ตอนที่ 225 สําแดงปรากฏการณ์ลึกลับ
“เร็ว! จัดการมันซะ!” จางเลี่ยคิดไว้แล้วเช่นกันว่ามู่เพิ่งจะต้องไม่ง่ายที่จะจัดการได้ด้วยกระบี่ฉีสองสามเล่มนี่เป็นแค่จานเรียกน้ําย่อยเท่านั้น
สิ้นเสียงจางเลี่ย,สานุศิษย์ยอดเขาเทียนเยว่แข็งแกร่งสิบคนกดเท้าลงบนหอกแหลมและส่งตัวเองพุ่งไปที่มู่เหิงแห่งยอดเขาเปยเฉิน
“ข้าจัดการเอง,พวกเจ้าไม่ต้องทําอะไร” มู่เพิ่งบอกกับสานุศิษย์ยอดเขาเปยเฉินที่กําลังเข้ามาช่วยเขา
มู่เพิ่งกดเท้าอย่างแรงลงบนหอกแหลม ด้วยพลังมหาศาล,ด้ามของหอกเริ่มบิดงอและดีดขึ้นมาพร้อมกับเสียง “เสี้ยว”มู่เพิ่งลอยขึ้นไปในอากาศทันที
มู่เพิ่ง,ผู้ที่ส่งตัวเองลอยขึ้นไปในอากาศพร้อมหอก,เขาดึงเอาปลายหอกออกมาพร้อมกับบินขึ้นไป เขายิ้มบางเบาไปที่ผู้คนที่กระโดดเข้ามาตรงหน้าของเขาและขวางปลายหอกในมือใส่
“ปัง!”
ปลายหอกระเบิดออกและกลายเป็นเศษโลหะคมนับไม่ถ้วนชิ้นส่วนเคลื่อนไปด้วยความเร็วสูง เกิดเป็นละลอกคลื่นและเปลี่ยนเป็นอาวุธคมสังหาร
“เมฆาโอบยอดเขา!” จางเลี่ยตะโกนออกมาและใช้ออกกระบวณท่าแรกของทักษะกระบี่ฉิงหยุน เมฆาโอบยอดเขา
ทันใดนั้น เมฆาและหมู่หมอกปรากฏขึ้นบนค่ายกลหอกยอดเขายกตัวขึ้นมาและปัดป้องชิ้นส่วนแหลมคมไว้ทั้งหมด เกิดเสียง แคร้ง แคร้ง” ออกมา
เมื่อเมฆาและหมู่หมอกสลายตัวออกไป,ทุกคนพบว่าภาพร่างยอดเขานั้นแท้จริงแล้วคือหระบี่ที่อยู่ในมือของจางเสี่ย กระบี่ได้ชัดร่วงชิ้นส่วนโลหะทั้งหมดในทันที
ใช้โอกาสนี้เอง,มู่เพิ่งผู้ที่เคลื่อนเข้ามาในระยะหนึ่งร้อยเมตรแล้ว,ดึงเอาหอกอีกเล่มออกมาและสับออกเป็นสองท่อนด้วยมือของ เขาพร้อมกับเสียง “ฟ้าว” เขาขวางปาหอกซีกหนึ่งออกไป
หอกที่หักครึ่งหมุนไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ขณะที่พวกมันลอยไป,พวกมันดึงเอาอากาศโดยรอบเข้ามาสร้างพายุหมุนขนาดสามเมตรขึ้นมาล้อมรอบ
ข้ารับมันไม่ได้! จางเลี่ยตะโกน “ช่วยข้าป้องกันกระบวณท่านี้,ขาจะไล่ตามมันไป!”
“โซว!โซว!?
สี่ศิษย์ชั้นในกระโดดออกมาจากด้านหลังของเขา พวกเขาเคลี่อนไปคนละทิศทาง,ทิศทางละสองคน พวกเขาชักกระบี่ออกมาพร้อมเพียงกัน,แต่ละเล่มสร้างกระบี่แสงสูงสิบเมตรออกมาสับลงไปที่พายุหมุน
จางเลี่ยไม่ไปสนใจผลลัพธ์ของกระบวณท่านี้ เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อยเคลื่อนตัวแทรกเข้าไประหว่างพายุทั้งสองลูกและพุ่งใส่มูเพิ่งอย่างรวดเร็ว
เมื่อมู่เพิ่งเห็นจางเลี่ยกําลังเข้ามาหาเขาตัวคนเดียวเขาเผยรอยยิ้มขึ้นเขากระทืบลงบนปลายหอกและเกิดระเบิดขึ้น ปลายหอกแหลมแหลกเป็นชิ้นนับไม่ถ้วนพร้อมกับตัวเขาลอยกลับหลังไป
“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!”
