ตอนที่ 29 กลับขึ้นเขาชีเจี่ยว
“ถ้าเช่นนี้น เถ้าแก่โปรดบอกราคามา!” เซียวเฉินมองไปที่หนานกงหยานและกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย
หนานกงหยานพึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจ “เม็ดยาอดอาหารนี้… อืมม, ศาลาหลินหลางจะเริ่มประมูลที่ 10000 เหรียญเงินต่อ 1 เม็ดเจ้าคิดว่าไง?”
เซียวเฉินคำนวณในหัว เม็ดยา 20 เม็ดก็จะเป็นราคาเริ่มต้นที่ 200000 เหรียญเงิน ตามกฎของห้องประมูลเขาจะได้รับเงินก่อนเป็นจำนวน 30 ส่วนจากราคาเริ่มต้น นั้นจะเท่ากับว่าเขาจะได้รับ 60000 เหรียญเงิน นั้นเพียงพอที่จะให้เซียวเฉินนำไปใช้ในช่วงสั้นๆ
“ถ้าเช่นนั้น เป็นอันตกลง เม็ดยาอดอาหารทั้ง 20 เม็ดทิ้งไว้ที่นี่เพื่อทำการประมูล โปรดร่างสัญญามาได้เลย”
หนานกงหยานยิ้มเบาๆ “ไม่ต้องรีบร้อน ข้าอยากจะพูดคุยกับเจ้าสักเล็กน้อย จากยี่สิบเม็ดนั้นข้าอยากจะซื้อไว้เองสักสิบเม็ด แน่นอนว่าข้าจะไม่เอารัดเอาเปรียบเจ้า จากราคาที่ประมูลได้ข้าจะเพิ่มไปอีกสองเท่า”
นั้นไม่ได้ทำให้เซียวเฉินเสียประโยชน์แต่อย่างใด ดังนั้นเขาไม่สนใจว่าใครจะเป็นคนซื้อ “สำหรับเม็ดยาอดอาหารสิบเม็ดแรกนั้นท่านต้องจ่ายมา 30 ส่วนของราคาเริ่มต้นประมูลตามกฎ สำหรับอีกสอบเม็ดสำหรับท่าน ท่านต้องให้ข้า 3 เท่าจาก 30 ส่วนของราคาเริ่มประมูล ทั้งหมดก็จะเป็น 130000 เหรียญเงิน”
หนานกงหยานพนักหน้าของเขา “นั้นไม่มีปัญหา ตามปกติศาลาหลินหลางจะเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการ 1 ส่วน ข้าสามารถลดให้เจ้าได้ครึ่งส่วน สหายหากเจ้ามีเม็ดยาที่อยากจะขายเพิ่ม ข้าหวังว่าเจ้าจะมาใช้บริการของศาลาหลินหลางต่อไป”
เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจทีเดียว หากไม่มีเงินทุนจำนวนมากในการใช้จ่ายกับวัตถุดิบและส่วนผสมมันก็ยากที่จะพัฒนาฝีมือการปรุงยา จึงเป็นการดีที่จะร่วมมือกับศาลาหลินหลาง
หลังจากได้เห็นสัญญาและได้รับเงิน เซียวเฉินก็จากไปในทันที
หูล่าวหยิบเม็ดยาอดอาหารออกมาสิบเม็ดก่อนที่จะใส่ลงในขวดหยกอีกขวดและส่งมันให้กับหนานกงหยาน “เถ้าแก่ เรานำสิ่งนี้ไปใส่ในรายการการประมูลเลยไหม?”
หนานกงหยานส่ายหัว “ยังไม่ใช่ตอนนี้ ไปหาคนมาทดสอบผลของมันเสียก่อน กันผิดพลาด”
หูล่าวถอนหายใจ แม้แต่เถ้าแก่ก็ไม่สามารถยืนยันสรรพคุณของมันได้
….
