Immortal and Martial Dual Cultivation
ตอนที่ 232 สนามประลอง,การต่อสู้จัดอันดับ
เวทีสําหรับการประลองจัดอยู่ตรงกลางของลานฝึกฝน มันไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้นมากนัก;คนส่วนใหญ่ที่พบว่ามีเซี่ยวเฉินเป็นคู่ต่อสู้เลือกที่จะยอมแพ้จากสิบสามในสิบห้ารอบประลอง,เซี่ยวเฉินชนะโดยยังไม่ทันได้สู้
มีเพียงมู่เหิงกับจางเลี่ยเลือกที่จะต่อสู้ ช่างน่าเสียดาย, พวกเขาไม่อาจล้มเซี่ยวเฉินลงได้แม้ว่าจะร่วมมือกันเมื่อสามวันก่อน ในการต่อสู้ตัวต่อตัว,เซี่ยวเฉินใช้ความแข็งแกร่งเพียงหกในสิบส่วน,และเขาก็จบการต่อสู้ลงได้ภายในห้าสิบกระบวณท่า
ในการต่อสู้สิบห้ารอบ,เซี่ยวเฉินชนะขาดลอย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครจะได้อันดับหนึ่งไปครองสําหรับอันดับที่สอง,จะต้องตัด สินกันระหว่างมู่เหิงกับจางเลี่ย
ความแข็งแกร่งของพวกเขาทัดเทียมกันหลังจากที่ประมือกันมาเป็นเวลานาน,พวกเขาก็ยังตัดสินแพ้ชนะไม่ได้ ท้ายที่สุด,มู่เพิ่งพึ่งพาความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาและชนะการต่อสู้ครั้งนี้ไป,ล้มจางเลี่ยคว้าเอาอันดับสองมาครอง
การต่อสู้ทั้งหมดจบลงประมาณช่วงบ่ายของวัน;สานุศิษย์แก่นของของปีนี้ในที่สุดก็ถูกคัดเลือกเรียบร้อย หลิวสุยเฟิงคว้าเอาอันดับสิบมาอย่างฉิวเฉียด:ความปรารถนาของเขาก็เป็นจริงในที่สุด
“ไปพักผ่อนซะ หลังจากที่การต่อสู้จัดอันดับของสานุศิษย์แก่นกลางสิ้นสุดลง,พวกเจ้าจะต้องประลองครั้งสุดท้ายกับศิษย์แก่นกลางที่ได้สิบอันดับสุดท้าย” หัวหน้าผู้คุมสอบแจ้งทุกคน
แต่เดิม,เซี่ยวเฉินคิดจะออกไปทันทีหลังจากที่รับรางวัลเรียบร้อยแล้วเมื่อเขาได้ยินคําของหัวหน้าผู้คุมสอบ,เขาหยุดเท้าลง มันก็ไม่เลวเก็ดีที่จะได้เห็นว่าสานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับแรกในรายชื่อเมฆาล่องลอยจะแข็งแกร่งถึงเพียงใด
หัวหน้าผู้คุมสอบได้จัดที่นั่งของเซียวเฉินและสานุศิษย์แก่นกลางหน้าใหม่,แยกพวกเขาออกมาจากสานุศิษย์ชั้นใน
หลังจากนั้น,สานุศิษย์แก่นกลางทั้งห้าร้อยคนก็เดินออกมาอารมณ์ของผู้คนในตอนนี้ถูกจุดติด มันคล้ายกับบรรยากาศของสงครามจัดอันดับในตอนสิ้นปี
อย่างไรก็ตาม,ความเป็นจริง,หากมองอีกมุมหนึ่ง,การต่อสู้ฉับพลันเช่นนี้ก็อาจจะจัดได้ว่าเป็นสงครามจัดอันดับตอนสิ้นปีได้กลายๆ สานุศิษย์แก่นกลางหนึ่งร้อยอันดับแรกโดยพื้นฐานแล้วก็นับได้ว่าเป็นสานุศิษย์หนึ่งร้อยอันดับแรกของศาลากระบี่สวรรค์
จริงที่ต่างออกไปจากสงครามจัดอันดับสิ้นปีก็คือจํานวนผู้เข้าร่วมที่น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด คุณภาพการแข่งขันสูงดังนั้นความดุเดือดค่อนข้างรุนแรง
“เย่เฉิน,ข้ารู้สึกว่า,ด้วยความแข็งแกร่วของเจ้า,หากเจ้าเข้าร่วมการต่อสู้จัดอันดับของสานุศิษย์แก่นกลางในครั้งนี้ เจ้าสามารถขึ้นไปติดสิบอันดับแรกได้” มู่เหิง ผู้ที่อยู่ด้านข้าง,ทันใดนั้นก็แสดงความคิดเห็นขึ้น