ทุกก้าวที่มูเทิงย่างเดินจะส่งผลให้เกิดระเบิดที่ปลายหอกด้านล่างของเขา พวกมันกลายเป็นเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วน,เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วสูงเกิดเป็นละลอกคลื่น ราวกับเม็ดฝนในพายุที่โหมกระหน้ํา,พวกมันยิงเข้าใส่จางเลี่ยที่กําลังติดตามหลังของเขามา
จางเลี่ยจ้องและมองเห็นคลื่นกระสุนแหลมคมเข้ามาในวิสัยของเขา มีจํานวนมากมายนับไม่ถ้วนหากเขาต้องการที่จะไล่ตามต่อไปเขาจําต้องฝ่าพายุเศษแหลมคมพวกนี้ไปให้ได้
เพื่อที่จะทําเช่นนั้น เขาจะต้องใช้พลังปราณไปเป็นจํานวนไม่น้อยเขารู้สึกเหมือนเขาได้ติดกับของมู่เพิ่งเข้าให้แล้ว จางเลี่ยครุ่นคิดกับตัวเอง,อย่างไรก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้ว่าข้าบ่มเพาะทักษะบ่มเพาะพลังระดับปฐพีขั้นสูง จํานวนพลังปราณที่ข้ามีมันมากกว่าของเขาอยู่มากโข
เมื่อจางเลี่ยคิดได้ดังนั้น,เขาเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยพร้อมกับตะโกน “ภูผาเคลื่อนขับเมฆา!”
นี่เป็นกระบวณท่าที่สองของทักษะกระบี่หลิงหยุนปรากฏการณ์ลึกลับก่อตัวขึ้นมา,ภูผาปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ทุกคนล้วนประหลาดใจ.ภูเขานั้นกําลังเริ่มเคลื่อนหมุนตัวอยู่จริงๆ
“ยิ้ม…”
ภูผาหมุนวน,และทั่วทั้งลานฝึกฝนเริ่มสั่นสะเทือนมีสานุศิษย์ โชคร้ายบางคนที่ตกลงมาจากปลายหอกในทันที
เมื่อเซี่ยวเฉินเห็นว่าทักษะกระบี่หลิงหยุนทั้งสองกระบวณท่าที่จางเลี่ยใช้ออกมานั้นเกิดปรากฏการณ์ลึกลับ,เซี่ยวเฉินตกตะลึงเขาไม่คาดคิดว่าจางเลี่ยจะมากพรสวรรค์ถึงขั้นนี้
“อย่างไรก็ตาม,สามารถสร้างปรากฏการณ์ลึกลับขึ้นมาได้นั่นไม่ได้หมายความว่าความเข้าใจถึงทักษะกระบี่หลิงหยุนของเขาจะลีกล้ําไปมากกว่าข้า” เซี่ยวเฉินกล่าวกับตัวเองอย่างเฉยเมย
ปรากฏการณ์ลึกลับเป็นเหมือนกับตัวเสริมของทักษะต่อสู้อย่าง ไรก็ตาม,หากว่าปรากฏการณ์ลึกลับมันไม่สมบูรณ์และเป้ฯที่ประจักษ์,มันจะมีผลสะท้อนกลับใหญ่หลวงบนปราณของพวกเขาเมื่อมันพังทลายลง
ในตอนที่เซี่ยวเฉินประมือกับฉ่ฉาวอวิ่น,เขาได้เสียเปรียบอย่างหนักคู่ต่อสู้ใช้เพียงครึ่งกระบวณท่าในการทําลายปรากฏการณ์ลึก ลับของจันทราโชติช่วงของเขามันเกิดเป็นผลสะท้อนกลับไปที่ปรา ณของเขาและเขาได้เสียความสามารถในการต่อสู้ไปอย่างสมบูรณ์
ดังนั้น,เซี่ยวเฉินจะระวังอย่างมากในการใช้ปรากฏการณ์ลึกลับหลังจากเหตุการณ์นั้น