เซียวเฉินหลีกเลี่ยงการดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยอาศัยประตูหลังของศาลาหลินหลาง เขาหาที่ลับตาคนและเปลี่ยนชุดของเขาใหม่ในทันที เขาหัวเราะอย่างหน้าโง่ขณะมองดูเงินที่อยู่ในมือ นี้เป็นเงินก้อนแรกที่เขาหามาด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงตื่นเต้นมาก
มุ่งหน้าไปที่ร้านสมุนไพร เขาซื้อส่วนผสมหนึ่งร้อยชุดสำหรับเม็ดยาทั้งสองชนิดที่เขาตั้งใจจะสกัด หลังจากนี้เขาก็ยังมีเงินเหลืออยู่ค่อนข้างมาก คิดไปคิดมาเขาน่าจะซื้อของที่สาวๆพวกนั้นน่าจะชอบอย่างเครื่องสำอางหรือเครื่องประดับผม เขาจะซื้อของเหล่าไปให้เป่าเอ๋อและเซียวอวี่หลัน
หลังจากซื้อของครบ เขาต้องแบกถุงขนาดหลากหลายกว่าสิบใบ ช่างลำบากเป็นอย่างมาก กระตุ้นให้เขาอยากรีบหลอมสมบัติหวงมิติ อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะทำได้ตามนั้น เขาต้องบ่มเพาะพลังทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเป็นขั้น 2 เสียก่อน และเพื่อที่จะทำอย่างนั้นได้เขาต้องหาอุปกรพื้นฐานเพื่อหลอมสิ่งสวมใส่
ตัวเลือกเดียวของเขาตอนนี้คือจ่ายเงินเล็กน้อยเพื่อเช่ารถม้า เซียวเฉินโยนเงินจำนวนมากไปให้เจ้าของรถม้า เจ้าของม้าลากม้าออกมาเขาพร้อมกระโดดขึ้นไปด้านหลังทันที รู้สึกดีที่มีเงิน เซียวเฉินถอนหายใจ
หลังจากขนขอทั้งหมดขึ้นไปบนรถลาก เซียวเฉินรู้สึกสบายขึ้นเยอะ ม้าในโลกนี้แลดูเชื่องกว่าที่อยู่ในโลกเดิม เซียวเฉินได้ลองขับรถม้าดูและเริ่มจับเคล็ดลับของมันได้
ในขณะที่เขากำลังขับรถม้าออกจากประตูเมือง จำนวนคนบนถนนก็เริ่มบางตาลงจนกระทั่งเขาไม่เห็นคนเดินทางไปมาเลย เซียวเฉินผู้ที่ได้รับเงินก้อนโตเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา กำลังอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง เขาเริ่มฮัมเพลงไร้สาระด้วยเสียงเพี้ยนๆ
“บรรยากาศสดใส ดวงอาทิตย์สาดส่องนั่งมองทิวทัศน์สวยงาม ผีเสื้อลอยตามลม เสียงผึ้งบินหึ่ง… เสียงเกือกม้ากระทืบพื้น.~.”
“ข้ามันโคตรรวย รวย ไอโฟนอยู่ในมือขวา โมโตโรลาอยู่ในมือซ้าย…”
เพลงที่เข้าร้องออกมานั้นช่างไร้สาระ เพราะเขาจำเนื้อร้องเพลงอะไรไม่ได้เลยสักเพลง นับตั้งแต่ที่เขามายังโลกใบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกผ่อนคลายได้ขนาดนี้ เนื่องจากไม่มีใครอยู่บนถนนเลย ไม่มีใครที่น่าจะได้ยินเสียงเพี้ยนๆของเขา เขาจีงร้องออกมาเสียงดังอย่างมีความสุข
“ฮา ฮา..”
ทันใดนั้นบนหลังตาของรถลากก็มีเสียงใสหัวเราะดังขึ้น เสียงนั้นใสราวกับกระดิ่งลมที่ขยับไปตามลมที่พัดผ่าน
“นั้นใคร!”
