ตอนที่ 222 ข้าเรียกเจ้าสารเลวเฒ่า
ฝูงชนสัมผัสได้ถึงระดับขอบเขตพลังของมู่เหิง “เกิดอะไรขึ้น? คนผู้นั้นอยู่เพียงระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นต้น” มีบางคนอุทานออกมา
ข้อกําหนดพื้นฐานของการเข้าร่วมการทดสอบศิษย์แก่นกลางคือต้องเป็นระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงเมื่ออายุได้สิบเก้า
ข้อกําหนดนี้ได้กรองศิษย์ชั้นในจํานวนมากออกไปแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นว่ามู่เหิงอยู่เพียงระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นต้น, พวกเขาก็เริ่มตั้งคําถามขึ้น
หัวหน้าผู้คุมสอบสีหน้าไร้อารมณ์พร้อมกับเขาจ้องมองไปที่ฝูงชนที่เริ่มไม่สงบ แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางแดดจ้า,ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกหนาวสันหลังวาบเมื่อพวกเขาพบกับสายตานั้น มันหนาวเย็นไปถึงกระดูกและแช่แข็งหัวใจของเขา
“หากเจ้ามีคําถามอะไรไปถามกับผู้อาวุโสของสภาสูงให้อธิบายให้พวกเจ้าฟังหลังจากจบการทดสอบ ตอนนี้ใครก็ส่งเสียงก่อกวนจะถูกเตะออกไปทันที!”
ใบหน้าอันธรรมดาสามัญของมู่เหิงไม่ได้แปรเปลี่ยนไปเพราะคําของผู้อื่น เขาเพียงเดินไปตรงหน้าของก้อนศิลาและสูดหายใจเข้าลึก
“เฟี้ยว!”
เขายกมือขวาดขึ้นและใช้ฝ่ามือประดุจกระบี่ เขาเบี่ยงร่างกายเล็กน้อยและฟันลง อากาศแยกออกราวกับสายน้ํา,ตัดผ่านไปโดยฝามือของมู่เหิง ก้อนศิลาสีดําค่อยๆแยกออกพร้อมกับเสียง ‘ฉัวะ’
การเคชื่อนไหวของมู่เหิงไม่ได้รวดเร็ว มันตรงกันข้ามกับเจตนารมณ์กระบี่ที่ดุร้ายของจางเลี่ย ทุกคนล้วนมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน,ดวงตาของพวกเขาเปิดกว้างพร้อมกับปากที่เปิดค้าง
เมื่อระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงใช้คมกระบี่และซัดลงไป ด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขา มันยังเป็นการยากที่จะตัดศิลาสีดําลึกลับ พอคิดว่าระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นต้นตัดมันได้อย่างง่ายดาย,มันมาเหนือการคาดการณ์ของพวกเขา
ผู้คนที่แต่เดิมไม่เห็นยอมกับการเข้าร่วมการทดสอบของมู่เหิงตอนนี้กลายเป็นใบ้ มีเพียงความตกตะลึงที่หลงเหลืออยู่ในใจของพวกเขา
มู่เหิงถอนมือของเขากลับ มีรอยตัดบางอยู่กึ่งกลางของก้อนศิลา หากไม่สังเกตอย่างละเอียด,พวกเขาอาจจะคิดว่าก้อนศิลานี้ไม่ได้ถูกผ่าครึ่ง
“ปัง!” หัวหน้าผู้คุมสอบซัดฝ่ามือออกมาอีกครั้งและสลายก้อน ศิลาเป็นเศษผง เขากล่าว “หมายเลข 220,ยอดเขาเปยเฉิน,มู่เหิง สอบผ่าน”
มู่เหิงพบสายตาของจางเลี่ยที่มองมายังเขา เขายิ้มขึ้นสงบเยือก เย็นก่อนที่จะจากไป
เซี่ยวเฉินจ้องมองมู่เหิง,เขาครุ่นคิดลึก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็น ใครบางคนฝึกฝนร่างกายจนมาถึงระดับนี้
ความแข็งแกร่งของมู่เหิงไม่อาจเปรียบเทียบกับเซี่ยวเฉินได้แต่การใช้ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขายอดเยี่ยมกว่าเซี่ยวเฉิน มาก
สําหรับเซียวเฉิน,มันคงไม่เป็นปัญหาสําหรับเขาที่จะทําลายศิลา สีดําพวกนั้นด้วยการโจมตี 6,000 กิโลกรัมเต็มกําลัง