จางเลี่ยไม่พอใจเล็กน้อยเขากล่าวขึ้น “เจ้าต้องล้อเล่นเป็นแน่ระดับการบ่มเพาะพลังของสิบอันดับต้นอย่างน้อยก็อยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้น”
“จากระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธไปสู่ระดับขอบเขตนักบุญคืออุปสรรคชิ้นแรกของนักบ่มเพาะพลังทุกคน แม้จะมีผู้ที่ฉายแววหน่อยแต่ความแข็งแกร่งมันต่างกันราวฟ้ากับปฐพี พวกเขาสามารถดึงพลังปราณออกมาโจมตีได้ นอกจากนั้น พลังโจมตีของพวกเขายังแข็งแกร่งอีกหลายเท่า
แน่นอนว่ามีความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงระหว่างระดับปรมาจารย์ยุทธกับนักบุญะจางเลี่ยไม่ได้กล่าวผิดหากระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นสูงสุดล้มระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นต้นหรือแม้กระทั่งขั้นกลางลงได้ มันยังไม่น่าแปลกใจเกินไปนัก
อย่างไรก็ตาม,ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงสุดที่อยากจะล้มผู้ที่เพิ่งก้าวขึ้นสู่ระดับขอบเขตนักบุญ,กล่าวได้ว่ายาก แม้ว่าทวีปเทียนหวี่จะกว้างใหญ่,อัจฉริยะเช่นนั้นนับร้อยปีถึงจะได้เห็นสักคน
หรือไม่, พวกเขาต้องมีจิตวิญญาณยุทธสืบทอดที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดหรือทักษะบ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้เป็นอย่างมากเช่นนั้นพวกเขาถึงจะทําสําเร็จ
ด้วยความแข็งแกร่งของเซี่ยวเฉิน,ในความคิดเห็นของจางเลี่ยเขาสามารถที่จะล้มระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นทั่วไปได้อย่างไรก็ ตาม,ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในสานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับแรกอย่างน้อยที่สุดก็อยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นต่ํา นอกจากนั้น,พวหเขายังมีประสบการณ์กว่าหนึ่งร้อยสนามก่อนที่จะสามารถขึ้นไปสู่สิบอันดับแรก
ระดับมันสูงกว่าขอบเขตนักบุญทั่วไปที่อยู่นอกเทือกเขาทักปะบ่มเพาะพลังของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าระดับขอบเขตนักบุญทั่วไปเป็นอย่างมาก
เซี่ยวเฉินไม่โอนเอียงที่พวกเขาถกเถียงกัน ไม่มีสาระที่จะมาพูดคุยเกี่ยวกับมัน จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อประมือกันจริงๆ มีเพียงประมือกันเท่านั้นที่จะพิสูจน์ได้
มู่เพิ่งมองไปที่จางเลี่ยและกล่าว “สามวันก่อนในตอนที่พวกเราร่วมมือกัน,พวกเราทําให้เซี่ยวดึงมาใช้พลังทั้งหมดหกในสิบส่วนหากเขาต่อสู้โดยไม่มีอ้อมมือ,เขาจะทัดเทียมได้กับระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลาง”
ใช้พลังเพียงหกในสิบส่วน? จางเลี่ยไม่อยากจะเชื่อเมื่อเขาร่วมมือกันมู่เหิง,พวกเขาก็ทักเทียมได้กับระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลางแล้ว
หากเซียวเฉินสามารถจัดการกับพวกเขาได้โดยใช้พลังเพียงหกในสิบส่วน, นั้นหมายความว่าระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลางไม่ใช่คู่มือของเขา?
