Immortal and Martial Dual Cultivation
ตอนที่ 239 เครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์
ทันทีที่กระบี่หลุดออกจากฝัก,เซี่ยวเฉินรู้สึกได้ถึงรูปแบบซับซ้อนมากมายภายในกระบี่เงาจันทร์ ลวดลายรูปแบบหนาแน่นเกี่ยวโยงราวกับใยแมงมุม
มีแสงรุ่งโรจน์ในตรงกลางของรูปแบบ มันดูราวกับพร้อมจะระเบิดออกมาในทุกเมื่อ เซี่ยวเฉินเข้าใจได้ในทันทีที่หลิวเทียนยู่กล่าว “เจ้าจะเข้าใจถึงวิธีมช้ออกกระบวณท่านั้นเมื่อเจ้าลืมตาขึ้น”
ความลับอยู่ที่ใจกลางของรูปแบบค่ายกล เมื่อเขาทําให้แสงรุ่งโรจน์นี้ระเบิดออก,เขาจะสามารถใช้ออกกระบวณท่านั้นได้เชี่ยวเฉินทดลองดูเล็กน้อยเขาขยายสัมผัสวิญญาณของเขาเข้าไปข้างในและสัมผัสมันอย่างอ่อนโยน
“ชี ชี!” พลังงานอันน่ากลัวไหลทะลักออกมาจากจุดศูนย์กลางของค่ายกลในทันที, ขยายไปพื้นที่โดยรอบ ค่ายกลที่เหมือนกับโยงใยแมงมุมเริ่มเรืองแสงออกมาเล็กน้อย
เซี่ยวเฉินตกตะลึงและรีบถอนสัมผัสวิญญาณของเขากลับมาพลังงานบนค่ายกลแตกสลายในทันที “เช่นนั้นนี่ก็คือวิธีการใช้งานมันใช้สัมผัสวิญญาณของข้าเหมือนกับตัวจุดระเบิด”
เซี่ยวเฉินเก็บกระบี่เงาจันทร์กลับเข้าใก,ตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างสัมผัสวิญญาณของเขาและค่ายกลประหลาดนั้นในทันทีเซี่ยวเฉินมองไปที่ฝึกกระบี่และส่ายหัวพร้อมกับพึมพํากับตัวเอง “ช่างเป็นฝักกระบี่ที่แปลกประหลาดข้าควรเปลี่ยนเป็นอันใหม่เสีย”
เมื่อท้องฟ้าส่องแสงสว่าง,หลิวหรูเยว่ได้มาที่ลานบ้านของเซี่ยวเฉิน,มองหาตัวเขา จากนั้นเขาก็บอกกล่าวถึงเหตุผลที่นางมา
เซี่ยวเฉินตกตะลึงเล็กน้อย เขากล่าว “พี่สาวหรูเยว่เจ้าก็ต้องเข้าร่วมภารกิจนี้เช่นกัน”
หลิวหรูเยส่หัวเราะร่าและกล่าว “กฎของภารกิจนี้ก็คือะผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่อายุน้อยกว่า 24 ปีภายในศาลากระบี่สวรรค์จะต้องเข้าร่วมข้าเกือบจะไม่ผ่านเกณฑ์อยู่แล้ว ข้าเริ่มมีอายุ ภารกิจนี้ส่วน ใหญ่จะมีเพียงคนเช่นเจ้า,คนที่อายุราวๆสิบแปดสิบเก้าปี”
เซี่ยวเฉินเกาจมูกและกล่าว “พี่สาวหรูเยว่…ตามจริงเจ้ายังคงดูเหมือนอายุสิบแปดหรือสิบเก้า นอกจากนั้นเจ้ายังมีนิสัยคารมที่สาวน้อยพวกนั้นไม่มี
หลิวหรูเยวขวยเขินเล็กน้อยและมองไปทางเซี่ยวเฉินอย่างประหลาดใจ นางกล่าว “ช่างน่าประหลาดใจ ข้าคิดว่าข้าไม่เคยได้เห็นเจ้ายอสาวมาก่อนเจ้าใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนบ่มเพาะพลังแทบจะไม่เห็นเจ้าพูดคุยด้วยซ้ํา”
เจ้าควรเร่งบ่มเพาะพลังเข้าเอย่าหมกมุ่นเกินไปนักมิฉะนั้น เจ้าอาจจะก่อเกิดปีศาจขึ้นในใจในอนาคต”
เมื่อเซี่ยวเฉินได้ยินเช่นนั้น,เขาอึ้งไปเล็กน้อย ด้วยลักษณะนิสัยของเขาที่มักจะสงบเสงี่ยม ในโลกเดิมของเขา เขาก็ไม่ค่อยจะได้สนทนาอะไรเป็นเวลานานอยู่แล้ว หลังจากที่เขาเข้ามาในโลกที่โหดร้ายแห่งนี้นิสัยของเขายิ่งกลายเป็นเงียบขรึมยิ่งขึ้นไปอีก
ไม่ต้องพูดคุยโดยไม่จําเป็นไม่ต้องทําสิ่งที่ไม่สําคัญ นี่เป็นหลักการของเขามาโดยตลอดในการรับมือกับผู้คน ในวันนี้เขากล่าวสิ่งที่ไม่เคยมาก่อนและพูดจาเกี่ยวหรูเยว่อย่างโจ่งแจ้ง แม้แต่ตัวเขายังประหลาดใจ
เชี่ยวเฉินไม่คิดจะไปเสียเวลามากกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “รายละเอียดของภารกิจคืออะไรกันแน่? พี่สาวหรูเยว่ เจ้าได้ข่าวอะไรมาบ้างหรือไม่?”
