เซี่ยวเจี้ยนทะยานขึ้นไปบนอากาศพร้อมกลับปล่อยฝ่ามือ เปลวไฟห่อหุ้มกำปั้นของเขา ปลดปล่อยความความร้อนออกมารอบๆ รังสีฆ่าฟันของเขาตรึงเซี่ยวเฉินนิ่งอยู่กับที่
เซี่ยวเจี้ยนเผยรอยยิ้มเย็นชา ด้วยความเร็วของระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นสูงของเขา ไม่มีทางที่เซี่ยวเฉินจะหลบพ้น ทักษะระดับเหลืองขั้นกลางฝ่ามือพิฆาตนี้ เขานั้นฝึกฝนมาเป็นเวลาหลายปี เขามั่นใจว่าจะจัดการเซี่ยวเฉินได้ในกระบวณท่าเดียว
สีหน้าเซี่ยวเฉินเปลี่ยนเป็นจริงจัง ดูจากความเร็วของเซี่ยวเจี้ยน เขารู้ว่าไม่อาจหลบพ้น เมื่อเขาหลบไม่พ้นก็รับมันซะเลยสิ!
พลังอัสนีม่วงศักดิ์สิทธุิ์ที่ไหลเวียนในร่างเขาอย่างบ้าคลั่ง เซี่ยวเฉินกระทืบพื้นอย่างแรงพุ่งตัวออกไป เปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริงพวยพุ่งออกมาจากมือขวาของเขา นี่เป็นผลลัพธ์จากการฝึกบ่มเพาะพลังของเขาตลอด 6 วันมานี้
เขาไม่มีทางเชื่อว่าเปลวไฟที่แท้จริงจากผู้บ่มเพาะพลังอมตะจะแพ้ให้กับไฟธรรมดาสามัญ
“ตู้ม!”
ทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ เซี่ยวเฉินถูกผลักถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนที่จะตั้งหลักได้ โลหิตและพลังฉีในตัวเขายุ่งเหยิง แต่เขาก็รีบหมุนเวียนพลังปราณของเขาเพื่อระงับความผันผวนของโลหิตและพลังฉี ดูเหมือนว่าพลังของเขายังด้อยกว่าของเซี่ยวเจี้ยน ถึงอย่างไรเซี่ยวเจี้ยนก็อยู่ระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นสูง
เซี่ยวเจี้ยนถอยไปเพียงครึ่งก้าวเพื่อตั้งหลัก เยาะเย้ยเซี่ยวเฉินในใจ ตอนที่เห็นไฟสีม่วงปรากฎขึ้นบนมือเซี่ยวเฉิน มันทำให้เขาตื่นกลัวเล็กน้อย แต่หลังจากประมือกัน ก็ตระหนักได้ว่ามันแค่ดูน่ากลัวเฉยๆ มันก็แค่เปลวไฟจากระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัด ดูเหมือนว่าเจ้านี้จะหลอมรวมจิตวิญญาณยุทธได้แล้ว เปลวไฟแปลกประหลาดนี้คงเป็นจิตวิญญาณต่อสูของมัน
อย่างไรก็ตามเมื่อเซี่ยวเจี้ยนนึกได้ เขาก็เห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ทำลายจิตวิญญาณยุทธของมัน เขาจะทำให้เซี่ยวเฉินกลายเป็นคนพิการไปตลอดกาล
อย่างไรก็ตาม ก็มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ไฟสีม่วงที่ปะทะเข้ากับฝ่ามือพิฆาตนั้น ไม่ยอมดับลง เซี่ยวเจี้ยนไม่ใส่ใจอะไรแค่สะบัดมือของเขาพยายามจะสลัดไฟนั้นออกไป
ทว่าไฟสีม่วงนั้นราวกับถูกสาดด้วยน้ำมัน พวกมันยิ่งทวีความแรง เผาผลาญพลังปราณบนฝ่ามือของเซี่ยวเจี้ยนต่อไปเรื่อยๆ เขาตื่นกลัวอย่างมากและรีบหมุนเวียนพลังปราณไปยังมือขวาของเขา เปลวไฟสีม่วงก็ยังดื้อดึง ถึงแม้มันจะถูกห่อหุ้มด้วยพลังปราณมาหาศาล มันยังคงเผาผลาญพลังปราณที่เซี่ยวเจี้ยนส่งเข้าไป
นี้มันเกิดอะไรขึ้น!
