโบราณมาก เขามีความสงสัยว่าจิตวิญญาณต่อสู้มังกรฟ้าของเขาก็เกิดขึ้นในยุคนั้นเช่นกัน
น่าเสียดาย,เขาไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ด้านในของป่าอำมหิต,แผนที่ที่อยู่ในมือของเขาจึงไร้ค่า
ข้าต้องหาคนมาร่วมงานด้วย,เซียวเฉินคิดในใจ เมื่อเซียวเฉินคิดได้เช่นนั้น,ก็มีบางคนผุดขึ้นมาในความคิดของเขาทันที
“อืม,คงต้องเป็นเขา” เซียวเฉินพูดขึ้นพร้อมปรากฎรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า
หลังจากที่เซียวเฉินกล่าวเช่นนั้น,เขาก็ส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในหยกวิญญาณสีเลือด เขามองเห็นเสี่ยวไป๋ที่หมดสติอยู่และรอยยิ้มของเขาก็จางหายไป เจตนาฆ่าฟันวูบผ่านดวงตาของเขาพร้อมกับพึมพำขึ้น “ได้เวลาไปแล้ว บังเอิญจริง,ข้าจะได้ไปจัดการธุระอีกสองเรื่องพอดี”
….
เซียวเฉินออกจาค่ายกลลวงตาและมุ่งหน้าไปยังพื้นที่รอบนอกของป่าอำมหิต ไม่นาน,เขาก็พบกลุ่มนักบ่มเพาะพลังที่กำลังฝึกฝนอยู่ในป่าอำมหิต
รูปร่างของเซียวเฉินในตอนนี้เปลี่ยนไปมากจากแต่ก่อน ความอ่อนเยาว์อารมณ์ร้อนจางหายไป,กลายเป็นแลดูมั่นคงขึ้นแทน
กลุ่มนักบ่มเพาะพลังไม่ได้สนใจมากนักในตอนที่เซียวเฉินเดินผ่านไป อย่างไรก็ตาม,หลังจากเดินผ่านไปได้ระยะหนึ่ง,ผู้บ่มเพาะพลังคนหนึ่งก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้และหยิบรูปภาพเหมือนขึ้นมาดู
“ดูนั้น!คนคนนั้นเหมือนกับคนที่ตระกูลเจียงต้องการตัว?” ผู้บ่มเพาะพลังถามขึ้นขณะถือรูปไว้ในมือ
เมื่อคนที่อยู่ด้านข้างมองอย่างละเอียด,พวกเขาก็พูดขึ้น “ไม่น่าใช่,คนของตระกูลเจียงพูดว่าเขาเป็นเด็กอายุประมาณ 16-17 ปีเท่านั้น คนที่เพิ่งเดินผ่านไปนั้นดูไม่ใช่เด็กแล้ว”
คนอื่นๆก็พูดขึ้น “เห็นชัดว่าไม่ใช่เขา คนที่เพิ่งเดินผ่านไปอยู่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นสูง แต่คนของตระกูลเจียงบอกว่าคนที่อยู่ในรูปภาพอยู่เพียงระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยกระดับพลังขึ้นมาถึงเพียงนี้ภายในเวลาไม่กี่วัน”
“ถึงอย่างนั้น,ข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างคล้ายกัน,ข้าก็อธิบายไม่ถูกแต่รู้สึกเช่นนั้น” อีกคนที่อยู่ด้านข้างพูดแสดงความคิดเห็นออกมา
ผู้นำของคนกลุ่มนี้คือชายที่มีแผลเป็นน่ากลัวบนใบหน้า เมื่อเขามองไปที่หลังของเซียวเฉิน,เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา หลังจากนั้นครู่นึงเขาก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงมืดมัว “มันเป็นคนที่อยู่ในภาพเหมือน แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนเสื้อผ้า,แต่เขาไม่ได้เปลี่ยนรองเท้า”
พวกคนที่เหมือนหันมามองอย่างรวดเร็ว จริงตามนั้น,รองเท้าของคนที่อยู่ในภาพเหมือนเป็นอันเดียวกับของคนที่เพิ่งเดินผ่านไป เมื่อคนพวกนี้ค้นพบเบาะแสนี้,ยิ่งพวกเขามองเท่าไหรก็ยิ่งคล้ายกันมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้พวกเขาแน่ใจแล้วว่าเป็นคนคนเดียวกัน
“หัวหน้า,จัดเลยไหม? ตระกูลเจียงตั้งรางวัลให้ถึงหนึ่งพันเหรียญทอง นั้นเท่ากับรายได้ของพวกเราทั้งกลุ่มในหนึ่งปี”
“ใช่แล้ว,เขาเป็นเพียงแค่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธ พวกเราทั้งหมดต่างก็อยู่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธทั้งนั้น นอกจากนั้น,หัวหน้ายังอยู่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นสูงสุด ไม่มีอะไรต้องไปกลัว”
