ตอนที่ 121 แม่นาปีศาจ,พลังฉีปีศาจไหลหลาก
“ฮ่ะ!”
ควันสีดําทันใดนั้นก็ลอยขึ้นและทะลุเข้าไปในร่างของระดับขอบเขตปรมจารย์ผู้หนึ่งของตระกูลเจียง ระดับขอบเขตปรมจารย์คนนั้นไม่ทันได้ตั้งรับและปล่อยให้ควันสีดําเข้าไปในร่าง!
“อ้า!”
ระดับขอบเขตปรมจารย์คนนั้นร้องออกมาอย่างน่าสังเวชผิวของเขากลายเป็นสีดําขณะที่ร่างของเขาลงไปนอนชักดิ้นอยู่บนพื้น,ตาของเขาเหลือกขึ้นราวกับปีศาจ
“ปัง!” เจียงหมิงรุ่นตัดสินใจชักกระบี่ของเขาออกมาฟันร่างระดับขอบเขตปรมจารย์คนนั้นขาดเป็นสองท่อนร่างทั้งสองซีกดิ้นไปมาพยายามกลับมารวมกันอีกครั้ง ตวนมู่ฉิงส่งเสาน้ําแข็งไปที่มันก่อนที่มันจะหยุดนิ่งลง
“นี้มันพลังฉีปีศาจหมอกควันที่ลอยอยู่เหนือแม่น้ำทั้งหมดนั้นคือพลังฉีปีศาจ นี่คือแม่นปีศาจที่แท้จริง” เจียงหมิงรุ่นมองไปยังแม่น้ําและกล่าวขึ้นอย่างหวาดกลัว, “หลังจากที่มีชีวิตอยู่มาแสนนาน,ข้ายังไม่เคยเห็นพลังฉีปีศาจมากมายเช่นนี้มาก่อน”
พลังฉีปีศาจ? เหล่าผู้บ่มเพาะพลังจากตระกูลชั้นสูงต่างพากันสุดหายใจเข้าลึก, พวกเขาทั้งหมดต่างตกตะลึงพวกเขาส่วนใหญ่เคยเข้ารับการทดสอบในพื้นที่อสูรปีศาจมาก่อนพวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับพลังฉีปีศา จมาบ้างแต่พวกเขาไม่เคยเข้าไปสํารวจส่วนกลางของนที่ทดสอบมาก่อน ดังนั้น, พวกเขาไม่เคยเห็นพลังฉีปีศาจกับตาของตัวเองมาก่อน
หากหมอกควันสีดําทั้งหมดนี้คือพลังฉีปีศาจ,ที่ไหลไปยังที่ใดก็ไม่อาจทราบเมื่อมันไหลไปรวมกันขึ้นมามันจะน่ากลัวเป็นอย่างมากแม้แต่สถานที่ต้องห้ามทั้งเจ็ดของทวีปเทียนบู่ก็ไม่อาจเทียบกับมันได้
ขุนนางกุยยี่พึมพํากับตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะพูดขึ้น “เรื่องมันเริ่มจะซับซ้อนกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ มีพลังฉีปีศาจมากมายเช่นนี้ มันจะต้องมีรอยแยกที่นําไปสู่โลกปีศาจที่ยังไม่ ถูกปิดผนึกพวกเราควรรายงานไปยังสามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มิฉะนั้น,มันอาจจะกลายเป็นหายนะอันใหญ่หลวง
ฮวาหยุ่นเฟยสายหัว, “ข้าคิดว่าไม่จําเป็น ที่นี่เป็นที่พํานักสุดท้ายของมหาปราชญ์โบราณ มันจะไปมีรอยแยกขนาดใหญ่ได้เยี่ยงไร? แม่น้ําสายนี้มีมาตั้งแต่ยุคโบราณ และข้าคิดว่ารอยแยกมันไม่ได้มีขนาดใหญ่โตอะไรเพียงแต่มันผ่านมาเป็นเวลาจนเกิดการสะสมกลายเป็นจํานวนมาก”
จีชางคงพูดด้วยท่าทางผิดปกติ “ข้าเห็นด้วยกับฮวาหยุ่นเฟยหากมันเป็นช่องรอยแยกขนาดใหญ่,สามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้องตรวจพบมันไปนานแล้ว มีข่าวลือว่าแต่ละดิน แดนศักดิ์สิทธิ์จะมีสมบัติกระจกเอาไว้สังเกตการณ์ช่องรอยแยกตอนนี้,พวกเขาก็ยังไม่ตรวจพบที่นี่”
เพียงชั่วครู่,ทุกคนก็เริ่มถกเถียงกันว่าแม่น้ําปิศาจสายนี้เป็นผลมาจากช่องรอยแยกขนาดใหญ่หรือไม่ผู้บ่มเพาะพลังสูงอายุจะเอนเอียงไปทางความคิดเห็นของขุนนางกุยยี่, พวกผู้บ่มเพาะพลังที่อายุอ่อนกว่าเห็นชัดว่ายินดีจะเข้าไปเสี่ยงดูและไม่อยากกลับออกไปโดยง่าย
“ซี!ชี!ชี!ชี!”