หลิวหรูเยวส่ายหัวและกล่าว “ข้าไม่ได้ข่าวอะไรมาชัดเจนเช่นกันข้ารู้เพียงแต่ว่าผู้นําการปฏิบัติการในครั้งนี้คือลู่เฉิน ลู่เฉินที่เจ้าเคยพบแล้วในห้องโถงเมฆาหวนคืน”
“ลู่เฉิน?” เซี่ยวเฉินมีความรู้สึกลึกล้ํากับคนผู้นี้ “เขาอายุเพียง24 ปี? หรือว่าเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าพี่สาวหรูเยว่เสียอีก?”
ในเมื่อลู่เฉินคือผู้รับผิดชอบภารกิจ,ระดับการบ่มเพาะพลังของเขาจะต้องสูงกว่าทุกคน ระดับการบ่มเพาะพลังของหลิวหรูเยว่ก็น่ากลัวมากพออยู่แล้วลู่เฉินยังจะน่ากลัวยิ่งกว่าหลิวหรูเยว่
หลิวหรูเยวพยักหน้าและกล่าว “ระดับการบ่มเพาะพลังของเขาแทบจะอยู่ในระดับเดียวกับข้า อย่างไรก็ตาม,ทักษะต่อสู้ที่เขาฝึกฝนค่อนข้างพิเศษ ดังนั้น ความสามารถในการต่อสู้ของเขาจึงสูงกว่าข้าเล็กน้อย,เขาอายุน้อยกว่าข้าอีกหนึ่งปี”
เซี่ยวเฉินรู้สึกละอายใจ เขาอายุเพียง 23 ปีและกําลังจะกลายเป็นระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธ เดิมที เซียวเฉินคิดว่านอกจากหลิวหรูเยวแล้วจะไม่มีอัจฉริยะอื่นที่มีความสามารถระดับเดียวกันนี้
มันเป็นอย่างที่ผู้อายุโสแห่งโถงคุณความชอบกล่าวพรสวรรค์มีค่าน้อยที่สุดภายในศาลากระบี่สวรรค์แห่งนี้
เมื่อหลิวหรูเยว่เห็นสีหน้าหดหูใจของเซี่ยวเฉิน,นางก็ปลอบเขา“ไม่จําเป็นต้องท้อแท้ ลู่เฉินได้รับการเลี้ยงดูเพื่อให้เป็นผู้นําคนต่อไปของค่ายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ เขาได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดในศาลากระบี่สวรรค์ เม็ดยา,หินวิญญาณ,ทักษะลับ,และทหารที่พร้อมจะตายเพื่อเขาในการบ่มเพาะพลัง มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจไปแข็งด้วย
ได้”
เซี่ยวเฉินเข้าใจถึงความน่ากลัวของค่ายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นานมาแล้วพวกเขานับได้ว่าเป็นกองกําลังชั้นสูงแห่งศาลากระบี่สวรรค์,แนวป้องกันด่านสุดท้าย มันเป็นธรรมดาที่ผู้นําคนต่อไปจะต้องมีระดับการบ่มเพาะพลังที่แข็วแกร่ง
“ซี่ ซี่!”