อย่างไรก็ตาม,หากเขาจะทําแบบมู่เหิง,ที่ควบคุมและเน้นความแข็งแกร่งของเขาไปถึงจุดที่บางราวกับคมกระบี่,มันเป็นไปไม่ได้
“ไม่สําคัญอะไร,การบ่มเพาะพลังร่างกายมีหลากหลายวิธี เหมือนกับทักษะต่อสู้ ข้าแค่ก่อภูเขาขึ้นมาจากกองดิน” เซียวเฉิน มบางเบาหลังจากที่คิดถึงสิ่งต่างๆ
“ หมายเลข 240,ยอดเขาฉิงหยุนเย่เฉิน!” หลังจากที่ดําเนินการทดสอบด่านแรกมายาวนาน,ในที่สุดก็มาถึงตาของเซี่ยวเฉิน
หลิวสุยเฟิงอยู่หมายเลขที่ 280 เขาอยู่หลังเซี่ยวเฉินไปอีก เมื่อเขาได้ยินชื่อของเซี่ยวเฉิน,เขาก็ส่งเสียงเชียร์ “เย่เฉิน,ขอให้โชคดี!”
เซี่ยวเฉินส่งยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้า เขาเดินออกก้าวยาวต่อไปข้างหน้าของก้อนศิลา เขาสามารถสัมผัสได้ถึงสายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้องมาที่เขาจากทั่วทุกทิศทาง
บนฐานสูงเหนือลานฝึกฝน,ดวงตาของซ่งเฉวเผาไหม้ไปด้วยไฟ แห่งความเกลียดชังเมื่อเซี่ยวเฉินเดินออกมา เขาไม่อาจระงับความโกรธเกลียดเอาไว้ได้ เขาจ้องมองไปที่เซี่ยวเฉิน,เขาเกลียดที่ไม่อาจกระโดดออกไปและทุบเซี่ยวเฉินให้ตายเสียในใมือเดียว
ก่อนที่ซ่งเฉวจะมาพบเข้ากับเซี่ยวเฉิน,ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยคําสรรเสริญและความสําเร็จ หลังจากที่พวกเขามาเจอกัน ชีวิตของเขากลายเป็นโศกนาฏกรรม ตัวเขาที่แต่เดิมอยู่ระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธขั้นสูงสุดอีกเพียงหนึ่งก้าวก็จะกลายเป็นระดับขอบเขตยอดกษัตริย์ยุทธที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ศาลากระบี่สวรรค์
อย่างไรก็ตาม เขาได้เสียแขนไปหนึ่งข้างเพราะปีศาจในใจของเขา เขาได้สูยเสียความหวังที่จะขึ้นสู่ระดับขอบเขตยอดกษัตริย์ยุทธความแข็งแกร่งของเขาลดลงอย่างเห็นได้ชัด,กลายเป็นตัวตลกของทุกคน
หากคนใหญ่คนโตหลายคนแห่งศาลากระบี่สวรรค์ไม่ได้ปกป้องเซี่ยวเฉินอยู่เขาจะมองหาโอกาสเพื่อสังหารเซี่ยวเฉินเสียให้ได้
ช่างน่ารังเกียจ! เขาเป็นเพียงมดตัวกระจ้อยแต่มีเส้นสายมากมาย ซึ่งเฉวยืดแขนอีกข้างที่เหลืออยู่ของเขาพร้อมกับครุ่นคิดอย่างเกลียดชัง
ซ่งเฉวหันหัวของเขาไปมองหลิวหรูเยว่ที่นิ่งเงียบ เขากล่าวอย่างมุ่งร้าย “ท่านเจ้ายอดเขาหลิว,ศิษย์ตัวน้อยของเจ้าออกมาแล้ว ข้าสงสัยว่าการแสดงของเขาจะเกินกว่าจางเลี่ยหรือไม่? มันคงเป็นเรื่องน่ายินดี”
หลิวหรูเยว่จุดไฟขึ้นในใจและยิ้มขึ้น นางหันไปและกล่าว “ไม่ว่า มันจะเป็นเรื่องน่ายินดีขนาดไหน มันคงไม่น่ายินดีเกินไปกว่าที่แขนเจ้าด้วนไป”
ซ่งเฉวสีหน้าเปลี่ยน เขาระงับความเกรี้ยวโกรธไว้ในใจพร้อมกล่าวขึ้น “เจ้าเด็กเหลือขอนั้นอย่าให้ข้าจับจุดอ่อนของมันได้จะเป็นการดี มิฉะนั้น,ข้าแน่ใจว่าชีวิตของเขาจะเลวร้ายยิ่งกว่านอนตาย”
หลิวหรูเยว่ยิ้มอย่างไม่แยแส “ชีวิตศิษย์ของข้าจะเลวร้ายยิ่งกว่า ความตายหรือไม่,ข้าไม่รู้อย่างไรก็ตาม, ข้าแน่ใจว่าชีวิตของเจ้าตอนนี้เลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก จริงหรือไม่? ไอ้สารเลวเฒ่า!”
