เซี่ยวเฉินผงะ สารเลวพวกนี้มันจะเกินไปแล้ว เขาพุ่งตัวออกไปคว้าเด็กสาวไว้ได้อย่างฉิวเฉียดและเบี่ยงตัวหลบขบวณม้า
“ฮี้!”
ผู้นำขบวนดึงบังเหียนเพื่อหยุดม้า เมื่อสองคนข้างหลังเห็นดังนั้นก็รีบหยุดตามกัน ชายคนที่เป็นผู้นำแต่งตัวด้วยชุดคลุมยาวสีน้ำตาลหรูหราและเป็นคนแรกที่ดึงม้าหันกลับมาพร้อมตรงเข้ามาหาเซี่ยวเฉินอย่างช้าๆ
“หน้าตาคุ้นๆ ข้าก็สงสัยว่าใครที่แท้คือคุณชายสองแห่งตระกูลเซี่ยว ทำไมวันนี้ช่างดูกล้าหาญอย่างกับคนละคน” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังม้าตรงมาทางเขาและหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างหยิ่งผยอง
“ถูกต้อง ช่างเป็นภาพที่แปลกตา นายน้อยเซี่ยวเปลี่ยนไปมากจริงๆ” ชายอีกคนขี่ม้าตามมาอย่างรวดเร็ว
เซี่ยวเฉินวางตัวเด็กสาวลงช้าๆ และส่งสายตาเยือกเย็นไปยังกลุ่มชายหนุ่มที่อยู่บนหลังม้า สามคนนั้นคือศิษย์จากตระกูลจางและผู้นำของกลุ่มนี้คือจางเจ๋อหยาง บุตรชายคนที่สองของผู้นำตระกูลจาง เป็นผู้ที่มีชื่อเสียเช่นเดียวกับเซี่ยวเฉินแต่มิใช่เพราะเขาเป็นขยะ แต่เป็นเพราะเขาเกะกะระรานข่มขู่พวกคนสามัญไปทั่วตามนิสัยหยิ่งยโสและเผด็จการของเขา และเป็นความจริงที่ว่าตระกูลเซี่ยวและตระกูลจางนั้นไม่ถูกคอกัน เมื่อสองตระกูลได้พบหน้ากันเมื่อไหรก็จะมีเรื่องให้ปะทะกันเป็นปกติ อย่างไรก็ตามเซี่ยวเฉินก็มักจะเป็นฝ่ายแพ้เสมอ
“มองทำไม มองหาอะไร มองหาที่ตายอยู่? ” หนึ่งในคนที่อยู่ด้านหลังจางเจ๋อหยางง้างมือฟาดแส้ม้าตรงใส่ใบหน้าของเซี่ยวเฉิน ถ้าเป็นเซี่ยวเฉินคนเก่าไม่ต้องสงสัยว่าต้องมีรอยบากปรากฎขึ้นบนหน้าอย่างแน่นอน
เซี่ยวเฉินเผยรอยยิ้มเย็นชาพร้อมใช้มือคว้าแส้อย่างคล่องแคล่ว สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่นั่งอยู่บนหลังม้า เขาพยายามจะถอนแส้คืนแต่มันกลับไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว ราวกับแส้ไปผูกติดกับเสาเหล็ก มีแสงวาบขึ้นมาในตาของเซี่ยวเฉินพร้อมประกายสายฟ้ากระโดดไปรอบๆมือของเขา ส่งเสียงปะทุออกมา
เสียงวูบวาบมาพร้อมกับสายฟ้าไหลไปตามแส้ม้าพุ่งเข้าหามือของเจ้าของแส้ ในไม่ช้ามันก็กระโจนไปทั่วร่างของผู้นั้นไม่เว้นแม้แต่ม้าที่เขาขี่อยู่ด้วย ม้าได้ตกใจกระโดดไปมาอย่างบ้าคลั่งและดีดศิษย์ตระกูลจางคนนั้นลงไปกองกับพื้นเสียงดังตุบ
จางเจ๋อหยางกระโดดลงจากม้าอย่างรวดเร็วและตรงเข้าไปช่วยดึงคนที่กองอยู่กับพื้น คนๆนั้นยังคงตัวสั่นหน้าซีด ด้วยสายฟ้าที่พุ่งเข้าทำลายเส้นลมปราณของเขา คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะฟื้นตัว
“เซี่ยวเฉิน! กล้าทำร้ายญาติของข้า! เจ้าหายใจจนเบื่อแล้วใช่หรือไม่!?” จางเจ๋อหยางคำรามออกมาเสียงดัง
เซี่ยวเฉินยิ้มแบบเฉยเมย “จางเจ๋อหยาง เจ้าคิดว่าข้าจะยืนเป็นตอให้เจ้าทุบตีอยู่ฝ่ายเดียว? บิดามารดาสอนเจ้ามาแบบนั้นรึ เป็นแค่บุตรชายคนที่สองของตระกูลจาง เจ้าคิดว่าจะไม่มีใครในเมืองม่อเหอกล้าต่อกรเจ้าได้? ”
จางเจ๋อหยางตกตะลึง เจ้าเซี่ยวเฉินมันเปลี่ยนไปจริงๆ ที่ผ่านมาเมื่อทั้งสองพบหน้ากันมักเป็นเรื่องปกติที่เขาจะตบตีเซี่ยวเฉินลงไปกอง เรื่องน่าขายหน้าแบบนี้เซี่ยวเฉินไม่มีทางวิ่งไปฟ้องตระกูล ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยที่จะตบเซี่ยวเฉิน ทำไมวันนี้เซี่ยวเฉินมันถึงกล้าแข็งข้อ อย่างไรก็ตามถึงมันจะกล้าเพียงใดมันก็ยังคงเป็นขยะ จางเจ๋อหยางเป็นถึงระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นกลางสามารถจัดการเจ้าขยะขอบเขตปรับแต่งวิญญาณขั้น 9 ได้ง่ายดาย