วิหคสีเขียวบินวนอยู่เหนือหัวของพวกเขาก่อนที่จะลงจอด หลิวหรูเยสส่งสัญญาณบอกให้เซี่ยวเฉินกระโดดขึ้นมาจากนั้นพวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังฐานส่องสวรรค์
ฝีมือการขับขี่วิหคของหลิวหรูเยว่เยี่ยมกว่าหลิวสุยเฟิงแย่างเหณได้ชัดพวกเขาใช้เวลาเพียงหนึ่งในสี่เดินทางไปยังลานฝึกฝนของฐานส่องสวรรค์
มีคนไม่มากนักภายในลานฝึกฝน ไม่มีคนบนที่นั่งคนดูรอบๆมันว่างเปล่า
ไม่นานนักหลังจากที่พวกเขาลงจอด มีผู้อาวุโสมานําทางหลิวหรูเยว่ออกไป เซี่ยวเฉินมองดูขณะที่นางจากไป เขาครุ่นคิดกับตัว เอง,มันดูเหมือนหลิวหรูเยวจะรู้เกี่ยวกับรายละเอียดเกี่ยวกับภารกิจ มาล่วงหน้า
“เย่เฉิน! เจ้ามาถึงนานหรือยัง?” ไม่นานหลังจากที่หลิวหรูเยว่จากไป.สองคนที่คุ้นเคยก็เดินเข้ามาหาเซี่ยวเฉิน พวกเขาคือมู่เพิ่งและจางเลี่ย.ผู้ที่มาถึงก่อนเวลามาก
เซี่ยวเฉินประหลาดใจเล็กน้อยที่พวกเขาทั้งสองเดินมาด้วยกัน “ข้าเพิ่งจะมาถึงพวกเจ้าได้ยินอะไรมาบ้างเกี่ยวกับภารกิจนี้”
หลิวเทียนยู่เพียงข้อมูลให้เซี่ยวเฉินเพียงเล็กน้อย เซี่ยวเฉินแทบจะจับใจความไม่ได้เลย ทั้งสองคนนี้มีสถานะไม่ธรรมดา,พวกเขาบางที่อาจจะได้รับข่าวภายในมาบ้าง
มู่เหิงสีหน้ามืดมัวพร้อมกับกล่าว “พ่อของข้าไม่ได้เผยข้อมูลอะไรมาให้มากนัก อย่างไรก็ตาม,เขาให้เพียงคําใบ้เก้าในสิบถึงฆาตเพียงหนึ่งรอดชีวิต”
นั้นก็ไม่ได้เป็นข้อมูลมากมายอะไร:เซี่ยวเฉินผิดหวังเล็กน้อย มันไม่ได้มากกว่าจากที่เขารู้ “ในเมื่อมันอันตราย,ทําไมพ่อของเจ้าถึงยังกล้าส่งเจ้ามา?”
เมื่องูเหิงได้ยินดังนั้นเขาหยิบเอาเครื่องรางออกมา “นี่คือเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ มันสามารถทะลุผ่านมิติได้ทันทีจางเลี้ยก็มีด้วยหนึ่งอันเช่นกัน”
เครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เซี่ยวเฉินเคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาก่อนต้นกําเนิดของมันมาจากอาณาจักรต้าจินและเป็นสิ่งที่มักจะขาดแคลนอยู่ตลอด โดยปกติ เมื่อมีออกมาสักหนึ่งอันในอาณาจักต้าฉิน,มันจะถูกซื้อไปโดยทันที เขาไม่คาดคิดว่าทั้งสองจะมีมาคนละอัน
ด้วยเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์, พวกเขาจะสามารถรักษาชีวิตของพวกเขาเอาไว้ได้ในจังหวะสําคัญ ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขากล้าที่จะเข้าร่วมภารกิจที่อันตรายเช่นนี้ พวกเขาได้เตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้นานแล้ว
มู่เหิงกล่าวต่อ “ข่าวที่ข้าได้ยินมาคือจํานวนเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจํานวนจํากัด นอกจากสิบอันดับสานุศิษย์แก่นกลางบน รายชื่อเมฆาล่องลอย,สภาสูงของศาลากระบี่สวรรค์ไม่ได้จ่ายเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ให้กะบคนอื่นอีก”
เซี่ยวเฉินเข้าใจได้เลยว่าทําไม เป็นการคัดเลือกโดยธรรมชาติผู้ที่โดดเด่นจะได้รับการดูแลรักษาเป็นพิเศษ เป็นเหมือนกันหมดทุกที่ไม่ว่าจะโลกไหน
ด้วยสถานะของหลิวเทียนยู่,เขาสามารถหาเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์มาได้ อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้มอบให้กับเซี่ยวเฉินสักอัน? เหตุผลไม่ยากที่จะตชคาดเดา
TLะไม่มีบอกแต่คงให้หลิวหรูเยวไปครับ
จางเลี่ยผู้ที่เงียบมาตลอด ทันใดนั้นก็กล่าวขึ้น “เย่เฉินเจ้าทะลวงขึ้นระดับขอบเขตนักบุญ?”