ที่คําสุดท้ายของนาง,รอยยิ้มของหลิวหรูเยว่ทันใดนั้นก็หายไปแทนที่ด้วยคําสาปแช่ง นางอดทนต่อไปไม่ได้กับการแดกดันที่ไม่จบไม่สิ้นของซ่งเฉวง
“ปัง!”
“ไอ้เด็กโง่เง่าเจ้าเรียกใครว่าสารเลวเฒ่า!” ซ่วเฉวทุบมือของเขาลงบนโต๊ะ,ดวงตาเผาไหม้ไปด้วยความโกรธ
หลิวหรูเยว่หาได้เกรงกลัวไม่,ความเย็นชาปกคลุมใบหน้าของนาง “ข้าที่เรียกเจ้าสารเลวเฒ่า หาได้ผิดไม่? หรืออยากจะมีเรื่อง? ข้าไม่เกรงใจที่สั่งสอนความเป็นคนให้กับเจ้า”
พรสวรรค์ของหลิวหรูเยาแต่เดิมก็อยู่ในระดับน่าตกตะลึง หลังจากที่นางดูดซับพลังแก่นแท้ของสวรรค์และปฐพี่และกินดอกดาวเรืองแสงไหล,ความแข็งแกร่งของนางในตอนนี้เข้าไปใกล้ระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธ นางไม่เกรงกลัวไอ้ด้วนซ่วเฉว
“เจ้าทั้งสอง,หยุดทะเลาะกัน ทะเลาะกันต่อหน้าผู้อาวุโสของสภาสูงไม่ใช่เรื่องดี” เมื่อท่านเจ้ายอดเขาอื่นเห็นว่าบรรยากาศกําลังเข้มข้นขึ้น,พวกเขารีบเตือนทั้งสองให้หยุด
เหลิ่งเทียนเจิ้งสบตาซ่วเฉวพร้อมกับกล่าวขึ้น “น้องซ่ง เจ้าก็อายุมากแล้ว อย่าไปหาเรื่องทะเลาะกับรุ่นเยาว์ แสดงความเป็นผู้ใหญ่ให้มากกว่านี้”
หากเจ้าเหลืออยู่แขนเดียวเจ้าก็คงจะพูดเช่นเดียวกัน ซ่วเฉว โกรธจนตัวสั่น อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่กล้าเกรี้ยวกราดต่อหน้าเหลิ่ง เทียนเจิ้ง เขาไม่มีความกล้าพอที่จะทําเช่นนั้น
ข้อพิพาทสงบลงอย่างช้าๆจากการห้ามปรามของทุกคน
ภายในและภายนอกลานฝึกฝน,สานุศิษย์ชั้นในทั่วไปอยู่บนอัศจรรย์และสานุศิษย์ที่เข้ารับการทดสอบอยู่ในลานฝึกฝนทั้งหมดล้วนจับจ้องไปที่เซียวเฉิน
ในแง่ของชื่อเสียง,ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือเซี่ยวเฉิน
ไม่นานหลังจากที่เขาเข้ามาในศาลากระบี่สวรรค์ เขาทําท่านเจ้ายอดเขาซื้อขึ้นเป็นไอ้โง่ จากนั้นเขาก็ไล่ตบสานุศิษย์ยอดเขาว่านเหรินมากมายต่อหน้าผู้คน เขาล้มได้แม้กระทั่งศิษย์แก่นกลางหยางฉี
หลังจากนั้นเขาก็เก็บตัวเงียบไประยะเวลาหนึ่ง อย่างไรก็ตาม,หลังจากที่เขากลับมา เขายิ่งเฉิดฉายยิ่งกว่าเดิม เขาทําภารกิจนิกายระดับสูงสําเร็จได้ระดับการประเมินว่ายอดเยี่ยมอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นผลให้อันดับของเขาเพิ่มขึ้นถึง 500 อันดับในคราเดียว
