ตอนที่ 55 สายลมที่พัดผ่าน
เซียวเฉินและโม่ฟ๋านช่วยกันจัดระเบียบห้องลับแห่งนี้ที่ไม่ได้ใช้มาเป็นระยะเวลานาน เสียเวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมงในการจัดห้อง
หลังจากนั้นโม่ฟ๋านก็ทำการตรวจสอบเตาไฟอีกครั้งแล้วก็พูดขึ้น “ข้ากำลังจะก่อไฟ เมื่อได้ยินคำสั่งให้เปิดเครื่องเป่าลม”
เซียวเฉินพยักหน้าและเดินตรงไปที่เครื่องเป่าลม เขาจับด้ามโยกที่ทำมาจากไม้อย่างประณีตด้วยสองมือ สัมผัสได้ถึงความเย็นผ่านมาจากคันโยกไม้
“เริ่ม!”
เปลวไฟในเตาร้องคำรามกึกก้องและมันส่งคลื่นความร้อนไปทั่วห้องลับใต้ดินนี้ในทันที อย่างไรก็ตามเรื่องน่าแปลกก็คือมันออกแบบมาได้อย่างแยบยล หลังจากคลื่นความร้อนไหลเวียนไปในอากาศได้ครบรอบมันก็กระจายออกไปรอบห้องอย่างทั่วถึง
นอกจากนั้นยังมีอากาศไหลเข้ามาจากช่องลม แม้ว่าห้องลับใต้ดินนี้จะร้อนระอุแต่ก็ไม่ถึงกับระดับที่หายใจติดขัด เซียวเฉินสลัดความคิดไร้สาระออกจากหัวจับคันโยกให้มั่นแล้วดึงมันกลับ
“ซี่!ซี่!”
เรื่องแปลกประหลาดก็เกิดขึ้น… เซียวเฉินประหลาดใจเมื่อพบว่าเขาดึงมันกลับมาได้เพียงไม่กี่นิ้วก่อนที่จะติดอยู่อย่างนั้น เขาเริ่มร้อนรนในใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ถึงแม้ข้ามันจะกากขนาดไหนข้าก็ยังมีพลังระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นกลางนะ
เป็นไปได้ที่มันจะไม่แม้แต่จะขยับสักนิดเดียว?
ไฟในเตากำลังค่อยๆมอดลงไป โม่ฟ๋านมองกลับมาทางเซียวเฉิน เขาพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล “นายน้อยเซียว ทำไมไม่ขยับ? ไฟในเตากำลังจะมอดดับไปแล้ว เตาไฟของข้ามันไม่ใช่เตาไฟทั่วไป ทุกครั้งที่จะจุดมันขึ้นมามันต้องใช้หินวิญญาณจำนวนมาก ข้าปล่อยพวกมันสูญเปล่าไปไม่ได้”
เซียวเฉินกังวลหนักขึ้นไปอีกไม่ว่าเขาจะพยายามเพียงใดเครื่องสูบลมก็ไม่ยอมขยับ เม็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขาไหลออกมาไม่หยุดหย่อน เกิดบ้าอะไรขึ้น? มันเป็นเพราะอะไร?