เซี่ยวเฉินพยักหน้าและยิ้ม “ไม่ใช่ว่าเจ้าก็เช่นกัน?”
เมื่อจางเลี่ยได้ยินเช่นนั้น เขายิ้มขมๆ “ข้าคิดไว้ว่าการกาวขึ้นสู่ระดับขอบเขตนักบุญเข้าจะสามารถนําหน้าเจ้าไปได้สักเล็กน้อยใครจะรู้ว่าเจ้าก็ขึ้นสู่ระดับขอบเขตนักบุญเช่นกัน?”
ผู้คนเริ่มมาถึงที่ลานฝึกฝนทีละคนๆ สภาสูงเข้ามาพาตัวสิบอันดับขึ้นของอันดับเมฆาล่องลอยในทันทีที่พวกเขามาถึงเป็นไปได้ว่าพวกเขากําลังแจกจ่ายเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์
พวกเขาทั้งสามพูดคุยกันต่อไปอีกเป็นเวลานาน,แลกเปลี่ยนความเข้าใจและประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขามีพรสวรรค์ที่น่าปนะทับใจและเข้าใจถึงทักษะกระบี่
หลังจากที่พวกเขาได้พูดคุยกันแล้ว,พวกเขาทั้งสามรู้สึกว่าได้รับประโยชน์อย่างมาก มีคําถามมากมายที่โดยปกติพวกเขาคิดไม่ตก,แต่พวกเขาสามารถไขได้หลังจากนี้
โดยเฉพาะเซี่ยวเฉินและจางเลี่ย พวกเขาทั้งสองได้ฝึกฝนทักษะกระบี่หลิงหยุนไปสู่ระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตาม, พวกเข้าใจของพวกเขาต่างกันออกไป หลังจากที่ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ของพวกเขา,พวกเขาได้เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีก
“เย่เฉิน,มาทางนี้สักครู่ ข้ามีเรื่องที่ต้องพูดกับเจ้า”
เสียงเพาะพริ้งของหลิวหรูเยว่ดังมาจากด้านหน้า เซี่ยวเฉินขอผละตัวออกมาจากทั้งสองคนและรีบเดินตรงเข้ามา
หลิวหรูเยวมีสีหน้าจริงจังกว่าปกติ นางนําทางเซียวเฉินไปยังที่ลับตาจากนั้น,นางก็หยิบเอาเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมา“นี่คือเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์มันสามารถช่วยชีวิตเจ้าในยามคับขัน”
เซียวเฉินค่อนข้างตกตะลึงเขาไม่คาดคิดว่าหลิวหรูเยว่จะมอบเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ให้กับเขา อย่างไรก็ตาม ถึงแม้หลิวหรูเยว่จะไม่ได้ให้เครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์กับเขา,เขาก็มีหนทางอื่นเตรียมไว้อยู่แล้ว
เซี่ยวเฉินส่ายหัวและปฏิเสธที่จะรับ “เจ้าจะต้องมีเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์เพียงชิ้นเดียว เจ้าควรที่จะเก็บเอาไว้เอง ข้ามีทักษะเคลื่อนไหวเอาไว้หลบหนีมันก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
หลิวหรูเยวคิ้วขมวดและกล่าวอย่างปนโกรธเล็กน้อย “เจ้าจะกล่าวว่าทักษะเคลื่อนไหวของเจ้าดียิ่งกว่าของข้า? ตอนนี้ที่เจ้าแข็งแกร่งขึ้น,เจ้าก็มองแคลนอาจารย์ของเจ้าแล้ว?”