ขณะที่ทุกคนต่างถกเกถียงกัน,ที่พื้นผิวของน้ำสีดําสาดกระเซ็นขึ้นมา ค้างคาวที่ห่อหุ้มไปด้วยหมอกควันสีดํากระโดดขึ้นมาจากแม่น้ําและลอยตรงมาที่ฝูงชน
“ระดับขอบเขตปรมจารย์ทุกคนถอยหลังไปพลังฉีปีศาจบนตัวอสูรปีศาจพวกนี้มันหนาแน่นเกินไป” จีชางคงคิ้วขมวดพร้อมกับตะโกนออกมา
“ฟุว!”
ระดับขอบเขตปรมจารย์คนหนึ่งถอยกลับช้าเกินไปและถูกอสูรปีศาจค้าวคาวกัดเข้า เขาถูกครอบงําในพื้นที่และส่งกระแสพลังสีดําออกมาเขาหันไปหาคนที่อยู่ด้านข้าง,พยายามไล่สังหารพวกเขา
ขุนนางกุยยี่ยกหอกยาวของเขาขึ้นและแทงทะลุร่างของระดับขอบเขตปรมจารย์ที่ถูกครอบงําและระเบิดร่างของเขากลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“พวกเจ้าจดจ่อไปที่การสังหารอสูรปีศาจ
ข้าจะจัดการผู้ที่ถูกครอบงําลงมือให้เร็วหากยิ่งพวกเขาถูกครอบงําเป็นระยะเวลานาน, พวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างน่ากลัว”
“ดวงดาวดาบร่ายรํากระบวณท่าที่หนึ่งเรียกขานดาราแสง” สายธารดวงดาวปรากฏขึ้นเบื้องหลังของจีชางคงมีจุดแสงดาวกําลังปรากฏขึ้นบนดาบของเขาเมื่อเหล่าค้าง คาวเข้ามาสัมผัสกับจุดพวกนั้น,พวกมันต่างร่างระเบิดกลายเป็นชิ้นในทันที
เหล่าผู้คนจากตระกูลชั้นสูงต่างเริ่มถูกครอบงําอย่างเนื่อง เมื่อมันเกิดขึ้น,ขุนนางกุยยี่และผู้ใต้บังคับบัญชาจะเข้ามาสั งหารพวกเขาทิ้งในทันทีไม่มีใครแสดงความเมตตาหลังจากนั้นเป็นเวลานาน,ซากศพอสูรปีศาจนับไม่ถ้วนกองสุมอยู่บน
ทันใดนั้นการต่อสู้ก็จบลงในเวลาไม่นานนักอย่างไรก็ตาม, ทุกคนต่างตกใจแทบกลายเป็นบ้า,ราวกับผ่านมหาสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ทันใดนั้น,ตวนมู่ฉิงก็พูดขึ้น “แม้ว่าพลังฉีปีศาจบนตัวของอสูรปีศาจจะหนาแน่น,มันก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากนักข้าเชื่อว่าดูเหมือนช่องรอยแยกมันไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก”
แน่นอน,หากมีช่องรอยแยกขนาดใหญ่ พวกอสูรปีศาจที่พวกเขาพบ,ถ้าดูจากปริมาณพลังฉีปีศาจที่พวกเขาเจอ, อย่างน้อยมันควรจะเป็นอสูปีศาจระดับ 6 พวกมันจะต้องไม่อ่อนแอเหมือนกับค้างคาวพวกนี้
ทุกคนต่างเห็นด้วยกับความคิดของตวนมู่ฉิง หลังจากที่พวกเขานับจํานวนคนที่ตาย,พวกเขาก็เดินทางต่อไปช่างน่าประหลาด,ไม่มีอสูรปีศาจออกมาอีก
