หลังจากที่เขาอาบน้ำแต่งตัวเป็นชุดใหม่ เขาทิ้งตัวลงบนเตียงของเขาพร้อมหยิบตำราปรุงยาเบื้องต้นขึ้นมาอ่าน นอนอ่านหนังสือเป็นนิสัยของเขาที่ติดมาจากโลกที่เขามา เขาไม่คิดจะเปลี่ยนนิสัยนี้ถึงแม้ว่าเขาจะข้ามมาในโลกนี้ก็ตาม หากมีผู้คนมาเห็นเขาในตอนนี้คงประหลาดใจไม่น้อย
นักปรุงยาเป็นอาชีพที่ได้รับความนับถือที่สุดในทวีปเทียนวู่ ความนับถือนี้มาจากเม็ดยานั้นสามารถรักษาบาดแผล เม็ดยาที่สามารถเปลี่ยนแปลงความสามารถในการบ่มเพาะพลัง และเม็ดยาที่สามารถเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะพลัง
นักปรุงยานั้นได้รับความสนใจจากนักบ่มเพาะพลังทุกคน นักปรุงยาหาตัวได้ยากและเป็นที่ต้องการมาก ทำให้อาชีพนี้ได้รับความนับถือมากกว่าอาชีพอื่น
เซียวเฉินพลิกตำราไปทีละหน้าทีละหน้า ตำราปรุงยาเบื้องต้นนี้ไม่ได้หนามากเพียงสิบหน้าก็จบ เซียวเฉินอ่านจบในเวลาไม่นาน
มันเป็นแค่ตำราเบื้องต้นอย่างแท้จริง ไม่มีเนื้อหาสำคัญข้างในเป็นแค่สรุปสั้นๆเกี่ยวกับนักปรุงยา อย่างไรก็ตาม เซียวเฉินยังพอได้รับประโยชน์จากมันบ้าง เขาได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับนักปรุงยาในโลกนี้
นักปรุงยาในทวีปเทียนวู่สามารถแบ่งออกได้เป็น 7 ระดับ ระดับ 1 คือต่ำที่สุดและระดับ 7 คือสูงที่สุด การจัดอันดับและการทดสอบนั้นดำเนินโดยสมาคมนักปรุงยา
เพื่อที่จะเป็นนักปรุงยา มีข้อกำหนดเบื้องต้น 3 ประการ ประการแรกคือต้องการจิตวิญญาณยุทธหรือทักษะเกี่ยวกับไฟ หรือพูดง่ายๆก็คือต้องการความสามารถในการสร้างไฟได้
ประการที่ 2 มีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร เป็นเงื่อนไขพื้นฐานและบุคคลนั้นต้องเข้าใจเกี่ยวกับยาสมุนไพรอย่างลึกซึง ไม่มีทางลัดสำหรับสิ่งนี้
ต้องเกิดจากการเรียนรู้จนเชี่ยวชาญเท่านั้น
ประการสุดท้ายการตื่นรู้ทางวิญญาณ นี้เป็นข้อแม้ที่คลุมเครือและพิศวง การตื่นรู้ทางวิญญาณนั้นคล้ายแต่ก็แตกต่างจากการเข้าใจในจิตวิญญาณ
แม้ว่าบุคคลนั้นฝึกฝนการบ่มเพาะพลังมาอย่างยาวนาน พวกเขาก็ยังมิอาจปลุกการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณของพวกเขาขึ้นมาได้ การบ่มเพาะพลังและการตื่นรู้ทางวิญญาณนั้นไม่เกี่ยวข้องกัน มีบางคนที่ปลุกการตื่นรู้ทางวิญญาณของพวกเขาขึ้นมาและใช้การตื่นรู้ทางวิญญาณของพวกเขาได้ดี อย่างไรก็ตามพวกเขานั้นไม่ได้สำเร็จการบ่มเพาะพลังแม้แต่นิดเดียว