เมื่อคิดได้ดังนั้น จางเจ๋อหยางไม่ใส่ใจกับคำยั่วยุของเซี่ยวเฉินอีกต่อไปและยิ้มอย่างเย็นชา “นายน้อยเซี่ยว ทำไมถึงรีบร้อนที่จะตายนัก”
เซี่ยวเฉินหัวเราะดังลั่น “เป็นเจ้าโง่รึไง เอาแต่พูดซ้ำไปซ้ำมา ข้าจะรีบตายแล้วเจ้ามาแส่อะไร ถ้าพอมีฝีมือก็เข้ามา ข้าก็ยืนอยู่ตรงนี้เจ้ากล้าก็เข้ามา”
“เจ้าคิดว่าข้าจะไม่กล้า?” เมื่อได้ยินคำเยาะเย้ย จางเจ๋อหยางทนไม่ได้อีกต่อไป เขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธพร้อมกับหมุนเวียนพลังปราณภายในร่างของเขา จากนั้นก็ส่งกำปั้นพุ่งไปหาเซี่ยวเฉินพร้อมกับเสียงคำราม เขาใช้กำลังประมาณแปดในสิบส่วนจากพลังสูงสุด เซี่ยวเฉินหยามเขาด้วยการเยาะเย้ยเขาต่อหน้าประชาชน ไม่มีคำว่าอดทนอีกต่อไปในพจนานุกรมของเขา
เซี่ยวเฉินยิ้มอย่างเย็นชา ยั่วยุแค่นี้มันก็ขาดสติแล้ว? เขามองตามกำปั้นที่กำลังพุ่งเข้ามา เต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟันที่เพิ่มขึ้นๆ เขาตั้งสมาธิ พลังอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์หมุนเวียนอย่างรวดเร็วภายในร่างของเขา มังกรฟ้าภายในจุดดันเที่ยนร้องคำรามพร้อมกับพลังปราณของเขาที่พวยพุ่งออกมา
“ฮ่ะ!”
เซี่ยวเฉินพุ่งตัวปล่อยหมัดออกไปเช่นเดียวกับจางเจ๋อหยาง เซี่ยวเฉินใช้พลังสูงสุดส่งไปที่กำปั้นและเสียงคำรามของลมดังมาจากจุดที่กำปั้นเขาลอยออกไปพร้อมกับประกายสีม่วงปะทุรอบกำปั้น
“ตู้ม!”
กำปั้นของพวกเขาปะทะกัน เสียงระเบิดดังลั่นไปทั่วท้องฟ้า จางเจ๋อหยางรู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนที่พุ่งมาทางเขาและไม่ใช่สิ่งที่เขาจะรับมือได้ ร่างของเขาถอยกลับไปสองสามก้าวก่อนที่เขาจะประคองตัวเองไม่อยู่ หน้าของเขาซีดเทากระอักเลือดออกมาที่มุมปาก
เซี่ยวเฉินบ่มเพาะพลังอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์เพื่อเสริมพลังให้จิตวิญญาณต่อสู้มังกรฟ้า ดังนั้นร่างกายเขาจึงแข็งแกร่ง พลังสูงสุดของระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดของเขานั้นเทียบเท่ากับพลังของระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นสูง จางเจ๋อหยางนั้นคิดว่าเซี่ยวเฉินยังคงอยู่ในระดับบ่มเพาะพลังขั้น 9 ดังนั้นเขาจึงใช้พลังเพียง 8 ส่วน เมื่อปะทะกับเซี่ยวเฉินที่ทุ่มเต็มกำลังเขาจะชนะได้อย่างไร
”ด้วยพลังเล็กน้อยเพียงเท่านั้น เจ้ายังกล้ากร่างไปทั่วเมืองม่อเหอ” เซี่ยวเฉินตะโกน เขาตบเท้าขวาลงพื้นอย่างรุนแรงทิ้งรอยแตกไว้บนพื้น ส่งตัวเองลอยขึ้นไปบนอากาศพุ่งไปถึงจางเจ๋อหยางในพริบตาเดียว เขาปล่อยฝ่ามือเข้าที่หน้าอกของจางเจ๋อหยาง
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้แต่คนที่ยืนอยู่ข้างจางเจ๋อหยางก็มองตามไม่ทัน จ้องมองไปที่ฝ่ามือที่ย้อมไปด้วยรังสีฆ่าฟันของเซี่ยวเฉิน เขากระวนกระวายและปิดตาลงอย่างสิ้นหวัง หรือจะกลายเป็นว่าจางเจ๋อหยางต้องมาจบชิวิตลงที่นี่ในวันนี้?
“หยุด!” เสียงคำรามระเบิดดังมาจากระยะไกล เสียงนั้นดังสนั่นกระแทกแก้วหูของทุกคนในที่นี้ เซี่ยวเฉินไม่สนใจเสียงนั้นและยังคงส่งพลังฝ่ามือเข้าใส่จางเจ๋อหยาง โอกาสที่จะได้ทำลายจางเจ๋อหยางไม่ได้มีมาให้ทุกวัน