ชายที่มีแผลเป็นยิ้มขึ้นอย่างชั่วร้าย “เจ้าคิดว่าข้าโง่? ข้าส่งน้องเก้าติดตามเขาไปแล้ว เขาจะทิ้งร่องรอยเอาไว้,รอเพียงให้พวกเราตามไปลงมือ”
“หัวหน้าสมกับเป็นหัวหน้า,ท่านช่างมองการณ์ไกลกว่าพวกเรา” ทั้งหลุ่มเยินยอเขาทันที
ดวงตาชั่วร้ายปรากฎขึ้นบนใบหน้าของชายที่มีแผลเป็นพร้อมกับพูดขึ้น “หยุดพูดไร้สาระแล้วก็ตามข้ามา”
ก่อนที่ทั้งหลุ่มจะออกเดินไปได้ไกลเขาก็พบกับร่องรอยที่น้องเก้าทิ้งเอาไว้ พวกเขาทั้งหมดเป็นสุขและเริ่มเร่งฝืเท้าขึ้น ความละโมบวูบผ่านดวงตาของพวกเขาเมื่อนึกถึงเงินหนึ่งพันเหรียญทองที่พวกเขากำลังจะได้รับ
“ร่องรอยของน้องเก้าหายไปไหน?ทำไมถึงไม่มีต่อแล้ว?” ทั้งกลุ่มพบว่าร่องรอยที่นำทางพวกเขามาจู่ๆก็หายไปหลังจากที่พวกเขาเดินทางออกมาได้ระยะหนึ่ง
ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้ามองเห็นกองขี้เถ้าตรงหน้าของเขา เขาก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี “น้องเก้าหายไปไหน? แม้ว่าเขาจะถูกฆ่าก็น่าจะเหลือศพไว้ให้เห็น”
“ข้าเห็นแล้ว! เซียวเฉินอยู่ที่นี่!” ทันใดนั้น,บางคนในกลุ่มก็ตะโกนขึ้น
ทั้งกลุ่มมองไปที่จุดที่เขาชี้ พวกเขาเห็นเซียวเฉินที่อยู่ตรงหลังต้นไม้ในทันที เมื่อชายที่มีแผลเป็นได้ยินเช่นนั้นก็วางความสงสัยในใจทิ้งไว้ก่อนและมองไปในทิศทางนั้นเช่นกัน
เขาเห็นเซียวเฉินที่ยืนอยู่หลังต้นไม้ปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ,ราวกับว่าเขากำลังรอให้กลุ่มคนมาถึง ใบหน้าของเขาไม่แสดงความตกใจและนัยตาของเขาจ้องตรงมา,ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
ทันใดนั้น,ชายที่มีแผลเป็นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาอยากจะตะโกนเพื่อหยุดไว้ แต่คนทั้งกลุ่มถูกชักนำไปด้วยความละโมบและดึงดาบของพวกเขาออกมาพุ่งเข้าใส่เซียวเฉินเรียบร้อยแล้ว
ทันใดนั้นเซียวเฉินก็ลืมตาขวาของเขาขึ้นมาและกระแสพลังของเขาก็เปลี่ยนไป เสื้อผ้าและเส้นผมสีดำของเขาสั่นไหว เขาไม่ต่างจากดาบในฝักที่ถูกชักออกมา,แสดงให้เห็นถึงแสงเฉียบคมเย็นยะเยือก
ดูเหมือนมีเปลวเพลิงอันไร้ขอบเขตกำลังลุกไหม้ในดวงตาของเขา จากนั้นมันก็รวมตัวก่อเป็นเปลวเพลิงสีม่วงรูปสี่เหลี่ยม เปลวเพลิงสีม่วงนี้เชื่อมต่อกับสัมผัสวิญญาณของเซียวเฉิน เขาแอบฝังเมล็ดเปลวเพลิงลงในร่างของคนพวกนี้ไว้แล้ว
ทันใดนั้น,เซียวเฉินลืมตาขึ้นและก่อเกิดแสงสีม่วงขึ้นมา,เมล็ดเปลวเพลิงที่ฝังไว้ในร่างของคนพวกนี้ถูกจุดขึ้น พวกเขาดิ้นพล่านท่ามกลางเปลวเพลิงสีม่วงและกลายเป็นเถ้าถ่านก่อนที่จะได้ส่งเสียงร้องออกมาเสียอีก
ชายที่มีแผลเป็นรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติและถอยกลับไปเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม,มือขวาของเขาก็ยังติดไฟลุกไหม้ เขาตัดสินใจชักดาบออกมาและตัดแขนซ้ายของเขาทิ้ง
เมื่อเห็นขี้เถ้าหลายกองบนพื้น,ปากของเขาก็เปิดค้างไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กลุ่มคนที่มีชีวิตถูกเปลี่ยนให้เป็นกองเถ้าถ่านโดยไม่มีอะไรบอกกล่าว
หรือเขาจะเป็นจอมมาร?
ในที่สุดชายที่มีแผลเป็นก็รู้ว่าขี้เถ้าที่เขาเห็นก่อนหน้านั้นแท้จริงคืออะไร อย่างไรก็ตาม,ตอนนี้มันสายไปแล้ว
เซียวเฉินถือกระบี่เงาจันทร์ไว้ในมือและเดินตรงเข้ามาหาเขาช้าๆ ทั่วทั้งป่าเงียบสงักในตอนนี้,มีเพียงเสียงเท้าของเซียวเฉินที่ดังขึ้นมาให้ได้ยิน,รวมถึงเสียงหัวใจเต้นรัวของชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้า