ตอนที่ 38 ระดับขอบเขตนักบุญ – หลิวเฟิงหยิน
“ใคร…ใครมันเล่นลูกไม้กับข้า! แสดงตัวซะ!”
เสียงที่ดังขึ้นมาทำให้ชายชุดดำร้อนรนอย่างยิ่ง เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหาตำแหน่งของคนที่พูดขึ้นมา อย่างไรก็ตามถ้าแม้แต่สัมผัสวิญญาณของเซียวเฉินยังจับสัมผัสของเขาไม่ได้ ไม่น่าแปลกชายชุดดำคนนี้ไม่สามารถทำได้
“นี้คือพลังทั้งหมดของเจ้าแล้ว?” เสียงแปลกประหลาดนั้นดังขึ้นอีกครั้งด้านข้างหูของชายชุดดำ อย่างไรก็ตามเขายังคงจับสัมผัสที่มาของเสียงนั้นไม่ได้อยู่ดี
เขากำลังมุ่งตรงมา เซียวเฉินคิดเงียบๆ จากสัมผัสวิญญาณเซียวเฉินตรวจพบร่างเงาสีเทากำลังตรงเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว ร่างนั้นเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนสัมผัสวิญญาณของเซียวเฉินยังจับสัมผัสได้ไม่ชัดเจน
เซียวเฉินอุ้มเซียวอวี่หลันถอยกลับไปสองสามก้าว เขาไม่กล้าที่จะลดการป้องกันลง เขาไม่รู้ว่าบุคคลลึกลับนี่เป็นมิตรหรือศัตรู
“ฟุ่ว!”
ก่อนที่บุคคลนั้นจะมาถึงก็มีมีดบินสีฟ้าถูกปล่อยนำออกมา ชายชุดดำพยายามอย่างดีที่สุดแต่ก็หลบไม่พ้นปรากฎเป็นแผลเปิดบนแขนขวาของเขา เลือดแดงสดไหลออกมา
พลังของมีดนี้ยอดเยี่ยม มันสามารถตัดผ่านเกราะพลังปราณที่ชายชุดดำสร้างขึ้นมาอย่าง่ายเาย เซียวเฉินคิดเงียบๆในใจ
ชายชุดดำตะโกนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาจ้องเมข็งไปที่จุดที่มีดบินมา ดอกไม้กินคนขนาดใหญ่ของเขาตรงไปยังทิศทางผู้ที่โจมตีเขา
“ฮึ่ม! จิตวิญญาณต่อสู้อ่อนแอเช่นนี้ยังกล้าปล่อยออกมาอีกรึ? ช่างกล้าจริง”
หลังจากพูดจบบุคคลลึกลับนั้นก็เผยตัวออกมา เขาเดินตรงไปที่ดอกไม้กินคนแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้วางแผนจะลงมืออะไร ทันใดนั้นเมื่อดอกไม้กินคนอยู่ห่างจากเขาไปประมาณ 2 เมตร มันก็เกิดระเบิดกลายเป็นผง
นี่มันแตกต่างจากที่เซียวเฉินทำให้ระเบิดเมื่อก่อนหน้านี้ ในครั้งนี้ดอกไม้กินคนระเบิดหายกลายเป็นฝุ่นอย่างแท้จริงและลอยหายไปในอากาศ มันไม่ได้กลายเป็นแสงหรือไม่ได้กลับไปหาชายชุดดำ
ทันทีที่ดอกไม้กินคนหายไปชายชุดดำนั้นก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ หน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “เจ้า..ทำลายจิตวิญญาณต่อสู้ของข้า?!”
“ก่อนที่จะบ่มเพาะพลังให้จิตวิญญาณต่อสู้ขึ้นไปสู่ขอบเขตที่ไม่สามารถทำลายได้ เจ้ายังกล้าเอามันออกมาแสดงต่อหน้าศัตรู มันสมควรแล้ว” บุคคลลึกลับกล่าวอย่างเย็นชา
ชายชุดดำยืนขึ้นอย่างอ่อนแรงและถามขึ้น “เจ้ามาจากตระกูลเซียว?”