มันเป็นไปไม่ได้เ เซี่ยวเฉินเป็นเพียงระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงสุด เขาจะต่อสู้ได้อย่างทัดเทียมได้เช่นไร? จางเลี่ยส่ายหัว,ตัดสินใจที่จะไม่พูดถามอะไรอีก
มีสิบสนามประลองบนลานฝึกฝน กฎของการประลองเหมือนกับเมื่อก่อนหน้านี้สะสมแต้ม เก้าสิบอันดับแรกตัดสินกันที่แต้มสะสม
ความแข็งแกร่งของสานุศิษย์แก่นกลางไม่อาจประเมินได้,คนส่วนใหญ่มีชุดไพ่ตายของตัวเอง นอกจากนั้นในฐานะที่เป็นผู้ใช้ กระบี่เช่นกันเซี่ยวเฉินพบว่ามันไม่ได้น่าเบื่อหลังจากดูการประลอง จบไปทีละคู่ๆ เขาคิดเสียว่าได้เปิดหูเปิดตา
อย่างไรก็ตาม ถึงมันจะน่าตื่นตา,แต่ก็ยังไม่น่าตื่นใจ มองดูการประลองที่เหมือนไม่จบไม่สิ้นท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงก็ทําให้คนเบื่อได้
“หยุนเข่อซินแห่งยอดเขาสตรีหยกกําลังจะออกมาแล้วนางติดอันดับหนึ่งในสิบรายชื่อเมฆาล่องลอยทักษะกระบี่ทํานองสวรรค์ของนางไม่อาจป้องกันได้ข้าสงสัยว่าใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของนาง?”
“นางพบกับอันดับที่สิบแปดหยานเฟิง เขามันโหดเหี้ยม,แต่เขาก็ไม่ใช่คู่มือของหยุนเข่อซิน”
“หลังจากนั่งดูมาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็มีคนที่ติดอันดับสิบออกมาข้ากําลังเบื่ออยู่พอดี”
“ข้าก็ด้วย หากไม่ใช่เพราะสิบอันดับต้น,ข้าไม่มา”
ผู้ชมที่กําลังเริ่มเบื่อหน่ายกลายเป็นตื่นตัวขึ้นมาหลังจากที่เห็นหยุนเข่อซิน สามารถได้ยินเสียงพูดคุยถึงการประลองที่กําลังจะเริ่มขึ้น
เซี่ยวเฉินมองไปที่หญิงสาวที่ค่อยๆเดินไปยังสนามประลองหยุนเขาอซินแต่งชุดสีขาว นางจัดได้ว่าไม่ได้สวยมากนักแต่ยังคงชวนน่ามอง,นางดูเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ
นางอยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้น ระดับการบ่มเพาะพลังของนางต่ําที่สุดในสิบอันดับ ทักษะกระบี่ทํานองสวรรค์จะต้องมีอะไรพิเศษมิฉะนั้น,นางไม่น่าจะขึ้นมาติดอันดับหนึ่งในสิบได้,เซี่ยวเฉินวิเคราะห์ในใจของเขา
ทันใดนั้น,เชี่ยวเฉินก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหันไปทางหลิวสุยเฟงด้านข้างของเขาและถามขึ้น “ทําไมข้าไม่เห็นฉ่ซินอวิ่น? นางก็เป็นศิษย์แก่นกลางเช่นกันใช่หรือไม่?”