เกิดความหวาดกลัวขึ้นในจิตใจเซี่ยวเจี้ยนทันที เขาเริ่มสะบัดแขนไปมาอย่างมั่วซั่ว ไม่ว่าเขาจะสะบัดเท่าไหร เจ้าไฟนี้เหมือนกับปลิงเกาะติดตัวเขาไม่ยอมหลุดออก พลังปราณในร่างของเขายังคงไหลไปที่ฝ่ามืออย่างต่อเนื่อง หลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง เจ้าเปลวเพลิงสีม่วงนี้ในที่สุดก็ดูเหมือนจะเริ่มหมดพลังและเริ่มดับลงอย่างช้าๆ
ในที่สุดเซี่ยวเจี้ยนก็ได้พักหายใจ และทันใด้นั้นก็มีเสียงประทุขึ้นกลางอากาศ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นนั้นมันมีสายฟ้าฟาดตรงมาทางเขา
ทักษะระดับเหลืองขั้นสูง–สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้าง
“บึ้ม!”
เซี่ยวเจี้ยนร้องออกมาอย่างน่าสังเวชและร่างของเขาก็ลอยกระเด็นหลุดออกจากเวที ตัวของเขากลายเป็นสีดำชักกระตุกไปมา มีประกายไฟวิ่งไปมารอบๆร่างของเขา
เงียบกริบ
บริเวณรอบข้างกลายเป็นใบ้โดยสมบูรณ์ ในโถงฝึกที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและเสียงโหวกเหวก ตอนนี้เงียบสนิท ทุกคนในที่นี้อ้าปากค้าง
ขณะที่พวกเขายืนดูสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขารู้สึกอับอายอย่างมาก ยังมีบางคนที่ยืนอยู่ไกลออกไป เขาไม่รุ้ว่าเกิดอะไรขึ้น กำลังขบคิดว่าเซี่ยวเจี้ยนตกลงมาจากเวทีได้อย่างไร
การประลองเพิ่งจะเริ่มขึ้นและพวกเขาทั้งสองประมือกันเพียงหนึ่งกระบวณท่า ในสายตาของเหล่าคนดู การประลองนี้ไม่น่าใช้เวลานานนัก ขอบเขตพลังของพวกเขานั้นห่างกันเกินไป เซี่ยวเฉินควรจะไร้ทางสู้และถูกเป่ากระเด็นในกระบวณท่าเดียว แต่ตอนนี้สถานการณ์ตรงกันข้ามกับความคาดหมายของพวกเขา
เซี่ยวเฉินมองไปที่เซี่ยวอวีหลันทที่ยืนห่างออกไปยิ้มอย่างอ่อนโยนให้นาง เขาเดินออกจากเวทีตรงไปที่ประตูไม่แม้แต่จะชายตามองเซี่ยวเจี้ยนที่นอนกองอยู่กับพื้น เขาใช้มือของเขาและดึงความสนใจของมันไปที่เปลวเพลิงสีม่วงที่แท้จริง ถ้าเขาซัดสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้างออกไปด้วยพลังสูงสุดของมัน เขาสามารถขยี้จิตวิญญาณยุทธของเซี่ยวเจี้ยนเป็นชิ้นได้
ฝูงคนเปิดทางอัตโนมัติและมองไปที่เซี่ยวเฉินด้วยสีหน้าซับซ้อน เหล่าสานุศิษย์ตระกูลเซี่ยวที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเซี่ยวเจี้ยนไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองเซี่ยวเฉิน
บ้านตระกูลเซี่ยว
การประลองผ่านไปได้ครึ่งเดือน และในครึ่งเดือนมานี้ เซี่ยวเฉินรู้สึกได้ถึงทัศนคติของเหล่าสมาชิกตระกูลเซี่ยวที่มีต่อเขากำลังเปลี่ยนไป ความเคารพและยำเกรงได้มาแทนที่สายตาดูถูกเหยียดหยามในอดีต นี้เป็นสิ่งที่ทวีปเทียนหวู่เป็น คือโลกที่ผู้แข็งแกร่งมีอำนาจและมีเพียงผู้เเข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับความเคารพจากคนอื่น