บุคคลลึกลับพูดอย่างไม่แยแส “น่าจะเป็นเช่นนั้นนะ!”
“มันเป็นไปไม่ได้ ตระกูลนักบุญจะไปมีระดับขอบเขตนักบุญได้เยี่ยงไร?” ชายชุดดำร้องอุทานอย่างไม่เชื่อ
มันไม่เพียงแค่ชายชุดดำเท่านั้นที่ประหลาดใจแม้แต่เซียวเฉินและเซียวอวี่หลันก็ยังไม่กล้าเชื่อว่าจะมีระดับขอบเขตนักบุญอยู่ในตระกูลเซียว ทั้งคู่เป็นศิษย์สายเลือดตรงแต่พวกเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน ตระกูลพวกเรามีระดับขอบเขตนักบุญตั้งแต่เมื่อไหร่?
ผู้เชี่ยวชาญระดับขอบเขตนักบุญจัดได้ว่าเป็นขุมพลังที่แกร่งที่สุดในเมืองม่อเหอ แม้แต่ภายในอาณาจักรต้าฉิน ไม่ว่าจากในเมืองใดระดับขอบเขตนักบุญก็มีอิทธิพลล้นหลาม
หากจะมีระดับขอบเขตนักบุญที่เต็มใจจะปักหลักในตระกูลเซียวมีเพียงความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น คนผู้นี้ต้องทะลวงคอขวดของระดับขอบเขตปรมจารย์ได้ตอนสูงวัย เขาน่าจะไม่มีหวังที่จะเพิ่มพลังการบ่มเพาะพลังของเขาอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงแค่อยากจะหาที่สงบปักหลักตั้งถิ่นฐาน
อย่างไรก็ตามถึงมันอาจจะเป็นเช่นนั้น พวกเขาทั้งสองก็ยังตกใจ เรื่องนี้มันจะปกปิดลึกเกินไปแล้ว
“ผู้อาวุโส ที่ท่านมาจากตระกูลเซียวของข้านั้นเป็นเรื่องจริง?” เซียวเฉินถามอย่างระมัดระวัง
บุคคลลึกลับไม่ได้ตอบกลับแต่มีเหรียญบัญชาการถูกปล่อยออกมาจากแขนเสื้อของเขาและบินไปทางเซียวเฉิน เซียวเฉินรับมันไว้อย่างรวดเร็วและมองไปที่มัน ตัวอักษรสีดำสลักลงบนเหรียญคำสั่งที่ทำมาจากทองด้านหนึ่งมีคำว่า ‘องครักษ์พิเศษ’ ส่วนอีกด้านหนึ่งมีคำว่า “หลิวเฟิงหยิน”
จริงๆแล้วตระกูลเซียวนั้นมีหน่วยสืบลึกลับอยู่ อย่างไรก็ตามไม่ต้องพูดถึงระดับขอบเขตของเขา คนในตระกูลส่วนใหญ่ยังไม่รู้แม้กระทั่งหน้าตาของเขาเพราะว่าเขาไม่ค่อยปรากฎตัวให้เห็นนัก
สามารถยืนยันตัวตนของชายผู้นี้ได้เมื่อได้เห็นเห็นเหรียญบัญชาการนี้ เซียวเฉินคำนับทำความเคารพ “ขอบคุณผู้อาวุโสหลิวสำหรับการช่วยเหลือ”
หลิวเฟิงหยินโบกมือรับอย่างไม่แยแสและยังคงสงบนิ่ง “เมื่อได้รับค่าจ้างข้าก็ทำงานของข้า ไม่มีความจำเป็นต้องขอบคุณ”
“แล้วหยกวิญญาณสีเลือดเจ้าสามารถทิ้งมันไว้กับข้าได้ ผู้อาวุโสหนึ่งกับผู้อาวุโสสามกำลังจะมาถึงเร็วๆนี้ พวกเจ้าสามารถลงจากภูเขาไปได้เลย” หลิวเฟิงหยินกล่าวขึ้นหลังจากที่เขาพึมพำกับตัวเอง
เซียวเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีโทสะเล็กน้อย บุคคลนี้รู้เรื่องเกี่ยวกับหยกวิญญาณสีเลือดซึ่งนั้นหมายความว่าเขาได้มาถึงเป็นเวลานานแล้วแต่ไม่ได้ลงมือเข้ามาช่วยพวกเขา
สิ่งแรกที่เขาถามหาคือหยดวิญญาณสีเลือด เซียวเฉินรู้สึกไม่สบายในใจ ไม่ต้องพูดถึงหากว่าเขายังไม่ได้ยืนยันตัวตน ถึงแม้ว่าเขาจะยืนยันตัวตนแล้วเขาก็เป็นเพียงแค่องครักษ์พิเศษ
องครักษ์เช่นนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลเซียวและมีอิสระไปไหนมาไหน พวกเขาอยากจะไปจากตระกูลเซียวเมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ เซียวเฉินจะมอบหยกวิญญาณสีเลือดให้กับบุคคลเช่นนี้ได้อย่างไร?