หลังจากเดินตามแม่น้ำสีดํามานานกว่าสี่ชั่วโมงก็ถูกขวางไว้ด้วยตีนภูเขา แม่น้ําไหลผ่านลอดใต้ภูเขาไปไหลไปยังสถานที่ที่ไม่อาจรู้
“ดูนั้น,มองไปที่อีกฟากหนึ่ง,มันดูเหมือนจะมีแท่นหินตั้งอยู่” นักบ่มเพาะพลังผู้หนึ่งพูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปอีกด้านหนึ่งขณะที่ทุกคนกําลังท้อแท้ที่ไม่สามารถหาทางไปต่อได้
จีชางคงมองไปยังจุดที่เขาชี้มันมีแท่นหินอยู่จริงๆ แท่นหินนี้ดูไม่สูงมากมีทางขึ้นไปรอบด้านของแท่นหิน ที่ยอดของแท่นหิน,มีบางอย่างกําลังส่องแสงเรืองอ่อนๆออกมา
“โลงศพของมหาปราชญ์จะต้องตั้งอยู่ตรงนั้น ข้ารู้สึกได้ถึงพลังฉีอันเที่ยงธรรมของมหาปราชญ์” ฮวาหยุ่นเฟยอุทานอย่างดีอกดีใจ
ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงวิธีที่จะข้ามแม่น้ำไป แม้กว้างเพียงสิบเมตร แต่ก็ไม่ใช่ระยะทางที่ทุกคนจะกระโดดข้ามไปโดยง่าย นอกจากนั้น,แม้แต่ระดับขอบเขตนักบุญก็ไม่กล้าไปแตะต้องพลังฉีปีศาจที่อยู่บนผิวน้ำ
ในที่สุด,หกระดับขอบเขตนักบุญของตระกูลฮวาก็รวมกันและส่งสายธารศักดิ์สิทธิ์ไปที่แม่น้ําปิศาจ มันชําระล้างพื้น ผิวของแม่น้ำในจังหวะนั้น,ระดับขอบเขตนักบุญของตระกูลตวนมู่ลงมือแช่แข็งแม่น้ําเกิดเป็นทางเดินอย่างรวดเร็ว
ทุกคนเดินไปบนน้ำแข็งและพุ่งตรงไปที่ฝั่งตรงข้ามมุ่งตรง ไปที่แท่นหิน มองไปที่แท่นหินดูเหมือนจะดูไม่ไกลนัก ทั้งกลุ่มก็เดินกว่าหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะมาถึงฐานของแท่นหิน
เมื่อพวกเขามาถึงแท่นหินที่พวกเขาเห็นว่ามันไม่ได้สูงมากนัก,พวกเขาพบว่ามันไม่ใช่ แท่นหินนี้สูงมากกว่าหนึ่งพันเมตร พวกเขามองขึ้นไปไม่เห็นยอดของแท่นหินมันราวกับว่าเป็นเส้นทางที่ขึ้นไปสู่สวรรค์
“ใช่,มันจะต้องเป็นที่นี้ นี่เป็นดินแดนเล็กๆที่มหาปราชญ์สร้างขึ้น” ชายชราพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นพร้อมกับจ้องมองไปที่แท่นหินที่ดูราวกับขยายยาวขึ้นไปถึงฟ้า
เมื่อผู้คนได้ยินดังนั้น,พวกเขาต่างตกตะลึงในใจ พวกเขามองไปที่แท่นหินสูงนับพันเมตรและทันใดนั้นก็เข้าใจ หากมันไม่ใช่เพียงดินแดนเล็กๆ,แท่นหินนี้คงต้องสูงทะลุภูเขา
ขึ้นไปอีก
ฮวาหยุ่นเฟยเผยสีหน้าอารมณ์ดีและถามขึ้น “จะมัวรีรออะไร? ไปกัน!” หลังจากที่เขาพูดจบเขาก็เดินนาและตรงไปที่แท่นหินที่ราวกับจะนาพาขึ้นไปถึงสวรรค์
“ปุ! ปุ! ปุ!”