เซี่ยวเฉินไม่สนใจทัศนคติที่เปลี่ยนไปเหล่านี้ นอกเหนือจากการพาเซี่ยวอวี่หลานเข้าไปในเมืองม่อเหอเป็นครั้งคราวในครึ่งเดือนมานี้ เขาก็ใช้เวลาที่เหลือของเขาไปกับการบ่มเพาะพลัง เหตุการณ์ในภูเขาชีเจี่ยวได้ทิ้งปริศนาไว้ในใจของเขา นั้นอาจจะมีการสมรู้ร่วมคิดระหว่างชายชุดฟ้าลึกลับกับตระกูลจางและมันอาจจะเกี่ยวข้องกับสัญญา 10 ปี ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนของโลกนี้ แต่ถ้าตระกูลเซี่ยวเสียพื้นที่ภูเขาชีเจี่ยวไป พวกเขาคงไร้ที่ยืนในเมืองม่อเหอ ด้วยความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้ ถ้าเขาไม่ได้รับการคุ้มครองจากตระกูลเซี่ยว ไม่ต้องกล่าวถึงระดับขอบเขตนักบุญ เพียงระดับขอบเขตปรมจารย์ก็ฆ่าเขาได้ง่ายดาย เซี่ยวเฉินรู้สึกได้ถึงภาพวิกฤตการณ์นั้น เขาทำได้เพียงแค่แข็งแกร่งขึ้น เพื่อที่เขาจะสามารถกำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้ในอนาคต
การบ่มเพาะพลังเปลวเพลิงสีม่วงที่แท้จริงได้ก้าวขึ้นสู่ขั้นที่ 2 ไม่ต้องพึงการหมุนเวียนพลังอัสนิม่วงศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เพียงแค่เขาต้องการเขาสามารถสร้างเปลวเพลิงได้ทันที ด้วยการควบคุมที่ยอดเยี่ยมของเขา เปลวไฟสีม่วงที่แท้จริงสามารถออกจากฝ่ามือของเขาลอยอยู่ในอากาศ ตอนที่เขาสำเร็จขอบเขตนี้ เขาก็สำเร็จข้อกำหนดพื้นฐานในการปรุงยา ดังนั้นเซี่ยวเฉินจึงตัดสินใจไปที่เมืองม่อเหอเพื่อซื้อหม้อปรุงยามาทดลองและสกัดยาสมุนไพร
เมืองม่อเหอเป็นหนึ่งในแปดเมืองหลักของมณฑลฉี่จื๊อภายในอาณาจักรต้าฉิน ถือว่าเป็นเพียงเมืองสามัญขนาดเล็ก นอกเนื่องจากเจ้าของเดิมของร่างนี้ เซี่ยวเฉินเองก็มาที่นี้มากกว่าหนึ่งครั้ง ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับถนนหนทางในไม่ช้า
เซี่ยวเฉินเดินอย่างมั่นใจไปที่ร้านช่างที่ใหญ่ที่สุด คือร้านฮั่นถี่ สาขาหลักตั้งอยู่ที่เมืองหลวงของทวีป และมีการสนับสนุนจากตระกูลทง เรียกได้ว่าเป็นสมาคมการค้าชั้นนำของอาณาจักรต้าฉิน
ภายในตกแต่งได้เป็นเอกลักษณ์และบนชั้นวางถูกเติมเต็มไปด้วยอาวุธและเกราะหลากหลายสี มีลูกค้ามากมายอยู่ที่นี่ เห็นได้ว่ากิจการของช่างเหล็กที่นี่ค่อนข้างดี เซี่ยวเฉินเดินไปที่ชั้นวางในส่วนของหม้อปรุงยาโดยเฉพาะ หลังจากตรวจดูเป็นเวลานาน ไม่มีชิ้นไหนอยู่ในความสนใจของเขาเลย เนื่องจากพวกมันทำมาจากเหล็กธรรมดาเท่านั้น
เซี่ยวเฉินส่ายหน้าและทำท่าเหมือนจะออกไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงบุรุษห้าวหาญดังมาจากข้างหลังของเขา “นายน้อยเซี่ยว ท่านมาที่นี้เพื่อซื้อหม้อปรุงยา?”