“หม้อปรุงยาระดับ 1 นั้นสร้างขึ้นมาจากวัตถุดิบทั่วไปและสามารถทนได้เพียงเปลวไฟทั่วไป เม็ดยาที่สกัดออกมานั้นจะได้ไม่เกินระดับ 2 อย่าหวังว่าจะได้เม็ดยาระดับสูง หม้อปรุงยาระดับ 2 มีส่วนผสมของศิลาแสงจันทร์เล็กน้อยเหมือนกับอาวุธวิญญาณระดับเหลืองและสามารถทนต่อเปลวไฟแห่งวิญญาณได้ แต่ก็ยังยากที่จะสกัดได้เม็ดยาระดับสูง และหม้อปรุงยาระดับ 3 นั้นพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นหม้อปรุงยาระดับสูง แต่มันก็หลอมด้วยศิลาแสงจันทร์จำนวนมากรวมถึงวัตถุดิบหายากอื่นๆ นอกจากนี้ยังสร้างจากช่างตีเหล็กฝีมือดี หม้อปรุงยาชนิดนนี้อาจมีจิตวิญญาณและมันอาจจะสามารถสกัดเม็ดยาระดับสูงออกมาได้ ตัวหม้อปรุงยาเรียบและกลมกลืน ไม่มีทางที่ตัวยาจะรั่วไหลออกมา” เฟิงเฟยเสวี่ยพูดอย่างคล่องแคล่วราวกับมันเป็นกิจวัตรประจำวัน
เซี่ยวเฉินฟังด้วยความสนใจ “แล้วระดับ 4 กับระดับ 5?”
เฟิงเฟยเสวี่ยพักครู่นึงก่อนจะพูดต่อ “หม้อปรุงยานอกเหนือจากระดับ 3 ขึ้นไปมันจะกลายเป็นสิ่งที่รู้จักกันในฐานะหม้อปรุงยาสวรรค์ หม้อปรุงยาสวรรค์นั้นหายากมาก ไม่เพียงแค่ศิลาแสงจันทร์และวัตถุดิบหายากจำนวนมากเท่านั้น ยังต้องการช่างตีเหล็กระดับศักดิ์สิทธิ์เพื่อใส่จิตวิญญาณเข้าไประหว่างการหลอม เนื่องด้วยความขาดแคลนศิลาแสงจันทร์ จึงไม่มีหม้อปรุงยาสวรรค์เกิดขึ้นมานับร้อยปีแล้ว และก็หม้อปรุงยาระดับศักสิทธิ์ซึ่งเหนือกว่าหม้อปรุงยาระดับสวรรค์ ข้าเคยอ่านจากในหนังสือเท่านั้นยังไม่เคยพบของจริงมาก่อน”
เซี่ยวเฉินครุ่นคิดถึงสิ่งที่เฟิงเฟยเสวี่ยพูดมาทั้งหมด “เช่นนั้นหม้อปรุงยามังกรฟ้านี้อยู่ระดับอะไร”
“หม้อใบนี้เป็นขั้นสูงสุดของระดับ 3 ถ้าหาฟท่านสามารถหาช่างตีระดับเหล็กศักสิทธิ์มาใส่จิตวิญญาณลงไป มันก็จะกลายเป็นหม้อปรุงยาระดับสวรรค์ทันที” เฟิงเฟยเสวี่ยพูดอย่างไม่รีบร้อนจ้องเซี่ยวเฉินตาไม่กระพริบ
หม้อปรุงยามังกรฟ้าใบนี้เป็นขั้นสูงสุดของหม้อปรุงยาระดับ 3 ดูเหมือนก่อนหน้านี้เขาจะประเมินราคาของหม้อปรุงยาใบนี้ต่ำไป ถึงแม้เขาจะเทเงินทั้งหมดออกมาก็อาจจะไม่พอจ่ายสำหรับหม้อปรุงยามังกรฟ้าใบนี้
อย่างไรก็ตามเซี่ยวเฉินก็ถามขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก “ข้าสงสัยว่าแม่นางเฟิงจะคิดเท่าไหรสำหรับหม้อปรุงยามังกรฟ้าใบนี้?”
เฟิงเฟยเสวี่ยหยิบหม้อปรุงยามังกรฟ้าขึ้นโยนไปมา สีหน้าขี้เล่นปรากฎขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม “ถ้าหากนายน้อยเซี่ยวสนใจมันจริงๆ ข้าจะมอบให้เป็นของขวัญเป็นไง?”