เหล่าสานุศิษย์จากตระกูลชั้นสูงทั้งหลายไม่รีรอให้ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง พวกเขาเดินตามไปอย่างรวดเร็วและเมื่อพวกเขา เดินขึ้นไปได้สิบก้าว,พวกเขาต่างรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ พวกเขารู้สึกว่าแต่ละก้าวของพวกเขามันหนักขึ้นเรื่อยๆ ทุกฝีเท้าก้าวขึ้นไปอย่างยากลําบาก
จีชางคงหยุดลงและหลับตาสัมผัสถึงทุกสิ่งอย่างละเอียด เมื่อเขายกเท้าขึ้นไม่มีอะไรมากรีกขวาง,แต่เมื่อเขาวางเท้าลงบนแท่นหิน,เขารู้สึกได้ทันทีว่าพลังงานในร่างของเขาจางหายไป
หลังจากนั้นครูใหญ่, จีชางคงลืมตาและพูดขึ้น “มีบางอย่างผิดปกติที่นี่,ทุกก้าวที่เราย่างไปจะเผาผลาญพลังปราณ ในตอนแรก,พวกเราแทบจะไม่รู้สึกอะไร แต่หลังจากนั้นมันจะเห็นได้ชัดขึ้น
เมื่อทุกคนได้ยินคําข้างเขา,พวกเขาหยุดฝีเท้าลง หลังจากที่สัมผัสถึงมันอย่างละเอียด,พวกเขาทั้งหมดต่างมีสีหน้าตกตะลึง พวกเขามองไปยังหนทางที่ทอดยาวไม่จบสิ้น อีกยาวไกลกว่าพวกเขาจะขึ้นไปถึงยอด
ฮวาหยุ่นเฟยพูดขึ้น “นี่เป็นอุปสรรคด่านสุดท้ายแล้ว,พวกเราจะยอมแพ้เช่นนี้ไม่ได้อย่างเลวร้ายที่สุด, พวกเราก็แค่เดินกลับออกไปหลังจากหมดสิ้นพลังปราณ”
จีชางคงเผยรอยยิ้มขมๆ “นั้นแหละคือปัญหา…ลองเดินกลับหลังมาเพียงแค่ก้าวเดียว”
เมื่อระดับขอบเขตปรมจารย์คนหนึ่งได้ยินเช่นนั้นเขาก็ลองก้าวถอยหลังมา ในจังหวะที่เท้าเขาแตะพื้น,เขารู้สึกได้ถึงพลังปราณจํานวนมหาศาลของเขาถูกสูบกลืนเขาตื่นตระหนกและอยากจะเผ่นออกไปจากที่นี้ในทันที เขาสูดหายใจเข้าลึกและกระโดดลงมา
เป็นฉากสยดสยองต่อหน้าของทุกคนที่อยู่ที่นี่, พวกเขาเห็นร่างของผู้บ่มเพาะพลังคนนั้นซูบลีบลงอย่างช้าๆ ในที่สุดเมื่อเขาลงถึงพื้นเขากลายเป็นโครงกระดูกสีขาวเนื้อหนังทั้งหมดหายไป
“เกิดอะไรขึ้น? ทําไมอํานาจสูบกลืนพลังชีวิตช่างมหาศาล? หรือนี่มันจะเป็นแท่นหินปีศาจ?” ระดับขอบเขตปรมจารย์ตระกูลเจียงคนหนึ่งถามออกมาขณะที่ทั่วทั้งร่างของเขาสันเพิ่มด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
ใบหน้าของเหล่าสานุศิษย์ตระกูลชั้นสูงต่างซีดขาว พอคิดว่าแท่นหินตรงนี้มันช่างน่ากลัวหรือนี่จะเป็นหนทางสู่สวรรค์ในตํานาน? ก็ไม่ผิดนัก,ก้าวขึ้นสวรรค์ไปอย่างง่ายดายแต่กลับลงมาช่างยาเย็น
จีชางคงคิ้วขมวด “ระดับขอบเขตปรมจารย์คนใดที่ไม่มีจิตวิญญาณตยุทธที่สืบทอดให้กลับลงไป ห้ามกระโดด,เจ้าจะมีวิตอยู่ได้ไม่ถึงพื้น”