โม่ฟ๋านดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางอย่างและตรงเข้ามากำลังจะบอกเซียวเฉินถึงเคล็ดลับ
อ๋าวเจียวตะโกนหยุดเขาในทันที “เจ้าไม่ต้องมาสนใจทางนี้ ไฟดูเตาไฟแล้วก็เตรียมศิลาแสงจันทร์ไว้ให้ดี ข้าจะสอนเขาเอง”
เซียวเฉินรู้สึกได้ถึงของนิ่มนิ่มบางอย่างสัมผัสที่หลังหัวของเขา สัมผัสมันช่างนุ่มสบาย เขารู้สึกถึงความเย็นภายในห้องที่ร้อนระอุนี้ทำให้เขาใจเย็นลง
“เจ้าซื่อบื้อ! เครื่องเป่าลมนี่ใช้แต่แรงอย่างเดียวไม่ได้ เจ้าต้องค่อยติดตามการไหลของอากาศในขณะที่ออกแรง ไม่เช่นนั้นต่อให้เจ้าใส่แรงแค่ไหนมันก็ดึงไม่ลง ยิ่งถ้าเจ้าใส่แรงมากเกินไปเจ้าจะทำมันพังเอา”
กลิ่นหอมจางๆลอยมาแตะจมูกของเขา อ๋าวเจียวผู้ที่กำลังลอยอยู่ในอากาศเข้ามาแนบใกล้เขา หน้าอกอันอุดมสมบูรณ์ของนางแนบติดกับหลังหัวของเขา มือเรียวบางทั้งสองของนางจับลงบนแขนของเขา
นางค่อยๆจับแขนของเขาแนะนำควบคุมมันดึงคันโยกกลับมา ด้วยเสียงคำรามก้องเปลวไฟในเตาพุ่งสูงขึ้นในทันที อุณหภูมิภายในห้องร้อนขึ้นเป็นสองเท่า
อย่างไรก็ตามเซียวเฉินก็รู้สึกสดชื่นในใจ ในตอนนี้น้ำเสียงของอ๋าวเจียวฟังดูลื่นหูกว่าที่เป็นมา มันเหมือนกับสายลมสดชื่นในฤดูใบไม้ผลิและมันค่อยๆทำให้ใจสงบลง
เซียวเฉินลืมความรู้สึกนุ่มนิ่มด้านหลังเขาไปก่อน ภายใต้การแนะนำของอ๋าวเจียวเซียวเฉินใช้มือจับคันโยกควบคุมมันอย่างไม่รีบร้อน
อ๋าวเจียวผละออกมาจากหลังของเซียวเฉิน ตอนนี้นางมองไปที่โม่ฟ๋านที่อยู่ตรงหน้าเตา
โม่ฟ๋านหยิบศิลาแสงจันทร์ออกมาจากด้านหลังของเขาบ่นพึมพำกับตัวเอง “สิ้นเปลืองจริง! คนส่วนใหญ่หากจะสร้างอาวุธวิญญาณขึ้นมาสักชิ้นพวกเขาใช้ผงศิลาแสงจันทร์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น พอคิดว่าเขานั้นใช้ศิลาแสงจันทร์ชิ้นขนาดนี้”
“หากข้าไม่ขาดแคลนวัตถุดิบอื่นๆ ด้วยศิลาแสงจันทร์มากมายชิ้นนี้มันก็เพียงพอที่จะสร้างอาวุธระดับกึ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา”
อ๋าวเจียวมองดูศิลาแสงจันทร์ที่ถูกโยนลงไปในเตา ภาพด้านหน้าของนางก็เริ่มเบลอ…
มันเป็นภาพเดียวกับเมื่อหนึ่งพันปีก่อน เด็กหนุ่มหอบศิลาแสงจันทร์มากมายมุ่งตรงไปที่นิกายฟ้าคราม
ด้วยพรสวรรค์อันแกร่งกล้าของเขาผู้นำนิกายถึงกับลงมาจากภูเขาเป็นการส่วนตัวและสร้างอาวุธกึ่งศักดิ์ดาบไม้อัสนีขึ้นมาด้วยตัวเขาเอง