มีสองวิธีที่จะทําลายปรากฏการณ์ลึกลับ หนึ่งคือหาจุดอ่อนของปรากฏการณ์ลึกลับ เหมือนที่เซียวเฉินทําในตอนนั้น
สองคือใช้กําลังเข้าทําลายเคือการใช้พลังกดข่มอันเด็ดขาดทลายปรากฏการณ์ลึกลับของฝ่ายตรงข้าม เหมือนกับที่เซียวเฉินลงมือเมื่อครู่ ไม่มีใครรู้ว่ามู่เพิ่งจะเลือกใช้วิธีใด
ภูผาหมุนวนสูงประมาณสองสามร้อยเมตร ไม่รู้ถึงความกว้างมีสายลมรุนแรงพร้อมกับปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า,เปลี่ยนสถานที่นี่เป็นดมิดดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงร้อนแรงถูกบดบังไปโดยสมุนไพร
ชิ้นโลหะที่มาราวกับห่าฝนซัดเข้ากับยอดเขาพร้อมเสียง “เต็ง เต็ง เต็ง” มันไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงและร่วงหล่นลงสู่พื้น
มู่เพิ่งหันกลับมามองดูสีหน้าของเขาไม่มีความประหลาดใจเขาจ้องมองไปที่ภาพลวงของยอดภูผาที่กําลังหมุนวนมันเป็นเพียงสิ่งที่เขาเห็นเท่านั้นไม่มีอะไรอื่น
ขณะที่ภูเขาเข้ามาใกล้ มู่เหิงก็ยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้ามันราวกับเขาไม่รู้ว่าเขาอาจถูกฉีกเป็นชิ้นได้อย่างง่ายดายเมื่อมันเข้ามาใกล้
ข้ายังหาจุดอ่อนไม่พบ มันเป็นการยากเกินไปที่จะหาจุดอ่อนของปรากฏการณ์ลึกลับนี้ มู่เพิ่งสาายหัวและถอนหายใจ
แม้ว่าปรากฏการณ์ลึกลับที่จางเลี่ยใช้ออกมาจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ,มันก็ไม่ใช่เรื่อง่ายที่จะค้นหาจุดอ่อน
“เมื่อข้าหาจุดอ่อนมันไม่พบเช่นนั้นข้าก็จะทุบให้มันแหลกเป็นชิ้น!” มู่เหิงตะโกน,และกระโดดขึ้นไปในอากาศ แส งสีม่วงเรื่องออกมาจากผิวของเขา,ราวกับหยกที่ส่องแสง
“สลายไปซะ!”
ฝ่ามือเรียบง่ายทุบลงไปบนภูผาที่กําลังหมุนวน ด้วยเสียงอันดัง,ภูเขาที่หมุนวนในที่สุดก็หยุดลง
ในทันทีที่ภูเขาและฝ่ามือของเขาปะทะกัน,มันหลอมรวมเป็นคลื่นกระแทกพลุ่งพล่าน มีละลอกคลื่นเกิดขึ้นในอากาศมันราวกับเป็นคลื่นกระหน่ํามหาสมุทร
คลื่นกระแทกนี้ไม่นับแยกแยะมิตรหรือศัตรู มันกวาดผ่านไปทั่วค่ายกลหอกมีผู้คนส่วนหนึ่งถูกซัดลอยตกลงจากค่ายกลหอก สานุศิษย์จากนานายอดเขาไม่อาจอดทนนิ่งเฉยปราศจากการป้องกันตัวเองได้:พวกเขาทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหว
“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!”
ทันทีที่ด้ายเส้นสุดท้ายขาดผึ้งลง เมื่อผู้คนบนที่นั่งผู้ชมเห็นดังนี้พวกเขาทั้งหมดต่างตกตะลึง การทดสอบในครั้งนี้ดุเดือดและนองเลือดยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ
“ฟู ฟิว!”