ที่สำคัญกว่านั้นหยกวิญญาณสีเลือดนี้เซียวเฉินแลกกับมันมาโดยการเสี่ยงชีวิต
และทุ่มความพยายามอย่างหนัก ในสายตาของเขาหยกนี้มันเป็นของเขาแล้วไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเซียว เขาคงจะไม่ส่งมอบมันให้กับผู้อื่นอย่างว่าง่าย
“ต้องขออภัย ข้าคิดเหตุผลที่ต้องส่งมอบหยกนี้ให้ท่านไม่ออกเลย” เซียวเฉินมองไปที่หลิวเฟิงหยินด้วยท่าทีสงบนิ่ง
หลิวเฟิงหยินสีหน้าเปลี่ยน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คาดคิดว่าเซียวเฉินจะปฏิเสธคำของเขา ขณะที่จ้องมองไปทางเซียวเฉิน กระแสแรงกดดันจากระดับขอบเขตนักบุญก็ระเบิดออกมา เขาต้องการใช้กระแสพลังในการข่มเซียวเฉิน
หากเป็นระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดทั่วไป พวกเขาคงมิอาจต้านทานต่อแรงกดดันจากระดับขอบเขตนักบุญได้ แรงกดดันมหาศาลเช่นนี้จะทำให้พวกเขายอมจำนนและทำตามคำของผู้นั้นโดยไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตามโชคไม่ดีสำหรับระดับขอบเขตนักบุญผู้นี้เซียวเฉินนั้นไม่ใช่ระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดทั่วไป จิตวิญญาณต่อสู้ภายในร่างของเซียวเฉินนั้นเป็นสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่คงอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ รัศมีพลังมันเทียบได้กับระดับขอบเขตพระเจ้า
แม้ว่าเซียวเฉินจะไม่สามารถควบคุมรัศมีพลังนี้และนำมันไปใช้ได้ มังกรฟ้ายังคงตอบโต้กลับเมื่อมันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันนี้ มันตอบโต้แรงกดดันอันแข็งแกร่งด้วยแรงกดดันที่แข็งแกร่งกว่า
ดังนั้นเซียวเฉินจึงเผชิญหน้ากับรัศมีพลังโดยปราศจากความกลัว เมื่อรัศมีพลังของระดับขอบเขตนักบุญปะทะเข้ากับรัศมีพลังของเซียวเฉินเซียวเฉินก็ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“อ้า!” หลิวเฟิงหยินมองไปที่เซียวเฉินด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่าแค่ระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นต่ำจะลบล้างรัศมีพลังของเขาได้
ความอึดอัดเกิดขึ้นในใจของเขา เขาตั้งใจจะเพิ่มความเข้มข้นของรัศมีพลังของเขาเพื่อบังคับให้เซียวเฉินยอมจำนน อย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากป่าด้านหลังของเขา เขารับสัมผัสได้ด้วยการรับรู้ของเขาและปลดรัศมีพลังของเขาลงทันที
เซียวเฉินรู้สึกโล่งใจทันที เมื่อเขามองไปที่ป่าด้านหลังเขาพบกับผู้อาวุโสหนึ่งและผู้อาวุโสสามผู้ที่นำระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธกลุ่มใหญ่ตรงเข้ามา