เซียวเฉินรีบหยุดร้องเพลงและตะโกนเสียงดัง เขาประมาทเกินไป คนคนนี้ตามเขามาตั้งแต่เมื่อไหร? เขาไม่แม้แต่จะจับสัมผัสเขาได้
ชักกระบี่เงาพระจันทร์ออกจากหลังของเขา เขาวางบังเหียนม้าและหมุนตัวกระโดดขึ้นไปบนหลังคาพร้อมแทงกระบี่ไปยังต้นเสียง
เฟิงเฟยเสวี่ยผู้อยู่บนหลังคาหัวเราะคิกคักพร้อมกับหลบกระบี่ของเฉียวเฉินด้วยการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวล นางตีลังกาสองครั้งกลางอากาศก่อนที่จะลงถึงพื้นอย่างสวยงาม
“ใครจะรู้ว่านายน้อยเซียวจะมากความสามารถขนาดนี้ นอกจากจะสามารถสกัดเม็ดยาได้แล้ว เขายังร้องเพลงได้ไพเราะอีกด้วย”
เมื่อเซียวเฉินที่อยู่บนหลังคาเห็นได้สาวงามในชุดผู้ชาย เขารู้สึกอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี มันคล้ายกับความรู้สึกตอนที่เขาเผลอร้องเพลงออกมาเสียงดังขณะสวมหูฟังอยู่ในร้านอินเทอร์เน็ต
เก็บกระบี่เเสงพระจันทร์กลับเข้าฝัก เซียวเฉินยิ้ม “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นแม่นางเฟิง ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีสาวงามราวกับนางฟ้ามาติดตามข้า ทำตัวเป็นโจรลอบตามเช่นนี้ เฟิงเฟยเสวี่ย ข้าผิดหวังในตัวเจ้าจริงๆ” เขากล่าวไปพร้อมกับส่ายหัวทำเป็นจริงจัง
เฟิงเฟยเสวี่ยยิ้มเบาๆ “ข้าไม่ได้ทำตัวเป็นโจรสักหน่อย ข้าอยู่บนหลังคาตั้งแต่ก่อนที่เจ้าจะขึ้นมานั่งเสียอีก พอคิดว่าเจ้าไม่เพียงแค่ไม่สำนึกขอบคุณคนที่ขายหม้อปรุงยาให้เจ้า เจ้ายังชักกระบี่ออกมาหลายจะทำร้ายข้า นายน้อยเฉิน ข้าก็ผิดหวังในตัวท่านจริงๆ” นายพูดพร้อมกับส่ายหัวเลียนแบบเซียวเฉิน
ครั้งนี้เมื่อเขาได้พบกับเฟิงเฟยเสวี่ย เซียวเฉินไม่รู้สึกอึดอัดเหมือนตอนเจอกันที่ร้านฮั่นถี่ครั้งก่อน นอกจากนี้เขายังสัมผัสไม่ได้ถึงความคิดชั่วร้ายออกมาจากตัวเฟิงเฟยเสวี่ย เขาจึงผ่อนคลายลง
มองดูท่าทางที่เฟิงเฟยเสวี่ยส่ายหัว เซียวเฉินหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขากระโดดลงมาจากหลังคาและหยิบปิ่นปักผมออกมาจากที่เก็บของเขาและโยนมันไปที่เฟิงเฟยเสวี่ยก่อนที่จะขับม้าต่อไป
“แม่นางเฟิง ข้าจะมองผ่านเรื่องที่เจ้าลอบตามข้ามา ข้ากำลังจะกลับบ้านแล้ว คิดซะว่าปิ่นปักผมนั้นเป็นของขวัญขอบคุณที่เจ้าขายหม้อปรุงยาให้ข้า”
เฟิงเฟยเสวี่ยคว้าปิ่นปักผมที่ลอยมาในอากาศและมองดูรถม้าที่กำลังวิ่งออกไป “คนโง่! เจ้าเคยเห็นข้าใช้ปิ่นปักผมที่ไหน?”