เมื่อแสงหลากสีทั้งห้าพุ่งขึ้นไปบนอากาศพลังวิญญาณแข็งแกร่งปกคลุมไปทั่วนิกายฟ้าคราม ทุกๆคนในระยะ 1000 ลี้สามารถสัมผัสได้ถึงเจตจำนงของดาบที่ไหลล้นออกมา
ทุกคนรับรู้ได้ว่าอาวุธกึ่งศักดิ์สิทธิ์ชิ้นที่ 6 ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้วในรอบพันปีที่ผ่านมา นางกำเนิดมาจากแสงสีแดงของรุ้ง นางดูบริสุทธิ์ราวกับนางจากที่ลงมาจากสวรรค์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาที่ไม่แปดเปื้อน
เด็กสาวที่กำเนิดใหม่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบสงบ ด้วยใบหน้าแสนไร้เดียงสานางดูราวกับเด็กๆ
อย่างไรก็ตามมันก็ไม่สามารถปกปิดความหยิ่งทะนงของนางไว้ได้ นางมองไปที่โลกกว้างโดยไม่ได้พูดอะไร ภายในรัศมีพันลี้อาวุธวิญญาณนับหมื่นต่างสั่นเกรงเพราะนาง
เพราะนางเป็นจ้าวแห่งดาบ นางคือจ้าวของดาบนับพันเหล่านั้น แม้ว่านางจะเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมานางก็มีความหยิ่งทะนงตั้งแต่ที่เกิดมา เหล่าอาวุธทั้งหลายจะต้องคุกเข่าลงเคารพ กับข้าที่เป็นจ้าวแห่งดาบ
ตัวข้าเป็นอาวุธกึ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นดาบของจักรพรรดิอัสนีซังมู่!
ไม่มีใครขัดขวางทางเดินของข้าได้ นางใช้ดาบตัดผ่านก่อเกิดแสงสว่างไปทั่วท้องฟ้าไหลผ่านก่อนเมฆ
“อาวุธกึ่งศักดิ์สิทธิ์กำลังบินทะยานขึ้นไป!”
“นางกำลังจะเลือกเจ้านาย!”
เสียงประหลาดใจด้านล่างผุดขึ้นซ้ำๆ อย่างไรก็ตามพวกเขาเต็มไปด้วยความยินดี ไม่คาดคิดว่าดาบไม้อัสนีที่เพิ่งได้ถือกำเนิดจะมาพร้อมกับความหยิ่งทะนงนั้นทำให้นางต้องการเลือกเจ้านายด้วยตัวเอง
นั้นหมายความว่าพวกเขาก็มีโอกาส หากพวกเขาทำให้นางยอมสยบต่อพวกเขาได้พวกเขาก็จะได้ครอบครองอาวุธกึ่งศักดิ์สิทธิ์ อาวุธกึ่งศักดิ์สิทธิ์ – สิ่งที่นักบ่มเพาะพลังทั้งหมายต่างฝันถึง
อย่างไรก็ตามชายคนนั้นก็ไม่ได้ให้โอกาสพวกเขาแม้แต่นิด ชายคนนั้นให้เวลาพวกเขาฝันหวานได้เพียงสามวินาทีเท่านั้น พวกเขาเห็นชายคนนั้นบินขึ้นไปในอากาศ ราวกับวิหคที่กางปีกทะยานเขารวดเร็วราวกับสายฟ้า ในพริบตาเขาก็คว้าดาบไม้อัสนีไว้ในมือของเขา
ซังมู่หัวเราะออกมาเสียงดังดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสุขพร้อมกับกล่าวขึ้น “ช่างเป็นดาบที่หยิ่งทะนงตน! นับจากวันนี้นามของเจ้าคืออ๋าวเจียว ข้าซังมู่จะแสดงให้เจ้าเห็นว่าข้าเป็นเจ้านายที่เจ้าต้องภาคภูมิใจ”
….