เมื่อเซียวเฉียงเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของเซียวอวี่หลันเขาก็รีบพุ่งเข้ามาช่วยทันที หลังจากที่ส่งพลังปราณเข้าไปยับยั้งอาการบาดเจ็บของนางเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ผู้อาวุโสหลิว ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือในครั้งนี้” เซียวเฉียงหันไปพบหน้าหลิวเฟิงหยินและกล่าวขึ้นด้วยความเคารพ
หลิวเฟิงหยินพยักหน้าอย่างไม่แยแสและไม่ได้ตอบกลับ สายตาของเขาก็ยังคงจับจ้องไปที่เซียวเฉิน ดูเหมือนราวกับเขากำลังมองดูของเล่นทำให้เซียวเฉินรู้สึกขนลุกในใจ
เจ้าไม่ควรมาล้ำเส้นข้าหรือคนอื่นๆ แม้เจ้าจะเป็นถึงระดับขอบเขตนักบุญเจ้าก็จบไม่สวยแน่ ความคิดรุนแรงก่อตัวขึ้นในใจเซียวเฉิน
ตอนนี้กองกำลังของตระกูลเซียวได้มาถึงแล้ว ไม่มีอะไรให้เซียวเฉินและเซียวออวี่หลันทำอีกต่อไป พวกเขาทั้งสองอาจจะได้รับความช่วยเหลือแล้ว แต่อย่างไรก็ตามจากสีหน้าของผู้อาวุโสหนึ่งและผู้อาวุโสสามเซียวเฉินก็เข้าใจว่าอันตรายจริงๆเพิ่งจะเริ่มขึ้น
กลุ่มคนที่ชายชุดดำนำมาทั้งหมดนั้นฆ่าตัวตายด้วยการกัดลิ้นตัวเอง หลังจากการตรวจสอบได้ยืนยันแล้วว่าพวกนั้นเป็นหน่วยกล้าตายของตระกูลถัง
ด้วยกองกำลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ พวกเขาไม่ได้มาที่ภูเขาชีเจี่ยวเพื่อปีนเขาเล่นแน่นอน ทุกคนสามารถรู้สึกได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้
ในคืนนี้ ดวงดาวเต็มท้องฟ้าพระจันทร์เต็มดวงลอยสูง
ภายในห้องของค่ายพักของตระกูลเซียวบนภูเขาชีเจี่ยวเซียวเฉินบ่มเพาะพลังอย่างไม่หยุดพัก เซียวเฉินฝึกฝนอย่างหนักและมุ่งมั่น เขาไม่อยากเสียเวลาไปแม้แต่วินาทีเดียว
หลังจากที่ผู้อาวุโสหนึ่งมาถึงและพาทุกคนมาที่ค่ายพักเขาได้ทำจัดเตรียมห้องให้กับเซียวเฉินและเซียวอวี่หลัน จากนั้นผู้อาวุโสหนึ่งก็ออกไปพบกับคนระดับสูงของตระกูลเซียวเพื่อพูดคุยถึงเรื่องในวันนี้
เซียวเฉินนั้นไม่มีความสนใจในเรื่องนั้น เขารู้สึกแขยงหลิวเฟิงหยิน เขามีความรู้สึกดูถูกว่าคนคนนี้นั้นไม่มีความกรุณาแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อเขาได้มาถึงห้องพักเข้าก็ลงมือบ่มเพาะพลังในทันที
ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆดังขึ้นเซียวเฉินลืมตาและหยุดการบ่มเพาะพลัง ใช้สัมผัสวิญญาณของเขาเพื่อตรวจสอบโดยรอบเขารู้ได้ทันทีถึงผู้มาเยือนคนนี้ เขายิ้มในใจและเดินไปเปิดประตูห้อง
“พี่อวี่หลัน เจ้ามาแล้ว” เซียวเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน เขาคิดไว้แล้วว่าเซียวอวี่หลันจะต้องมาพบเขา ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
ในขณะนี้เซียวอวี่หลันเปลี่ยนชุดของนางเรียบร้อยแล้ว หลังจากพักฟื้นไปทั้งวันสีหน้าของนางก็ดูดีขึ้นมาก เมื่อนางเห็นเซียวเฉินที่เปิดประตูออกมาอย่างกระทันหันนางก็ประหลาดใจ หลังจากนั้นรอยยิ้มสดใสก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของนาง “น้องเฉิน เราออกไปเดินเล่นกันไหม?”