เซี่ยวเฉินฟันออกไปด้วยกระบี่ในมือของเขาและผ่าคลื่นกระแทกออกเป็นสอง,สลายอันตรายไปได้อย่างง่ายดายเขาจ้องมองดูสองคนที่ลอยอยู่ในอากาศต่อไป
ภาพร่างภูเขาบนท้องฟ้าถูกลบหายไป จางเลี่ยถือกระบี่ของเขาไว้และป้องกันฝามือที่ดูแสนธรรมดาจากมู่เพิ่งผู้ที่ทะยานขึ้นฟ้ามาหาเขามันปรากฏว่าฝ่ามือที่ดูธรรมดานี้ เมื่อปะทะเข้ากับความ แข็งแกร่งของเขามันแข็งแกร่งยิ่งกว่าจางเลี่ย
ปรากฏการณ์ลึกลับนั้นไม่ได้ถูกทําลาย แต่มันเรียกได้ว่าถูกป้องกันเอาไว้เขาได้กดดันจางเลี่ยไปถึงจุดที่ไม่กล้าที่ใช้ปรากฎการณ์ลึกลับอีกต่อไป
พวกเขาทั้งสองไม่ได้ความแข็งแกร่งเต็มกําลังของพวกเขาเข้าน้ํานั่นกันมันยังไม่ได้ไปถึงจุกสําคัญของการต่อสู้,พวกเขายังคงลองฝีมือกันอยู่เท่านั้น แน่นอน,หากพวกเขาสบโอกาส,พวกเขาเต็มใจที่จะซัดฝ่ายตรงข้ามให้ร่วง
จางเลี่ยถือกระบี่ของเขาไว้และถอยกลับ เขากระโดดเปลี่ยนที่ยืนไปหลายครั้งก่อนที่จะตั้งตัวได้ ช่างบังเอิญ.เขาลงจอดไม่ไกลจากสานุศิษย์ยอดเขาเขียนตัวนมากนัก
เมื่อจางเลี่ยมองเห็นมู่เพิ่งลงจอดได้อย่างมั่นคง,เขาตกใจเล็กน้อยในตอนที่พวกเขาลองพลังกัน,เขาเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบแม้ว่าเขาจะใช้ความแข็งแกร่งของเขาแค่สามในสิบส่วน,มันก็เป็นไปได้ว่าฝายต่อข้ามก็เช่นกัน
การโจมตีของมู่เหิงไม่ได้มีสีสันอลังการแม้แต่น้อย;เขายังไม่ได้ใช้ทักษะต่อสู้เสียด้วยซ้ํา สองสามกระบวณท่าที่เขาจูโจมเข้ามาพึ่งพาเพียงพลังร่างกายอย่างเดียวเท่านั้น
“เจ้ายังอยากจะสู้อีก? ข้ายินดีจะเป็นคู่มือให้ทุกเมื่อ” มู่เพิ่งเปิดปากพูดออกมาเป็นครั้งแรก พร้อมกับจ้องมองไปที่จางเลี่ย
ต่อสู้ต่อไปเช่นนี้ไม่ใช้เรื่องฉลาด, พวกเขายังไม่ได้ไปถึงสนามประลองสุดท้าย หากพวกเขาทั้งคู่บาดเจ็บขึ้นมา,มันจะเป็นประโยชน์ให้ กับคนอื่นๆจางเลี่ยครุ่นคิดผลได้ผลเสีย
“ฟู ฟิว!”