อุณหภูมิในห้องเพิ่มสูงขึ้นและสูงขึ้นไปอีก แม้จะออกแบบได้อย่างแยบยลเมื่อเตาไฟเผาเร่งอุณหภูมิให้สูงที่สุด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะกระจายความร้อนกว่าพันองศานี้ได้อย่างสมบุรณ์
เสื้อผ้าของเซียวเฉินชุ่มไปด้วยเหงื่อ ส่วนทางโม่ฟ๋านเขาถอดเสื้อโยนทิ้งไปเรียบร้อยแล้วเผยให้เห็นกล้ามเนื้ออันหนาแน่นของเขา
เซียวเฉินปาดเหงื่อบนหน้าผากเขารู้สึกว่าน้ำในตัวเขากำลังแห้งไป ภายในห้องลับใต้ดินนี้ราวกับเตาอบ เขารู้สึกว่าถ้าเขายังอยู่ที่นี้ต่อไปเขาต้องถูกย่างสุกเป็นแน่
อย่างไรก็ตามช่วงเวลาสำคัญได้เข้ามาถึงแล้ว โม่ฟ๋านใช้ทักษะลับและผสมโลหะเหลวในเตาไฟ ศิลาแสงจันทร์กองโตก่อนหน้านี้ถูกลดเหลือเพียงไม่กี่ชิ้น
ในจังหวะนี้พวกเขาไม่สามารถถอยกลับได้แล้ว หากเขาหยุดมืองานที่พวกเขาลงแรงมาทั้งหมดจะสูญเปล่า ‘อาวุธวิญญาณระดับสวรรค์’‘ ก็จะยังอยู่ในตำนานต่อไป
อย่างไรก็ตามในห้องนี้มันก็ร้อนจริงๆและเซียวเฉินรู้สึกเหมือนหน้ามืด เขายังคงสูบเครื่องเป่าลมอย่างไม่ลดละ ในจังหวะที่เขาหยุดมือเขาจะทำทุกอย่างพัง
จังหวะนั้นเองก็มีสายลมแรงพัดมาทางเซียวเฉิน สายลมนี้พัดไปถึงใจของเซียวเฉินทำให้ร่างที่กำลังเหี่ยวแห้งของเขาเย็นรู้สึกสบาย
แม้ว่าเขาไม่หันหลังกลับไปมองเขาก็เดาได้ว่าสายลมนี้มาจากอ๋าวเจียว เซียวเฉินรู้สึกอบอุ่นใจ พอคิดว่าผู้หญิงปากจัดคนนี้ก็มีด้านแบบนี้เหมือนกัน
นอกจากด้านนี้ของนางแล้วด้านหน้าของนางก็ ‘ใหญ่’ ไม่ใช่น้อย เมื่อเขานึกถึงเหตุการก่อนหน้านี้ร่างกายของเซียวเฉินก็ตอบสนองไปเอง
ให้ตายเถอะ! ข้าคิดอะไรอยู่? เซียวเฉินตบหัวตัวเองก่อนที่จะใจเย็นลง จากนั้นก็ตั้งใจคุมเครื่องเป่าลม
ทุกครั้งที่เซียวเฉินเริ่มจะยืนต่อไม่ไหวก็จะมีสายลมเย็นชื่นพัดมาจากข้างหลังของเขา มันปัดเป่าความเหนื่อยล้าของเขาเติมเต็มพลังอีกครั้ง
ศิลาแสงจันทร์ขนาดใหญ่ในที่สุดก็ถูกโยนลงไปในเตาไฟจนหมดเผาไหม้อยู่ภายในนั้น ศิลาแสงจันทร์ทั้งหมดกลายเป็นโลหะหลอมหเหลว มีหยดศิลาแสงจันทร์เดือดกระโดดขึ้นมาจากพื้นของเหลวที่หลอมละลายอย่างต่อเนื่อง
โม่ฟ๋านเฝ้ามองดูของเหลวที่เหลมอละลายอย่างระมัดระวังคลื่นความร้อนที่ออกมาจากมันนั้นดูเหมือนจะทำอะไรเขาไม่ได้เลย ภายในเตาปรากฎเป็นสีเหลืองทองส่องสว่างอันเป็นเอกลักษณ์ของศิลาแสงจันทร์