การตื่นรู้ทางวิญญาณขึ้นอยู่กับการหยั่งรู้และการเชื่อมโยงทางจิตของนักปรุงยา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเชื่อมโยงทางจิตของพวกเขาเพื่อการผสมยา ถ้าการเชื่องโยงทางจิตของพวกเขานั้นรวดเร็ว มั่นคงและพิถีพิถัน พวกเขาพวกเขาก็อาจจะไปได้ไกลในเส้นทางแห่งนักปรุงยา
เซียวเฉินคิดเกี่ยวกับข้อกำหนด 3 ประการนั้นและตรวจสอบตัวเอง เขามีเปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริง ข้อกำหนดประการแรกผ่านไป นอกจากนี้เขามีความทรงจำเกี่ยวกับการกลั่นยาจากตำราบ่มเพาะพลังและยังจำข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสมได้อย่างละเอียด
**ตำราบ่มเพาะพลังที่เซียวเฉินอ่านมาจากในโลกก่อนของเขานะครับ
หลังจากที่เขาอ่านตำราบ่มเพาะพลังนั้นมามากกว่า 3 ปี เขาคุ้นเคยกับมันราวกับมันยังอยู่บนมือของเขา นอกจากนี้เขายังพบว่าส่วนผสมของโลกนี้นั้นเหมือนกับที่เขาอ่านจากตำราบ่มเพาะพลังที่เขาอ่านในโลกเดิมของเขา ดังนั้นเซียวเฉินผ่านข้อกำหนดประการที่ 2 เช่นกัน
และประการที่ 3 มันดูลึกลับมาก ในตำราบ่มเพาะพลังนั้นไม่มีบันทึกเกี่ยวกับการตื่นรู้ทางวิญญาณในบทที่เกี่ยวกับการกลั่นยาอยู่เลย อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่เป็นกังวล นั้นเพราะนักปรุงยาที่บันทึกอยู่ในตำราบ่มเพาะพลังนั้นมีรูปแบบต่างจากของโลกนี้เล็กน้อย ถึงแม้ว่าเขาไม่มีการตื่นรู้ทางวิญญาณ เขาก็มั่นใจว่าเขายังสามารถเรียนรู้การกลั่นเม็ดยาได้ หากเขาไม่สามารถเป็นนักปรุงยาของโลกนี้ได้ เขาจะทำตามวิธีที่บันทึกไว้ในตำราบ่มเพาะพลังนั้นแทน
นอกจากนั้นเม็ดยาที่บันทึกไว้ในตำราบ่มเพาะพลังยังลึกซึ้งและลึกลับกว่าเม็ดยาของโลกนี้ ยกตัวอย่าง เขาอยากจะกลั่นเม็ดยาอดอาหาร ยานั้นจะลบความอยากอาหารและน้ำไปเป็นเดือนหลังจากกินเข้าไป เม็ดยาที่ให้ผลแบบนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนในโลใบนี้
…
เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง เป่าเอ๋อในที่สุดก็กลับมาพร้อมถุงสมุนไพรใบใหญ่ หลังจากที่เขาเห็นตัวนางที่เต็มไปด้วยฝุ่นละหยาดเหงื่อ เซียวเฉินรู้สึกไม่สบายใจ สาวน้อยผู้นี้ดูอายุไม่มากไปกว่า 14 หรือ 15 ปี ในโลกเดิมของเขานางคงอยู่เพียงมัธยมต้นเท่านั้นเอง
เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ข้าขอโทษ ข้าลืมบอกเจ้าว่าข้าไม่ได้ต้องการสมุนไพนเร่งด่วนอะไร เจ้าไม่ต้องรีบร้อนก็ได้”
ขณะที่เป่าเอ๋อเช็ดเหงื่อด้วยมือเล็กๆของนาง นางได้ยินคำพูดนั้นก็ยืนอึ้ง ข้าหูฝาดไปหรือเปล่า? บุตรชายของผู้นำตระกูลเซียวกล่าวขอโทษสาวใช้?