เซี่ยวเฉินไม่รู้จะทําเช่นไร เขารีบอธิบาย “ไม่เข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นข้าจะบอกว่า…”
“หยุดแก้ตัวได้แล้ว หากข้าให้เจ้ารับไป ก็รับไปเสีย มิฉะนั้น,ข้าจะโกรธจริง” ความอดทนของหลิวหรูเยว่เริ่มบางเบา
เซี่ยวเฉินทําได้เพียงรับเอาเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่หลิวหรูเยวส่งมาอย่างช่วยไม่ได้ “ขอบใจเจ้ามาก,พี่สาวหรูเยว!”
หลังจากที่หลิวหรูเยว่เห็นเซี่ยวเฉินรับเอาเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไปเสีหน้าของนางกลับมาเป็นอบอุ่นทันที นางกล่าว “ต้องอย่างนั้นข้าไม่อาจอยู่ริดกับเจ้าได้ในภารกิจนี้ ข้าได้รับข่าวมาบ้างมีจํานวนคนทั้งหมดหนึ่งร้อยคนเข้าร่วมในภารกิจนี้”
“เจ้าจะถูกแบ่งออกเป็นสิบทีมแต่ละทีมมีสิบคน สิบอันดับต้นของอันดับเมฆาล่องลอยจะเป็นผู้นําทีม ภารกิจนี้อันตรายเป็นอย่างมากเจ้าต้องระวังตัวเอาไว้”
หลังจากที่หลิวหรูเยว่กล่าวจบ,นางจากเซี่ยวเฉินไปอย่างเร็วเห็นชัดว่านางกําลังเร่งรีบ
เซี่ยวเฉินครุ่นคิดกับตัวเอง,ดูเหมือนว่าหลิวหรูเยาจะรู้อยู่แล้วถึงรายละเอียดของภารกิจนี้ ดูจากความเร่งรีบของนาง,ภารกิจนี้จะต้องอันตรายยิ่งกว่าที่ข้าคิดเอาไว้
เมื่อเซี่ยวเฉินกลับไปที่ลานฝึกฝน,มู่เหิงและจางเลี่ยกวักมือเรียกเขาในทันที,ส่งสัญญาณให้เขาเข้าไปหา เซี่ยวเฉินพยักหน้าและรีบเดินตรงไป
บนลานฝึกฝน,ทั้งหมดหนึ่งร้อยคนที่เข้าร่วมภารกิจได้มารวมตัวกันคนของสภาสูงดูเหมือนกําลังถกเถียงอะไรบางอย่างอย่างจดจ่อบนฐานสูง
ทันใดนั้นเอง,จางเลี่ยก็กระซิบถาม “เย่เฉิน,อาจารย์ของเจ้าได้เผยข้อมูลอะไรมาบ้างหรือไม่? ข้าเห็นนางยืนอยู่กับผู้อาวุโส,นางจะต้องรู้อะไรบ้าง,ใช้ไหม!”
เมื่อมู่เพิ่งได้ยินดังนั้น,เขามองเซี่ยวเฉินยอ่างอยากรู้ เซี่ยวเฉินสายหัวและกล่าว “นางไม่ได้พูดอะไร นางเพียงมอบเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ให้กับข้า อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะต้องแบ่งกลุ่ม: พวกเขาจะเผยคําตอบในอีกไม่นาน”
มู่เพิ่งหยักหน้าและกล่าว “จริงไร้สาระที่พวกเขาจะคาดเดากันไปเองพวกเราไม่อาจได้คําตอบใดๆพวกเขาควรรออย่างใจเย็น”
หลังจากรอคอยมานาน ก็ยังไม่มีข่าวอะไรเข้ามา ผู้คนในลานฝึกฝนเริ่มหมดความอดทน เมื่อเสียงถกเถียงเข้ามารวมกันมันช่างหนวกหู
เขี้ยวเฉินเอียงหูฟังอยู่ครู่หนึ่งพวกเขาทั้งหมดต่างคาดเดากันถึงเนื้อหาของภารกิจที่น่าประหลาดใจก็คือมีคนจํานวนมากมีสามารถคาดเดาได้ถูกทาง
บนฐานสูง,การถกเถียงพูดคุยจบลง ผู้อาวุโสหนึ่งแห่งสภาสูง,เจียงชื่อได้ยินเสียงหนวกหูจากลานฝึกฝนก็คิ้วขมวดเล็กน้อย“เงียบ!”