ในไม่ช้า,ระดับขอบเขตปรมจารย์ทุกคนค่อยๆกลับลงไปอย่างช้าๆ แม้มันจะเป็นเพียงสิบก้าว,มันราวกับผ่านการเดิน ทางกว่าพันเมตร
“ปัง!” ระดับขอบเขตปรมจารย์ผู้หนึ่งก้าวไปถึงขั้นที่สาม นับจากด้านล่างและไม่อาจทนได้อีกต่อไป เกิดเสียงปังดังขึ้น และเขาก็กลายไปเป็นกองกระดูกสีขาว
ผู้ที่อยู่ด้านข้างต่างถูกครอบงําไปด้วยความหวดกลัว บางคนไม่อาจทนได้ก่อนที่จะกระโดดลงไปเมื่อเขาเห็นว่าเหลืออีกเพียงสองขั้น ท้ายที่สุด,พวกเขาก็ตัวระเบิดตายกลายเป็น
เมื่อระดับขอบเขตปรมจารย์ทั้งหมดก้าวมาถึงข้างล่าง,พวกเขาต่างถอนหายใจออกมาพวกเขารีบนั่งลงที่พื้นและเร่งฟื้นคืนพลังปราณของพวกเขา
นอกจากเหล่าผู้สืบทอดของตระกูลชั้นสูง,มีเพียงระดับขอบเขตนักบุญที่ยังคงยืนอยู่บนแท่นหินขุนนางกุยยีมองไปที่ยอดของแท่นหินและพึมพํา “ต้องไปอีกอย่างน้อยหนึ่งพันก้าว แม้ว่าพวกเราจะขึ้นไปถึง,พวกเราจะกลับลงมาได้เช่นไร?”
ความคิดนี้ฝังลงในใจของทุกคนราวกับหมุดยักษ์ เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่สามารถมองข้ามไปได้จนถึงตอนนี้,พวกเขายังไม่ได้ใช้พลังปราณไปมากมายอย่างไรก็ตาม,มันจะใช้พลังปราณมากกว่าเดิมเพื่อกลับลงมา เงาแห่งความตายวนเวียนอยู่ในใจของทุกคน
จีชางคงพูดขึ้นอย่างสุขุม “หนึ่งพันปีก่อน,หลังจากที่จักรพรรดิอัสนีหายตัวไปเก็ไม่มีระดับขอบเขตจักรพรรดปรากฏตัวออกมาอีก ไม่ต้องพูดถึงระดับขอบเขตมหาปราชญ์”
“ตอนนี้โอกาสที่ยิ่งใหญ่มาวางอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว แม้ว่าโอกาสรอดกลับไปจะมีไม่มากนักมันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ จักรพรรดิทุกคนในอดีตไม่ได้บรรลุความสําเร็จของพวกเขาด้วยการก้าวเดินที่เรียบง่าย”
หลังจากที่จีชางคงพูดจบ,เขาก็ขึ้นนําและมุ่งหน้าขึ้นไปคนที่เหลืออยู่ต่างเป็นผู้มีพรสวรรค์อัจฉริยะ
พวกเขาไม่ยอมถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเป็นแท่นหินให้ผู้อื่นเหยียบขึ้นไป พวกเขาไม่มีความลังเลพร้อมกับตามขึ้นไปทันที
ตลอดทาง,ทั้งกลุ่มเห็นกองกระดูกสีขาวนับไม่ถ้วนบนแท่นหิน ยิ่งพวกเขาขึ้นไปสูงเท่าไหร,พวกเขาก็พบเจอมาขึ้นเท่านั้น ทั้งกลุ่มไม่สามารถหลบเลี่ยงและทําได้เพียงเหยียบย่ำไปบนกองกระดูกเดินหน้าต่อไป
ขณะที่พวกเขามุ่งหน้าต่อไป, กองกระดูกสีม่วงเริ่มปรากฏขึ้นให้เห็นทั้งกลุ่มต่างอุทานด้วยความตกใจ “นั้นมันผู้เชี่ยวชาญระดับขอบเขตจักรพรรดิ มีผู้เชี่ยวชาญมากมายเท่าไหรมาตกตายลงที่นี้? แม้แต่ระดับขอบเขตจักรพรรดิไม่อาจหลีกหนีไปจากชะตาแห่งความตาย?”