ภายในค่ายพักอันใหญ่โตสามารถเห็นทหารของตระกูลเซียวเดินลาดตระเวนไปทุกที่ ทหารแต่ละคนนั้นอยู่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธพวกเขาจัดได้ว่าเป็นกองกำลังชั้นยอดของตระกูลเซียว
พวกเขาทั้งสองเดินไปยังพื้นที่ห่างไกลคน แสงจันทร์ใสส่องลงมาบนใบหน้าของเซียวอวี่หลันทำให้ใบหน้าของนางแลดูเศร้าหมอง เซียวเฉินเพียงแค่เดินไปกับนางโดยไม่ได้พูดอะไร
“พวกเขาจะปิดภูเขาในวันพรุ้งนี้ น้องเฉินเจ้ามีแผนจะทำอะไรต่อ?” หลังจากผ่านความเงียบมาเป็นเวลานานเซียวอวี่หลันก็บอกข่าวที่น่าตกใจขึ้น
ปิดภูเขา นี้เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นหลังจากที่ตระกูลเซียวได้เข้ามาปกครองภูเขาชีเจี่ยวแห่งนี้ เซียวเฉินไม่เข้าใจ เพียงปิดผนึกเฉพาะเขตสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 4 ขึ้นไปนั้นไม่เพียงพอรึ? จำเป็นต้องใช้มาตราการรุนแรงถึงขั้นนี้?
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเซียวเฉิน เซียวอวี่หลันอธิบายต่อ “เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับสัญญาสิบปี เมื่อมันเกี่ยวข้องกันได้เช่นไรข้าก็ไม่แน่ใจ”
สัญญาประลองสิบปีในทุกๆครั้งที่ผ่านมาตระกูลถังนั้นสละสิทธิ์ตลอด และด้วยการเคลื่อนไหวเช่นนี้ก่อนหน้าสัญญาสิบปีมันก็คงยากที่ทุกคนจะไม่สงสัยเกี่ยวกับมัน
“พี่อวี่หลันที่จริงระหว่างวันนี้ข้ามีโอกาสที่จะหลบไป” เซียวเฉินคิดหนักอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวช้าๆ มันเป็นการดีที่สุดแล้วที่จะอธิบายให้นางฟัง
รอยยิ้มนางฟ้าอันอ่อนโยนปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเซียวอวี่หลัน “ข้าเข้าใจ ข้าก็เดาไว้เช่นนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องเล่าให้ข้าฟัง”
“เจ้าเคยพูดเอาไว้ ทุกคนล้วนมีความลับเป็นของตัวเอง การไปสอดส่องความลับของคนอื่นไม่ใช่สิ่งที่ควรจะทำ”
เซียวอวี่หลันหยุดไว้ครู่หนึ่งจ้องมองเซียวเฉินอย่างเด็ดเดียวก่อนที่จะกล่าวต่อ “ข้ารู้เพียงว่าเจ้าเป็นน้องของข้าเซียวเฉิน น้องคนที่ทิ้งโอกาสที่จะหลบหนีไปเพื่อช่วยข้า แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับข้าแล้ว”
ได้ยินเช่นนี้เซียวเฉินรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างมาก หากเป็นผู้อื่นมากล่าวถามเช่นนี้กับเขาเขาก็อาจจะไม่ได้ใส่ใจ แต่เป็นเพราะนี่คือพี่อวี่หลันทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่ยากลำบาก
“ความจริง ข้าพอจะเดาได้แล้วว่าตระกูลถังนั้นตั้งใจจะมาจับสัตว์วิญญาณบางตัว” หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งเซียวเฉินก็เปลี่ยนเรื่องและหลบสายตาอันอบอุ่นของเซียวอวี่หลันที่จ้องมองเขาอยู่