จริงตามนั้น เฟิงเฟยเสวี่ยผู้ที่แต่งตัวเป็นผู้ชายไม่ใช้ปิ่นปักผม นั้นมันเอาไว้สำหรับผู้หญิง หรือบางทีนี่อาจจะเป็นความจงใจของเซียวเฉิน หรือบางทีเขาอาจจะไม่ได้ใช้หัวคิดอะไรเลย อย่างไรก็ตามเขาก็ห่างออกไปไกลแล้ว สายเกินไปที่จะไปถามเกียวกับมัน เฟิงเฟยเสวี่ยส่ายหัวและหันหลังเดินทางกลับ
เมื่อเซียวเฉินกลับมาถึงที่พักก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว ครั้งนี้เขาใช้เวลาไปทั้งช่วงเช้า เมื่อเขานำรถม้ามาจอดที่ลานเล็กๆ เขาเห็นเป่าเอ๋อกำลังจัดสนามหน้าบ้านที่เขาทำพังไปก่อนหน้า
กระโดดลงมาจาดรถม้าและมองไปที่ร่างน้อยๆของเป่าเอ๋อ เซียวเฉินรู้สึกสงสาร เขากวักมือเรียกเป่าเอ๋อ “วางสิ่งที่ทำอยู่ไว้ก่อนแล้วมาช่วยข้าขนของ”
เป่าเอ่อหยุดมือในสิ่งที่ทำลงทันทีและวิ่งมาหาเขา ถึงแม้เซียวเฉินจะขอให้ช่วยขน เขายังคงต้องขนถุงใหญ่ๆด้วยตัวเอง ขณะที่พวกเขากำลังขนของ เป่าเอ๋อมองไปที่กองเครื่องประดับในรถม้าอย่างแปลกใจ นางหยิบของพวกนี้แล้วขนไปที่ห้องของเซียวเฉิน รู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก
มองดูของในมือของเป่าเอ๋อ เซียวเฉินยิ้ม “ข้าซื้อของพวกนั้นมาให้เจ้า หยิบไปได้ตามใจชอบเลยแต่เหลือเอาไว้บ้าง ข้าจะเอาไปให้เพื่อน”
ความรู้สึกอบอุ่นกระจายไปในหัวใจของเป่าเอ่อ นางไม่เคยคาดหวังเลยว่าสิ่งของเหล่านี้จะซื้อมาเพื่อนาง นางเป็นเพียงแค่สาวใช้ ทำไมนายน้อยถึงซื้องของเหล่านี้มาให้นาง? หรืออาจจะเป็นว่า…
คิดมาถึงเรื่องน่าอายพวกนี้ เป่าเอ๋อก็หน้าแดงอีกครั้ง นางก้มหน้าลงเลือกเสื้อผ้าและเครื่องประดับผมสองสามอย่างก่อนจะวิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว เซียวเฉินงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ของที่เขาซื้อมามันไม่เพียงพอเช่นนั้นรึ? พวกสาวๆอาจจะไม่ชอบ? อย่างไรก็ตามนี้เป็นครั้งเลือกที่เขาเคยเลือกซื้อของมาให้สาว
ไม่กี่วันต่อมา เซียวเฉินเริ่มสกัดเม็ดยาบำรุงลมปราณและเม็ดยาฟื้นพลังฉีอย่างใจใจดใจจอ เขาสกัดเม็ยาจนกว่าจะหมดสิ้นพลังปราณเขาถึงจะพัก ในวันแรกของการสกัดยาอัตราความสำเร็จนั้นไม่มากนัก จากการสกัดเม็ดยาสิบครั้งเขาทำสำเร็จเพียงสาม หลังจากที่เขาคุ้นเคยกับการสกัดยาอัตราความสำเร็จของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะพยายามเพียงไรอัตราความสำเร็จก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับของเม็ดยาอดอาหารเลย เซียวเฉินรู้ว่าต้องทำอะไรสักอย่างกับความสามารถในการปรุงยาของเขา เมื่อเขาขาดฝีมือ เป็นเรื่องปกติที่อัตราความผิดพลากจะสูงเมื่อสกัดเม็ดยาที่ซับซ้อน เขาไม่สามารถรีบร้อนและทำได้เพียงแค่สะสมประสบการณ์และเพิ่มระดับความสามารถของเขาในฐานะนักปรุงยา
หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ เซียวเฉินผลาญวัตถุดิบปรุงยาทั้งหมดที่เขาซื้อมา ในรอบนี้เขาสกัดเม็ดยาบำรุงลมปราณได้ 15 เม็ดและสกัดเม็ดยาฟื้นฟูพลังฉีได้ 7 เม็ด เห็นได้ชัดว่าเขาประสบความสำเร็จกับเม็ดยาบำรุงลมปราณมากกว่า การสกัดยาอย่างไม่หยุดยั้งของเขาในสัปดาห์นี้เขาเชี่ยวชาญการควบคุมเปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริงมากขึ้น ระดับทักษะบ่มเพาะพลังอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ได้ขึ้นสู่ขั้นสูงสุดของชั้นหนึ่งเป็นของแถม
สิ่งที่ทำให้เซียวเฉินเป็นปลื้มที่สุดคือทรงกลมสีเขียวในคลื่นจิตสำนึกของเขาตอนนี้สามารถแทรกซึมเข้าไปในหม้อรุงยาและทำให้เขาสามารถมองเห็นสถานะของเปลวเพลิงและของเหลวยาได้อย่างชัดเจน ช่างน่าเสียดายที่เขายังไม่สามารถควบคุมมันได้ บางครั้งมันก็เกิดขึ้นหรือบางครั้งมันก็ไม่เกิด หากเขาสามารถควบคุมได้ดั่งใจอัตราความสำเร็จคงจะพุ่งสูงกว่านี้มาก
ในขณะนี้เหลือเพียงแค่ประมาณสี่เดือนก่อนที่จะถึงสัญญาประลองสิบปี หัวใจของเซียวเฉินเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่วันนั้นใกล้เข้ามา มันน่าจะได้เวลาแล้วที่เขาจะขึ้นไปบนภูเขาชีเจี่ยวเพื่อฝึกฝนอย่างหนัก
ตั้งแต่เช้าครู่ เซียวเฉินจัดเม็ดยาบำรุงลมปราณและเม็ดยาฟื้นฟูพลังฉี พร้อมกับกระบี่เงาพระจันทร์ไว้ที่หลังของเขาและเตรียมของเล็กน้อยอื่นๆ ก่อนที่กำลังจะออกไป เขายังนำเม็ดยาอดอาหารที่เขาสกัดมาเพื่อใช้ในการฝึกฝนครั้งนี้ไปด้วย
“นายน้อย ข้านำถังน้ำมาให้ท่านล้างหน้า ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”
เสียงของเป่าเอ๋อดังมาจากอีกด้านนึงของประตู เซียวเฉินเผยรอยยิ้มบนใบหน้า เขาไม่ได้ก้าวออกจากห้องมากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว ทั้งอาหารและน้ำดื่มเป่าเอ๋อเป็นคนจัดการให้เขาทั้งหมด สร้างสภาพแวดล้มที่เหมาะสมสำหรับการปรุงยา ทำให้เขารู้สึกขอบคุณนางมาก
หลังจากที่เขาเปิดประตู เซียวเฉินรับถังน้ำมา หลังจากลงมือล้างหน้าล้างตา เขาบอกเป่าเอ๋อผู้ที่กำลังจัดเตียงนอนของเขา “ข้ากำลังจะไปเก็บตัวฝึกหนักนับจากพรุ้งนี้เป็นต้นไป จำไว้ว่าเจ้าต้องค่อยสอดส่องดูแลที่พักของข้า”
เก็บตัวฝึกหนัก นั้นหมายความว่าเขาจะต้องไปเป็นระยะเวลานาน เป่าเอ๋อรู้สึกเศร้าใจไม่มีคำพูดจะเอ่ยตอบเซียวเฉิน ตั้งหน้าตั้งตาจัดเตียงของเขาต่อไป
เซียวเฉินก้าวออกมาจากประตู ก่อนที่เขาจะไป เขาหันมามองที่ร่างของเป่าเอ๋อและยิ้มอย่างอบอุ่นก่อนที่จะจากไป แสงแดดยามเช้าส่องลงมาบนหน้าของเขา แสงมันช่างอบอุ่น ปลุกจวิญญาณต่อสู้ในใจของเขาขึ้นมา
ครั้งหน้าที่เขากลับมา ไม่เพียงแค่ทักษะบ่มเพาะพลังอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะขึ้นเป็นชั้นสองเท่านั้น ระดับขอบเขตพลังของเขาจะต้องเป็นจอมยุทธฝึกหัดขั้นกลาง เซียวเฉินสาบานในใจ