ในตอนที่เซียวเฉินนั้นยังเป็นแค่ขยะ เขามีขื่อเสียงที่แย่มาก แม้ว่าเซียวเฉินจะล้มเซียวเจี้ยนพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ใช่ขยะ พวกเขาก็ยังไม่มีทัศนคติที่ดีต่อเซียวเฉิน ทุกคนพูดกันว่าเขามันคนชั่วชาสามานย์ที่มัวเมาไปกับความสำเร็จ เห็นแก่ตัวยิ่งกว่าแต่ก่อน ยิ่งมีข่าวลืออีกว่าเขายังไปสั่งสอนทุกคนที่เคยหยามเขาในอดีต เป่าเอ๋อได้ยินข่าวลือนั้นมามากมาย
หากเซียวเฉินทราบถึงข่าวลือเขาคงรันทดใจไม่น้อย เมื่อเขาเห็นเป่าเอ๋อนิ่งเงียบไป เซียวเฉินรู้สึกเป็นกังวลและถามออกไปด้วยเสียงนุ่มนวล “เจ้าเป็นเช่นไร? รู้สึกไม่สบาย?”
เป่าเอ๋อสะดุ้งคืนสติ นางไม่คุ้นเคยกับน้ำเสียงแบบนี้ของเซียวเฉิน ดังนั้นนางจึงเขินอายและตอบด้วยเสียงนุ่มเบา “เป่าเอ๋อสบายดี ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของนายน้อย”
เซียวเฉินคลายกังวล “เจ้ากลับได้เลย ตอนนี้ไม่มีอะไรให้เจ้าทำแล้ว”
เมื่อเป่าเอ๋อได้ยินดังนั้น นางมองเซียวเฉินด้วยความประหลาดใจพร้อมพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล “นายน้อยกำลังไล่ข้าไป? ผู้อาวุโสหนึ่งบอกให้ข้าเป็นคนรับใช้ส่วนตัวของนายน้อยและอาศัยอยู่ที่นี้ หากนายน้อยไล่ข้าไปผู้อาวุโสหนึ่งจะคิดว่าข้ารับใช้ท่านไม่ดีแล้วลงโทษข้า”
เซียวเฉินไม่คาดถึงสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน คนรับใช้และสาวใช้พวกนี้ทั้งหมดนั้นเป็นเด็กกำพร้าหรือบุตรสาวจากครอบครัวยากจน พวกเขานั้นถูกขายออกมา ถึงแม้พวกเขาจะถูกทุบตีจนตายผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ถึงแม้เซียวเฉินจะไม่ใช่คนเข้มงวด แต่นางจะต้องถูกลงโทษเป็นแน่
เซียวเฉินขมวดคิ้ว เขาไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน มีพื้นที่มากมายในที่พักของเซียวเฉินแต่เขามีความลับมากเกินไป มีคนแปลกหน้ามาค่อยอยู่ข้างๆทำให้เขาไม่สบายใจ
หลังจากคิดมาเป็นเวลานาน เซียวเฉินก็คิดไม่ตกว่าทำเช่นไรจะเป็นการดีกับทั้งสองฝ่าย เมื่อมองที่เป่าเอ๋อที่น่าสงสาร เซียวเฉินก็ใจอ่อน “เจ้าอยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน มีห้องว่างอยู่ทางตะวันออก เจ้าใช้ได้ตามสบาย”
เป่าเอ๋อกล่าวอย่างร่าเริง “เป่าเอ๋อขอบคุณนายน้อย ข้าจะไปเตรียมอาหารเย็นให้นายน้อยเดียวนี้”
เซียวเฉินมองเป่าเอ๋อที่จากไปพร้อมส่ายหัว เขาเปลี่ยนความสนใจไปที่สมุนไพรที่นางซื้อกลับมาและสำรวจอย่างระมัดระวัง
หญ้าฝรั่น 20, บัวแปดเหลี่ยม 50, หญ้าตีนเสือ 20, มิ้นอีก 20
เซียวเฉินนับพวกมันทีละชิ้นอย่างระมัดระวัง สาวน้อยคนนี้ค่อนข้างใช้ได้ นางซื้อมาได้ครบตามที่เขาต้องการ เซียวเฉินยิ้มกับตัวเองก่อนที่เขาจะหยิบหญ้าตีนเสือขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด
ส่วนบนของหญ้ามีใบสีเขียวม่วง 4 ใบ ขณะที่เขามองไปที่ลำต้นของหญ้าตีนเสือ อายุไม่น่าจะเกิน 10 ปี เขารู้สึกงงงวย เซียวเฉินคิด,การตื่นรู้ทางวิญญาณคืออะไร? มันคือการที่เขาเชื่อมจิตกับสมุนไพรได้?