เมื่อศิษย์แก่นกลางอันดับสองแห่งยอดเขาว่านเหรีย,หลินเฟิง,อยากจะมีทวงเกียรติของพวกเขาคืน,เขาถูกเซียวเฉินตบ ลงไปกองในหมัดเดียว,ทําให้เขากลายเป็นตัวตลก
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ฟังดูอหังการ ไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะเป็นเพียงระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธ
ยังมีอีกข่าวลือ ทุกครั้งที่เขาลงมือ,เขาเล่นตักติกบางอย่าง:ขัดกับ จรรยาบรรณของผู้บ่มเพาะพลัง ข่าวลือนี้น่าเชื่อถือมากขึ้นยิ่งกว่าข่าวลือก่อนหน้าเสียอีก
ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะได้เห็นเซี่ยวเฉินลงมือกับตาต่อหน้า ของทุกคน ช่วงเวลานี้จะพิสูจน์ความจริงข่าวลือ
จางเลี่ยและมู่เหิงที่ผ่านการทดสอบด่านแรกไปเรียบร้อยแล้ว, จ้องมองไปที่เซี่ยวเฉินเช่นกันเต็มไปด้วยความสงสัย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะฝึกฝนอยู่บนภูเขา,พวกเขาก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเซี่ยวเฉินมาบ้าง
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองเป็นคนทะนงตน พวกเขาไม่เชื่อในข่าวลือ,โดยเฉพาะจางเลี่ยเขาพบว่ามันไร้สาระด้วยซ้ํา
เจ้าจะได้รู้เมื่อข้าขึ้นมาแย่งตําแหน่งของเจ้า นี่เป็นเรื่องธรรมดา ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างดีที่สุด นี่เป็นหลักการพื้นฐานที่ไม่เคยเปลี่ยนมาตั้งแต่โบราณกาล
จางเลี่ยถือกระบี่ของเขาแน่นพร้อมกับแสงวาบบนดวงตาของเขา เขาจ้องมองไปที่เซี่ยวเฉิน
ดวงตาของเซี่ยวเฉินราวกับกระจก,หัวใจของเขาสงบราวกับน้ํานิ่งและจิตใจของเขาโล่งชัด สายตาที่จับจ้องและเสียงจากรอบข้างไม่ส่งผลกระทบต่อเขา
มีโอกาสเพียงครั้งเดียวและเขาไม่สามารถใช้ทักษะต่อสู้ เชี่ยวเฉินไม่กล้าประมาท เขาลูบกวาดศิลาสีดําด้วยสัมผัสวิญญาณของเขาและพบว่าพื้นผิวของก้อนศิลานี้เรียบเนียนเป็นอย่างมากมันมีความยืดหยุ่นยิ่งกว่าเหล็กทั่วไป
อย่างไรก็ตาม,มันไม่น่าจะเป็นปัญหา เขาควรจะจัดการกับมันได้ ด้วยพลังเพียงครึ่งนึ่งของความแข็งแกร่งของเขา เซี่ยวเฉินชักกระบี่ของเขาออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวและสร้างกระบี่แสง
“ฟ้าว!”