เมื่อฉ่ซินอวิ่นถูกยกขึ้นมาพูด,รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิวสุยเฟิงในทันที เขาอธิบาย “สถานะศิษย์แก่นกลางของฉ่ซินอวินได้รับมาในฐานะนักปรุงยาของนาง สานุศิษย์ส่วนใหญ่ของยอดเขาสตรีหยกก็เป็นเช่นนั้น;พวกนางได้รับสถานะศิษย์แก่นกลางมาด้ว ยวิธีอื่น”
“มีเพียงเล็กน้อยที่พึ่งความสามารถในการต่อสู้เพื่อกลายเป็นศิษย์แก่นกลางอย่างหยุนเข่อซิน”
เป็นเช่นนั้น ศาลากระบี่สวรรค์ก็มีเหตุผล นักปรุงยามีส่วนรวมในนิกายเป็นอย่างมาก,พวกเขาถูกนับว่าเป็นบุคลากรหา ยาก
“เจ้าดูเหมือนจะคุ้นเคยกับสานุศิษย์ยอดเขาสตรีหยกเจ้าคิดว่าหยุนเข่อซินจะใช้กี่กระบวณท่าในการล้มคู่ต่อสู้ของนาง?” เซี่ยวเฉินยิ้มๆ
หลิวสุยเฟิงหะวเราะเลิกลักและกล่าว “หยุนเข่อซินใช้เวลาส่วนใหญ่ออกไปฝึกฝนภายนอก ภารกิจนิกายที่นางรับก็เป็นสถานที่ห่างไกลข้าเคยพูดคุยกับนางเพียงสองสามครั้ง”
ขณะที่พวกเขากําลังพูดคุยกัน,หยุนเข่อซินและหยานเฟิงก็ก้าวขี้นมาบนสนามประลอง ภายใต้การแนะนําของผู้ตัดสิน, พวกเขายืนอยู่คนละมุม ฝูงชนก็หยุดพูดคุย
“ศิษย์พี่หยุน,ขอเสียมารยาทแล้ว!” หลังจากคํานับกัน,หยานเฟีงกล่าวหยาบๆก่อนที่จะชักระบี่ของเขาออกมา กระบี่ฉีปรากฏขึ้นในทันทีและทะลวงผ่านอากาศ, บินตรงไปที่หยุนเข่อซิน
หยุนเข่อซินไม่ใช่คู่ต่อสู้ทั่วไป ดังนั้น,หยานเฟิงไม่อ้อมมือเขาส่งกระบี่ฉีออกไปหลายเล่มด้วยพลังทั้งหมดของเขา เขาส่งพวกมันบินออกไปหลายมุม:ตัวเขาออกก็พุ่งออกไปด้วยเช่นกัน
มีแสงสีขาววูบไหวและหยุนเข่อซินลอยกลับหลังไปไกล,ราวกับว่านางรอขนนกบางเบา ร่างของนางอ่อนช้อยมันราวกับว่าร่างของ นางไร้ซึ่งกระดูกนางหลบเลี่ยงกระบี่ฉีที่พุ่งเข้ามาได้อย่างง่ายดาย
หยานเฟิงยิ้มขึ้นบางเบาพร้อมกับปรากฏตัวขึ้นในจุดที่หยุนเข่อซินลงถึงพื้น “ข้าคาดเดาไว้แล้วว่าเจ้าจะต้องลงมาตรงนี้นี่คือกระบวณท่าสังหารที่แท้จริงของข้า! ฟันไขว้หลายมิติ!”