เป็นของขวัญ? เซี่ยวเฉินประหลาดใจ จะมีเรื่องดีๆแบบนี้เกิดขึ้นบนโลกจริงๆรึ? เซี่ยวเฉินยิ้มอย่างอึดอัดใจ “แม่นางเฟิงหยุดล้อข้าเล่นได้แล้ว แค่บอกราคามา ข้าอาจจะมีเงินไม่มากแต่ข้าเชื่อว่าอาจจะเพียงพอสำหรับหม้อใบนี้”
เฟิงเฟยเสวี่ยยิ้มขึ้น “ท่านคิดว่าจะจ่ายได้จริงหรือ? หม้อปรุงยาระดับ 1 คุณภาพสูงอาจจะต้องใช้สองสามพันเหรียญเงิน หม้อปรุงยาระดับ 2 คุณภาพสูงอาจจะต้องใช้หมื่นเหรียญเงิน และสำหรับหม้อปรุงยาระดับ 3 ชั้นดีใบนี้อย่าหวังว่าจะได้ครอบครองถ้าไม่มีเงินสักสองสามแสนเหรียญเงิน”
แพงโคตร!!
เซี่ยวเฉินหน้าบูด ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วงสำหรับตระกูลเซี่ยวแต่หนึ่งแสนเหรียญเงินก็ไม่ใช่เงินน้อยๆเช่นกัน เขาก็นึกไม่ออกว่าทำไมตระกูลเซี่ยวจำต้องจ่ายเงินจำนวนมากเช่นนี้เพื่อเขา
อันที่จริง ถ้านางอยากจะขายหม้อปรุงยาระดับ 3 ขั้นสูงใบนี้จริงๆ นางอาจได้เงินเป็นล้านๆ จากการเปิดประมูล ศิลาแสงจันทร์หายากมากในทวีปเทียนหวู่ และหม้อปรุงยาระดับสวรรค์ก็หาได้ยากในร้อยปีที่ผ่านมา หม้อปรุงยาระดับ 3 ขั้นสูงใบนี้อาจจะเป็นหม้อปรุงยาที่ดีที่สุดที่เหล่านักปรุงยาจะได้มาใช้ในชั่วชีวิตนี้
อาชีพนักปรุงยาพบได้ไม่มากนัก จัดได้ว่านักปรุงยาเป็นผลผลิตจากการทุ่มทุนทุ่มแรงของแต่ละตระกูลปลุกปั้นขึ้นมา พวกเขาไม่คิดตระหนี่เพื่อที่จะซื้อหม้อปรุงยาคุณภาพดี
แม้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้น เมื่อเซี่ยวเฉินได้ยินคำพูดแบบนั้นของเฟิงเฟยเสวี่ย เซี่ยวเฉินก็รู้สึกไม่พอใจ เซี่ยวเฉินยิ้มอย่างเย็นชา “แม่นางเฟิงดูเหมือนท่านจะคิดอยู่แล้วว่าข้าเซี่ยวเฉินไม่มีปัญญาซื้อของเช่นนี้ได้?”
เฟิงเฟยเสวี่ยยิ้มแข็ง ตระหนักได้ว่าน้ำเสียงของนางไม่เหมาะสมจึงรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “นายน้อยเซี่ยวเข้าใจข้าผิดเเล้ว ท่านสามารถซื้อหม้อปรุงนี้ได้ ถ้านายน้อยเซี่ยวมีเงินไม่พอ ท่านสามารถทำสัญญากู้เงินก็ได้”
เซี่ยวเฉินหยิบศิลาแสงจันทร์ขนาดเท่าฝ่ามือออกมา “ขอบคุณสำหรับน้ำใจของแม่นางเฟิง แต่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำสัญญา ข้าหวังว่าศิลาแสงจันทร์ชิ้นนี้คงจะพอจ่าย”
เฟิงเฟยเสวี่ยเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นางหยิบศิลาเเสงจันทร์ขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาพิจารณาอย่างรอบครอบก่อนที่จะยิ้มอย่างขมขื่น “นายน้อยเซี่ยว ข้ามีเจตนาดีจริงๆ ท่านจะไม่รับน้ำใจของข้าจริงๆหรือ?”