กระบี่แสงเฉียบคมวูบผ่านในอากาศและเซี่ยวเฉินเก็บกระบี่กลับ เข้าฝึกพร้อมกับเสียง ‘เช้ง’ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงบนศิลาสีดําแม้แต่น้อย,ทําให้ทุกคนต่างประหลาดใจ
“ฮ่าฮาฮาฮาฮา! ข้าก็สงสัยว่าเขาจะทรงพลังถึงเพียงใด ดูแล้วก็งั้นๆ ทําเอาข้าประหลาดใจอย่างน่ายินดี!” สายตาของซ่งเฉวจับไปที่ศิลาสีดํา
แต่เดิมเขาคิดว่านี่มันคงไม่เกินมือของเซี่ยวเฉิน อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาสังเกตอย่างละเอยืด,เขาพบว่าบนพื้นผิวศิลาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ดูเหมือนม้าทุกตัวก้าวสะดุด เจ้าหมอนี้มันหยิ่งยโสเกินไป ช่างเป็นโอกาสดีที่จะได้เยาะเย้ยมัน ซ่วเฉวเริ่มหัวเราะออกมาเสียงดัง
TL:ม้าทุกตัวก้าวสะดุดแปลว่าทุกคนเคยผิดพลาด
“ฟู่ว!”
ขณะที่ซ่วเฉวพูดจบ,มีเสียงดังออกมาจากศิลาสีดํา,ราวกับว่ามันตอบกลับคําของซ่งเฉวมันขาดแยกออกเป็นสองซีกพร้อมกับ เสียง ‘ปะ ปะ’
พลังงานหนาแน่นโยนศิลาทั้งสองซีกขึ้นไปในอากาศราวกับพายุหลังจากลอยอยู่นาน มันก็ตกลงบนพื้นเสียงหนักแน่น
“ หมายเลข 240,ยอดเขาฉิงหยุน,เย่เฉิน…ผ่าน!” เมื่อก้อนศิลาตกลงมา,หัวหน้าผู้คุมสอบกล่าวออกมาอย่างเรียบง่าย
สีหน้าของซ่งเฉวแดงสลับเขียว เขาไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซ่อนไว้ที่ไหน เขารู้สึกราวกับว่าเมื่อครู่เขาได้หัวเราะเยาะใส่ตัวเอง
หลิวหนูเยวไม่แม้แต่จะชายตามอง,นางเมินเฉยเขาไป
อันที่จริง,เซี่ยวเฉินได้ใช้วาดกระบี่ที่ซับซ้อนในกระบี่จู่โจมนี้ ปราศจากจิตวิญญาณยุทธของเขา,ความรวดเร็วในการรวบรวมปราณของเขาเร็วขึ้นมากว่าครึ่ง
ด้วยการนึกคิดของเซี่ยวเฉิน,อ่างน้ําวนในจุดตันเที่ยนของเขาปลดปล่อยพลังปราณจํานวนมหาศาลออกมาทันที,รวบตัวบนคมกระบี่ของเขา ด้วยความรวดเร็วในการรวบรวมปราณบนกระบี่และ การวาดกระบี่ที่ซับซ้อนของเขา,กระบี่จู่โจมนี้รวดเร็วถึงขีดสุด
ท้ายที่สุด,ซ่งเฉวที่อยู่ค่อนข้างไกลจากลานฝึกฝนและอยู่ในสภาพที่จิตใจไม่อยู่กับตัว แม้ว่าเขาจะอยู่ระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธ,มันก็ไม่น่าประหลาดใจนักที่เขาจะมองพลาดไป
เซี่ยวเฉินเงยหัวขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงสายตาที่เป็นกังวลจากฐานสูง เขายิ้มไปที่หลิวหรูเยวที่อยู่ไกลออกไปและเดินตรงไปยังกลุ่มสานุศิษย์ชั้นในที่ผ่านการทดสอบด่านนี้
การทดสอบบนลานฝึกฝนดําเนินต่อไป หลังจากนั้น,จะมีคนผ่านการทดสอบมาเป็นครั้งคราว แน่นอน,ส่วนใหญ่นั้นสอบตก ในไม่ช้า,ก็มาถึงตาของหลิวสุยเฟิง
เมื่อหลิวหรูเยว่เห็นหลิวสุยเฟิงเดินออกมาอย่างช้าๆ,นางเริ่มที่จะเป็นกังวลอีกครั้ง หลิวสุยเฟิงอายุสิบเก้าแล้ว หากเขาไม่ผ่านการทดสอบในครั้งนี้ เขาจะไม่มีโอกาสอีกต่อไป
นี่เป็นน้องชายเพียงคนเดียวของนาง,นางไม่อยากที่จะเห็นเขาล้มเหลว