เขาถือสมุนไพรไว้ในมือและหลับตาจมเข้าไปในจิตสำนึก จิตสำนึกของเขาไหลไปตามพลังปราณมันเคลื่อนตัวช้าๆไปยังมือขวาของเขา พลังปราณของเขาออกมาจากร่างและห่อหุ้มรอบๆต้นสมุนไพรอย่างแผ่วเบา อย่างไรก็ตามจิตของเขาก็ยังติดอยู่ในร่างระหว่างมือของเขา ไม่สามารถผ่านออกไปจากร่างของเขาได้
หลังจากที่เขาได้ลองพยายามสองสามครั้ง จิตของเขายังคงไม่สามารถเชื่อมต่อกับหญ้าตีนเสือ การมุ่งจิตและการตื่นรู้ทางวิญญาณนั้นแตกต่างกัน เมื่อเซียวเฉินกำลังจะยอมแพ้ จิตของเขาที่วนเวียนอยู่รอบฝ่ามือของเขาจู่ๆก็จับกับเครือข่ายพลังสีเขียวแปลกประลาด
มีพลังขนาดเล็กจำนวนมากจากเครือข่ายพลังสีเขียวไหลเข้าสู้ร่างกายของเขาผ่านเส้นปราณ มันเชื่อมต่อกับจิตของเขาอย่างรวดเร็วปรากฎเป็นพื้นที่สีเขียวในจิตใต้สำนึกของเซียวเฉิน
ภายในพื้นที่สีเขียวนี้ มีเครือข่ายเส้นใยที่ดูซับซ้อนราวกับเขาวงกต กระแสของพลังงานสีเขียวขยายไปทั่วทุกแห่งของพื้นที่สีเขียวนี้ พลังงานนั้นเชื่อมต่อกับจิตของเซียวเฉินอย่างแน่นหนา ทันใดนั้นเซียวเฉินก็รู้สึกได้ว่าเขาสัมผัสได้ถึงการเต้นและชีพจรของหญ้าตีนเสือ ช่างเป็นความรู้สึกที่ลึกลับ
เซียวเฉินรู้สึกเป็นสุข นี่จะต้องเป็นการตื่นรู้ทางวิญญาณ ภายในการเชื่อมต่ออันแน่นหนานี้ เขารู้สึกได้ว่าต้นสมุนไพรนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเขา ภายใต้สถานะนี้เข้าสามารถควบคุมและเข้าใจได้ถึงสมุนไพรในระดับลึกซึ้ง ในระหว่างการกลั่นเม็ดยาเขาสามารถบรรลุผลได้เป็นเท่าตัวในขณะที่ใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว มันไม่น่าแปลกใจเลยที่การตื่นรู้ทางวิญญาณนั้นคือจำเป็นสำหรับเป็นสุดยอดนักปรุงยา
ในขณะที่เขาถอนจิตกลับมา กระแสพลังงานสีเขียวเดินทางจากเส้นลมปราณในมือของเขาไปยังคลื่นแห่งจิตสำนึก หลังจากพลังสีเขียวหมุนเวียนอยู่ครู่หนึ่ง มันก่อรูปเป็นทรงกลมสีเขียวและรวมเป็นหนึ่งกับจิตสำนึกของเซียวเฉิน
เขางุนงงกับทรงกลมสีเขียวภายในคลื่นจิตสำนึกของเขา อย่างไรก็ตามเขาตัดสินใจว่าจะไม่ไปยุ่งกับลูกบอลสีเขียวอันนี้ ด้วยความรู้อันน้อยนิดในการปรุงยาของโลกนี้ ตอนนี้เขาไม่เข้าใจอะไรเลย
เขาทิ้งความสับสนไปพร้อมกับลืมตาขึ้นและมองไปที่หญ้าตีนเสืออีกครั้ง ตอนนี้เขามีความเข้าใจในสมุนไพรนี้อย่างลึกซึ้ง รากของมันมีสพรรคุณทางยามากมาย มันไม่เหมือนอย่างที่เขียนไว้ในตำรา ในนั้นเขียนไว้ว่าเฉพาะใบเท่านั้นที่มีประโยชน์ ด้วยความเข้าใจอันลึกซึ้งนี้เขาจึงมีความมั่นใจในศักยภาพการกลั่นยาของเขาในภายหลัง