สีหน้าของโม่ฟ๋านเปลี่ยนเป็นจริงจังพร้อมกับหยิบเหล็กน้ำค้างเหมันต์ออกมา มือซ้ายของเขาหมุนเป็นวงกลมทำให้ของเหลวในเตาหมุนตามอย่างรวดเร็ว คลื่นความร้อนอันน่ากลัวแผ่กระจายออกมายิ่งกว่าเดิม
“ฟูว”
เมื่อโลหะเหลวนั้นหมุนเวียนจนได้ที่โม่ฟ๋านก็ส่งเหล็กน้ำค้างเหมันต์ลงไปในใจกลางน้ำวนทำให้มีเศษลองเหลวกระฉอกออกมา
เหล็กเหมันต์ระดับสูงสุดค่อยๆละลายอย่างช้าๆ สีเหลืองทองประกายผสมรวมเข้ากับสีดำผสานเข้ากันอย่างช้าๆ เมื่อเหล็กน้ำค้างเหมันต์ละลายจนหมดแสงสีเหลืองทองก็หายไปกลายเป็นโลหะเหลวสีดำส่องประกายบริสุทธิ์
โม่ฟ๋านเห็นทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เขาตะโกนออกมาเบาๆและตบมือซ้ายลงไปที่เตาไฟ แรงดูดมหาศาลออกมาจากฝ่ามือของเขา ของเหลวในเตาเริ่มหมุนวนอย่างต่อเนื่องรวมตัวกันในอากาศ
เหงื่อบนหน้าผากของโม่ฟ๋านแตกเม็ดหยดลงมาราวกับสายฝน อย่างไรก็ตามในจังหวะนี้เขาไม่ได้ใส่ใจกับมัน เขาเฝ้าดูโลหะเหลวที่หมุนวนอยู่บนฝ่ามือของเขาอย่างใจจดใจจ่อ
ในที่สุดโลหะเหลวทั้งหมดก็ถูกดูดขึ้นไปในอากาศกลายเป็นทรงกลมขนาดประมาณลูกบอล มันส่งคลื่นความร้อนอันน่ากลัวออกมาพร้อมกับหมุนวนอย่างต่อเนื่อง
“ฟู่!”
ในจังหวะนั้นเองมีมีแสงปรากฎออกมาจากมือของอ๋าวเจียว ต่อมาลำแสงก็ถูกยิงออกมาจากมือของนางพุ่งเข้าไปในลูกบอลโลหะ
โม่ฟ๋านพูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “นี้มัน…รากปัญญาแห่งการต่อสู้”
รากปัญญาแห่งการต่อสู้คือต้นกำเนิดพลังโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุด หากมีมันอาวุธวิญญาณจะสามารถพัฒนาพลังต่อสู้ได้ถึงขีดสุด
ตามตำนานรากปัญญาแห่งการต่อสู้นั้นถูกแบ่งออกเป็นหกส่วน แต่ละส่วนแสดงถึงความเข้าใจถึงทักษะต่อสู้ที่แตกต่างกัน รากปัญญาแห่งการต่อสู้ทั้งหกส่วนนั้นถูกฝังลงในอาวุธกึ่งศักดิ์สิทธิ์หกชิ้น
ตามข่าวเล่าลือหากรวบรวมอาวุธกึ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกชิ้นที่ฝังรากปัญญาแห่งการต่อสู้เอาไว้ด้วยกันมันจะถือกำเนิดเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นใหม่ อย่างไรก็ตามตั้งแต่โบราณกาลมาจนถึงตอนนี้ในประวัติศาสตร์กว่าหนึ่งหมื่นปีของทวีปเทียนวู่ก็ปรากฎอาวุธศักดิ์สิทธิ์ออกมาเพียงสิบชิ้นเท่านั้น
สำหรับตำนานที่เล่าลือมานี้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ ไม่เคยมีใครรวบรวมอาวุธกึ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกชิ้นนี้เข้าด้วยกันมาก่อน