หยานเฟิงสะบัดข้อมือและคบกระบี่ฉีรูปกากบาทก็ลอยผ่านอากาศไปอย่างรวดเร็ว รอยแตกปรากฏขึ้นทั่วทุกที่ที่กระบี่ฉีกากบาทวาดผ่านไป,แสดงถึงพลังของกระบวณท่านี้
การโจมตีนี้ช่างแม่นยํามันลงไปตรงที่หยุนเข่อซินลงจอดอย่างประจวบเหมาะ นางอยากจะเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศ,แต่มันก็ยากลําบากอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้ว่านาวจะหลบได้,แต่นางก็จะตกลงสู่ตําแหน่งเสียเปรียบ
อย่างไรก็ตาม, หยุนเข่อซินมีสีหน้านิ่งสงบ ทันใดนั้นนางก็ทิ้งตัวลงแนวดิ่ง,ราวกับใบไม้ตกลงสู่พื้นที่ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นแท่ง โลหะในทันทีมันแปลกประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อใช้ความเร็วตกลงพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างกระทันหัน,ทันทีที่หยุนเข่อซินลงถึงพื้น,นางกดเท้าดีดตัวออกจากพื้นก่อนที่กระบี่ฉีกากบาทจะมาโดนนางเคลื่อนไหวไปหลายสิบเมตร,หลบการโจมตีของหยานเฟิงได้อย่างง่ายดาย
“ทักษะเคลื่อนไหวยอดเยี่ยม เคลื่อนไหวเหมือนกับนกนางแอ่นในพริบตา,บางเบาราวกับขนนก,และจาก นั้นก็หนักแน่น, หนักแน่นราวกับหินผานอกจากนั้น,นางยังเปลี่ยน ไปมาระหว่างสองสภาวะได้ในทันที”เมื่อเซี่ยวเฉินเห็นฉากนี้เขาอด ไม่ได้ที่จะกล่าวชมนาง
หลิวสุยเฟิงกล่าว “นี่เป็นหนึ่งในทักษะเคลื่อนไหวระดับปฐพี่ที่หากยากของศลากระบี่สวรรค์ ทักษะเมฆาอัสนีคําราม มีเพียงผู้สีบทอดที่แท้จริงกับผู้มีพรสวรรค์เป็นพิเศษเท่านั้นที่มีสิทธิ์จะได้ ฝึกฝนมันอย่างไรก็ตามเพื่อที่จะสําเร็จมันให้ได้มันต้องการใช้ ความสามารถในการเข้าใจที่สูงมาก”
เมื่อหยางเฟิงเห็นหยุนเข่อซินหลบเลี่ยงแผนที่เขาวางเอาไว้อย่างพิถีพิถัน,เขาเผยให้เห็นความผิดหวังเล็กน้อย เขาตะโกนและร่างของเขาก็ทิ้งภาพติดไว้ในอากาศ,ฟันลงไปที่หยุนเข่อซินด้วยกระบี่ของเขา
“แคร้ง!”
ในครั้งนี้ หยุนเข่อซินไม่เลือกที่จะหลบเลี่ยง,นางไม่แม้แต่ที่จะชักกระบี่ออกมาจากฝัก,กวาดมันขึ้นไปโดยตรง เมื่อกระบี่ลงมากระทบเข้ากับมัน,มันส่งเสียงที่ไพเราะออกมา หยุนเขาอซินตั้งรับไว้ได้โดยไม่ถูกดันกลับหลัง
หยานเฟิงเผยสีหน้าเดือดาลเมื่อเขาเห็นว่าหยุนเข่อซินไม่แม้แต่จะชักกระบี่ออกมา เขากล่าว “ศิษย์พี่หยุน,หลังจากไม่ได้เจอเจ้ามาครึ่งปี,ข้าไม่แม้แต่จะมีคุณสมบัติพอที่จะให้เจ้าชักกระบี่ออกมา?”
หยุนเข่อซินกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “อย่าวอกแวก หากนี้เป็นการต่อสู้ถึงตายเจ้าตายไปเรียบร้อยแล้ว!”
หยุนเข่อซุนที่ดูไม่แยแสทําให้หยานเฟิงเดือด เขาตะโกนและอกระบี่เอาไว้ด้วยสองมือ กระบี่แสงยาวสองเมตรถูกจุดขึ้นมาบนคมกระบี่,กดดันหยุนเข่อซินไม่หยุดหย่อน
“ชิ! ชิ!”
หยุนเข่อซินไม่สามารถต้านทานพลังกดดันมหาศาลนี้ได้ ผ่านไปครู่หนึ่ง,ร่างของนางก็ถูกดันไปที่ขอบสนาม หากนางตกลงไป,นางจะแพ้ในรอบนี้
“เจ้ายังจะเก็บกระบุไว้ในฝักหรือไม่? เช่นนั้นก็ร่วงไปซะ!”หยานเฟิงตะโกนและเร่งกระแสพลังของเขาขึ้นสูงสุดในทันที เขาซัดหยุนเข่อซินลอยกลับหลังไป
เหมือนก่อนหน้าเสีหน้าของหยุนเข่อซินไม่ได้ตื่นตระหนกนางจับด้ามกระบี่ของนางด้วยมือขวาและค่อยๆชักกระบี่ออกมาเล็กน้อย