หยิบเอาหม้อปรุงยามังกรฟ้าออกมา เซียวเฉินเรียกเปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริงออกมาและเริ่มทดลองการกลั่นเม็ดยาครั้งแรก เขาต้องการที่จะกลั่นเม็ดยาอดอาหาร
ในตำราบ่มเพาะพลังเม็ดยาอดอาหารเป็นหนึ่งในยาระดับต่ำที่สุดในโลกอมตะ มีผู้บ่มเพาะพลังไม่กี่คนที่ยังไม่บรรลุระดับเขตเขตที่พวกเขาพอใจและพวกเขาไม่ต้องการการกินดื่มพวกเขาก็จะใช้เม็ดยานี้ ดังนั้นนี้มันตรงกับความต้องการข้องเขาพอดี
เซียวเฉินใส่หญ้าตีนเสือลงไปในเปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริงและเริ่มกลั่นอย่างระมัดระวัง เขาควบคุมเปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริงอย่างตั้งใจ เซียวเฉินไม่กล้าที่จะประมาทแม้แต่น้อย
ใบสีเขียว 4 ใบได้ละลายกลายเป็นของเหลวสีเขียวใส ของเหลวสีเขียวนี้เริ่มเดืออยู่ในหม้อปรุงยา เซียวเฉินหยิบขวดยาออกมาเตรียม ด้วยการสะบัดมือของเขาเขาเทของเหลวนั้นไปสู่ขวดที่เตรียมไว้
ต่อมาเซียวเฉินมองไปที่รากที่ยังไม่ละลายก่อนที่เขาจะปลุกการตื่นรู้ทางวิญญาณ ก่อนหน้านี้เขาคงจะคิดว่ารากนี้เป็ขยะและเขี่ยมันออกไป แต่ในตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันมีสพพรคุณทางยา
รากนั้นแข็งแกร่งกว่าใบ ดังนั้นเข้าจึงเพิ่มอุณภูมิของไฟ เซียวเฉินค่อยๆเพิ่มความเข้มข้นของเปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริงอย่างช้าๆ ควบคุมแปลวเพลิงนี้เหมือนจะง่ายแต่มันใช้พลังมาก นอกจากนี้ยังเป็นการทดสอบความสามารถในการควบคุมไฟของเขาเป็นอย่างดี
หากเปลวเพลิงนั้นเล็กไปมันจะไม่สามารถแยกของเหลวออกมาได้ หากมันใหญ่เกินไปของเหลวที่ออกมาก็ระเหยไปหมด ขนาดที่พอดีเท่านั้นถึงจะแยกของเหลวออกมาได้อย่างสมบุรณ์ มันเป็นเรื่องดีที่ตำราบ่มเพาะพลังสรุปเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน ตราบใดที่เข้าระมัดระวังมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินกว่าสำเร็จ
หลังจากที่เขากลั่นของเหลวสีเขียว 5 หยดออกมาจากรากบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยของเสีย เซียวเฉินรีบหยิบหญ้าตีนเสืออีก 5 ต้นมากลั่นต่อไป อย่างไรก็ตามเหมือนเขาจะโชคไม่ดีในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ระดับเปลวเพลิงที่ต้องใช้ เขายังทำหญ้าตีนเสือเสียเปล่าไป 2 ต้น
ช่างโชคดีที่เซียวเฉินนั้นคาดการณ์ไว้แล้วจึงให้เป่าเอ๋อซื้อมาสองเท่าจากที่เขาต้องการ ของเหลวอีก 5 หยดไหลออกมาจากหญ้าตีนเสือก่อนที่เขาจะหยุดมือลง