ก่อนที่จางเลี่ยจะได้กล่าวอะไร,เกาหยางแห่งยอดเขาเขียนหยุน,ดึงกระบี่ใหญ่ของเขาออกมาด้วยมือขวา เขาทิ้งภาพติดตาไว้ก่อนในอากาศและเคลื่อนไหวเผชิญหน้ากับจางเลี่ย
เกิดเสียงบูมดังขึ้นในอากาศ,ความเร็วของคนผู้นี้เกือบจะเทียบเท่ากับความเร็วเสียง เขาก้าวผ่านระยะหลายร้อยเมตรเข้ามาในพริบตา
กระบี่ใหญ่และหนักอึ้งฟันลงไปที่จางเสี่ย มันคาดเดาไม่ถึงโดยสิ้นเชิง,เกาหยางไม่เผยเจตนาฆ่าฟันออกมาแม้แต่น้อยเมื่อก่อนหน้า
ในจังหวะที่จางเลี่ยสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าฟันและเสียงบูม,กระบี่ใหญ่ก็อยู่ห่างจากหัวของเขาไปเพียงหนึ่งเซนติเมตร
จางเลี่ย ผู้ที่บรรลุถึงเจตนารมณ์แห่งดาบ,มีสัมผัสที่เฉียบคมยิ่งกว่าผู้บ่มเพาะพลังทั่วไป ในจังหวะที่กระบี่ใหญ่กําลังจะฟันถึงเขา เขากระทืบพื้นลงบนหอกแหลมใต้เท้าอย่างรุนแรง หอกนั้นจมลงไปพร้อมกับเสียง “หวง”
ร่างของจางเลี่ยก็จมลงไปพร้อมกับหอก ผมที่พริ้วไหวของเขาถูกกระบี่เฉือนออก ผมของเขาในตอนนี้ปลิวไปทั่วทั้งพื้นที่เขาหลบกระบี่นี้ได้อย่างฉิวเฉียด
เมื่อการลงมือของเกาหยางไม่สําเร็จ เขารีบชักกระบี่คืนและถอยกลับอย่างรวดเร็ว เขาถอยกลับไปยังที่ที่สานุศิษย์ยอดเขาเขียนต้ วนยืนอยู่มีความสงบนิ่งบนใบหน้าของเขาไม่มีสัญญาณใดๆแสดงออกมา
“เจ้ากล้าลอบกัดข้า!” จางเลี่ยหันมาและตะโกนอย่างเกรี้ยวโกรธไปที่เกาหยาง
“ศิษย์น้องจางเจ้าเป็นเช่นไร!” หรู่จึงถามอย่างเป็นกังวลหลังจากที่เขานํากลุ่มสานุศิษย์ยอดเขาเทียนเยวตรงเข้ามา
จางเลี่ยลงจอดบนหอกอีกเล่มและรวบผมที่สั้นลงของเขา เขาเผยเจตนาฆ่าฟันพร้อมกับดวงตาที่จ้องมองไปทางเกาอยางและ กล่าวขึ้น “ข้าไม่เป็นไรอย่างไรก็ตาม,มีบางคนกําลังจะเจอปัญหา”
เกาหยางไม่ได้ตระหนกหรือตื่นกลัว ใบหน้าอันห้าวหาญของเขาเผยรอยยิ้มขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปทางมู่เหิงและเซี่ยวเฉิน เขากล่าวขึ้น “ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า เป็นเขา แล้วก็เขาเขา!”
“หากเจ้าไม่อยากจะเก็บไพ่ตายไว้จนถึงด่านสนามประลองเข้ามาซัดกับข้าได้”
ภายใต้เบื้องหน้าที่ห้าวหาญของเขา,เกาหยางมีสัมผัสที่เฉียบคมเขาสามารถชั่งผลได้ผลเสีย,อ่านสถานการณ์ได้อย่างทันที
จางเลี่ยสูดจมูกเย็นชา “ไพ่ตาย? เจ้าคู่ควรที่จะทําให้ข้าเผยไพ่ตายออกมา?”
“เสี้ยว!”
เส้นกระบี่ฉีสองสามเล่มปรากฏขึ้นในทันที, ฟาดผ่าอากาศและสร้างคลื่นกระแทก พวกมันถูกยิงไปที่หัวของเกาหยาง
“เคร้ง! เคร้ง!”
กระบีใหญ่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว,ป้องกันด้านหน้าของเกาหยางไว้ มันปัดป้องกระบี่ฉีที่บินเข้ามา แต่เขาได้ประเมินพลังขอ งมันต่ําไป
เมื่อกระบี่ฉีซัดเข้าที่คมกระบี่ของเขา,เล่มกระบี่สั่นอย่างต่อเนื่องเกาหยางรู้สึกชาไปทั้งแขน,และเขาเกือบที่จะทํากระบี่ตกลงไป ดังนั้นเขาจึงรีบจับด้ามกระบี่เอาไว้ด้วยมือสองข้าง
เมื่อจางเลี่ยเห็นสถานการณ์ดังนั้นเขาหัวเราะอย่างเย็นชา “ด้วยความแข็งแกร่งกระจ้อยร่อยของเจ้าเจ้ายังกล้าที่จะมาเผยไพ่ตายของข้า?เจ้าวางตัวสูงส่งเกินไปแล้ว!”