เซี่ยวเฉินถือหม้อปรุงยามังกรฟ้าขึ้นมาไว้ในมือและป้องมือขึ้นอย่างสุภาพเป็นนัยว่าเขากำลังจะไปแล้ว “ขอบคุณแม่นางเฟิงสำหรับหม้อปรุงยา ลาก่อน” หลังจากกล่าวจบ เขาก็หันหลังเดินโดยไม่กลับมามอง เซี่ยวเฉินรู้สึกไม่ดีที่จะอยู่ในห้องนี้ต่อ มีเรื่องประหลาดเล็กน้อยที่เกิดขึ้นกับหม้อปรุงยาใบนี้ เป็นการดีกว่าที่เขาจะรีบออกไป
เฟิงเฟยเสวี่ยจ้องไปที่ศิลาแสงจันทร์ในมือนาง ด้วยศิลาแสงจันทร์ชิ้นใหญ่ขนาดนี้สร้างอาวุธวิญญาณระดับทั่วไปขั้นต่ำได้เป็นกองหน่ำซ้ำยังเหลือใช้อีกด้วย สิ่งนี้มีค่ามากกว่าหม้อปรุงยาของนางไปหลายเท่า มองดูเซี่ยวเฉินที่เดินจากไป เฟิงเฟยเสวี่ยยิ้มเบาๆ “เซี่ยวเฉิน ดูเหมือนจิตวิญญาณต่อสู้มังกรฟ้าจะไม่ใช่ความลับเพียงอย่างเดียวของเจ้า”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร แต่มีชายที่ปกคลุมไปด้วยความมืดปรากฎตัวด้านหลังของเฟิงเฟยเสวี่ยราวกับว่าชายที่ปรากฎตัวขึ้นนี้เขายืนอยู่ตรงนั้นมาตลอด
“นายหญิง อันที่จริงมันก็ผ่านมากว่าพันปีแล้วหลังจากที่สัญญานั้นถูกสร้างขึ้น ไม่มีจำเป็นต้องเคารพมันอีกต่อไป” เสียงแหบห้าวดังมาจากชายที่อยู่ในเงามืดคนนั้น
สีหน้าของเฟิงเฟยเสวี่ยกลายเป็นเย็นชาพูดเตือนขึ้น “เจ้าไม่จำเป็นต้องมาแส่เรื่องของข้า”
“ข้าเพียงแค่เตือนนายหญิง เพื่อตระกูล” เสียงแหบห้าวนั้นกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับไม่ได้ยินคำเตือนของเฟิงเฟยเสวี่ย
เฟิงเฟยเสวี่ยยิ้มอย่างเย็นชา “ชู ข้าจะพูดอีกครั้งเดียวอย่ามายุ่งเรื่องของข้า ถ้าข้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเซี่ยวเฉิน ไม่ว่าจะเป็นความผิดใครข้าโทษเจ้าคนแรก”
ภายในเงามืด ชูหัวเราะอย่างเยือกเย็นและเปลี่ยนเรื่อง “พวกเราเจอร่องรอยของคนที่ท่านกำลังกำลังตามหาแล้ว ไม่เกิน 7 วันพวกเราน่าจะได้ที่อยู่ที่แน่ชัด”
เฟิงเฟยเสวี่ยยืนนิ่งอยู่ครู่นึง “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าไม่ลืมจุดประสงค์ที่มาที่นี้ จัดการเรื่องนี้ให้ดีข้าไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด”
หลังจากเซี่ยวเฉินออกมาจากร้านฮั่นถี่ เขาสูดหายใจรับอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ความรู้สึกของดวงตาคู่ที่จ้องมองเขาตลอดเวลาบนชั้นสี่ ทำให้เขาอึดอัดอย่างมากราวกับว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามาทำให้เขารู้สึกไม่สบาย
ไม่คำนึงถึงวิธีการ เขาก็ได้สิ่งที่เขาออกมาตามหาในวันนี้แล้ว เขามองดูหม้อปรุงยามังกรฟ้าที่อยู่ในกระเป๋าพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจและเตรียมตัวไปที่ร้านสมุนไพรเพื่อซื้อสมุนไพรเล็กน้อยก่อนจะกลับบ้าน
เมืองม่อเหอค่อนข้างจะคึกคักในเวลากลางวัน มีผู้คนหนาแน่นเดินไปมาและมีบางคนที่ตะโกนโฆษณาสินค้าของพวกเขา เซี่ยวเฉินไม่รีบร้อนเดินไปบนถนนชื่นชมบรรยากาศที่เขาไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสในชีวิตก่อน
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงควบม้าดังเข้ามา เซี่ยวเฉินใช้สายตาอันเฉียบคมของเขามองไปยังความปั่นป่วนด้านหน้า มีคนสามคนกำลังควบม้ามาตามถนนอย่างรวดเร็ว ผู้คนบนถนนแยกออกเป็นสองฝั่ง มีบางคนที่หลบไม่ทันและทำอะไรไม่ได้นอกจากลงไปกองอยู่กับพื้นกินดินไปเต็มปาก เมื่อทุกคนเห็นผู้ที่อยู่บนหลังม้าก็ไม่มีใครกล้าเปิดปากและได้แต่บ่นกับตัวเองว่าพวกเขาแค่โชคไม่ดี เมื่อพวกคนที่อยู่บนหลังม้าเห็นดังนั้นพวกเขาหัวเราะออกมาเสียงดัง ช่างดูหยิ่งยโสอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขาควบม้าออกไปโดยไม่มีการผ่อนความเร็วลง
ชั่วพริบตาเดียว ม้าสามตัวนั้นก็เกือบจะมาถึงหน้าเซี่ยวเฉิน มีเด็กสาวข้างหน้ายืนอยู่กลางถนนกำลังตกใจกลัวเมื่อเห็นขบวณม้าวิ่งตรงเข้ามา พวกม้าวิ่งมาเร็วขึ้นเร็วขึ้น ถึงแม้จะเห็นเด็กสาวผู้นั้นอย่างชัดเจนก็ไม่มีทีท่าจะลดความเร็วลง