ตอนที่ 67 ควบคุมอสูรปีศาจ?
เซียวเฉินวิ่งตามตามทิศทางที่ได้ยินเสียงร้องมาจากทางตะวันออกของค่ายพัก ยิ่งเขาเข้าไปใกล้เสียงกรีดร้องก็ยิ่งดังมากขึ้น เมื่อเขาห่างจากต้นเสียงได้ประมาณ 400 เมตรเขาก็หยุดเท้าลง
เซียวเฉินส่งสัมผัสวิญญาณออกไปเป็นแบบเส้นตรงและขยายยืดออกไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เมื่อส่งออกไปได้ประมาณ 200 เมตรเซียวเฉินสัมผัสได้ว่ามีอะไรมาปิดกั้นสัมผัสวิญญาณของเขาไว้
“ฟิ่ว!”
เซียวเฉินรวบรวมพลังวิญญาณและปั้นสัมผัสวิญญาณของเขาให้เป็นรูปดาบแหลมพยายามที่จะทะลวงผ่านมันเข้าไปอย่างช้าๆ หลังจากนั้นระยะเวลาหนึ่งสัมผัสวิญญาณของเขาในที่สุดก็เจาะทะลุไปถึงต้นเสียง
ในช่องข้างหน้ามีระดับขอบเขตปรมจารย์ที่ใส่ชุดของตระกูลถังกำลังนอนอยู่กับพื้น ข้างหน้าของเขามีนกตัวใหญ่สีดำกำลงเจาะเข้าไปในอวัยวะภายในของเขา
เซียวเฉินขมวดคิ้วและเงยหน้าขึ้นไปมองตรงนั้นมีร่างดำมืดของคนกำลังลอยอยู่ในอากาศ เขาดำมืดยิ่งกว่าท้องฟ้ายามราตรีและส่งสัมผัสความรู้สึกลึกล้ำราวกับหลุดดำออกมา
แม้ว่ามันจะแปลกหลาด เซียวเฉินสัมผัสได้ถึงความอ่อนแออย่างมากออกมาจากร่างของคนคนนั้น เขาจะต้องได้รับบาดเจ็บมาสาหัส
“หลังจากที่ซ่อนตัวเงียบมากว่าสามปี ในที่สุดข้าก็เจอเจ้า” เซียวเฉินได้ยินร่างดำมืดนั้นพึมพำกับตัวเองและหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นในคืนมืดมิดเช่นนี้ราวกับเสียงที่ดังมาจากนรก มันช่างดูมืดมน
ทันใดนั้นพลังฉีสีดำก็ไหลออกมาจากร่างของนักบ่มเพาะพลังที่นอนอยู่กับพื้นและไหลเข้าไปในร่างของอีกคน สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความพึงพอใจเป็นที่สุด มันราวกับว่าเขาได้ริมรสอาหารอันโอชะเหมือนกับนกแปลกๆที่กำลังกัดกินเครื่องในอยู่
เซียวเฉินสามารถรู้สึกได้ว่าบาดแผลบนร่างดำมืดนั้นกำลังฟื้นตัวขึ้นมาพร้อมกับพลังฉีสีดำที่ไหลเข้าไปในร่างของเขา เขาใช้การกัดกินเครื่องในของมนุษย์เพื่อใช้ในการฟื้นบาดแผลขอเขา มันไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อพลังฉีสีดำสลายหายไปนักบ่มเพาะพลังของตระกูลถังที่อยู่บนพื้นก็ไม่ได้ส่งเสียงออกมาอีก นกยักษ์สีดำบินไปที่เท้าของชายมืดมนคนนั้นพร้อมกับเสียง ‘โสบ’
เซียวเฉินตกใจมากเขาแน่ใจว่านกตัวนั้นคืออสูรปีศาจ คนคนนี้สามารถขี่อสูรปีศาจได้ นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“แต่เดิมข้าคิดว่าความตายนั้นกำลังรอคอยข้าอยู่ ใครจะรู้ว่าข้าจะหนีมาเจอกับอาหารพวกนี้ ราชาผู้นี้คาดไม่ถึง” ชายคนนั้นยิ้มขึ้นรู้สึกพึงพอใจกับตัวเองขณะที่ยืนอยู่ตรงหน้านกยักษ์
ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขามองเข้ามาที่สัมผัสวิญญาณของเซียวเฉิน ดวงตาของเขาเปร่งประกายลึกล้ำและราวกับว่าเขามองเห็นสัมผัสวิญญาณไร้รูปร่างของเซียวเฉินได้
เซียวเฉินรีบบีบสัมผัสวิญญาณของเขาให้เล็กลงและไปซ่อนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่แอบสังเกตการณ์ชายคนนั้น
หลังจากที่เขามองเห็นสัมผัสวิญญาณของเซียวเฉินมันดูเหมือนกับว่าเรานึกถึงบางอย่างที่น่ากลัวขึ้นมาได้ ความหวาดกลัววาดผ่านใบหน้าของเขา เขารีบกระโจนขึ้นนกปีศาจบินหนีไปอย่างทุลักทุเล
มันรวดเร็วมากราวกับสายฟ้าสีดำทมิฬ ทิ้งร่องรอยประกายแสงนับไม่ถ้วนไว้ในป่ามืด เขาหลุดออกจากขอบเขตสัมผัสวิญญาณของเซียวเฉินไปอย่างรวดเร็ว
เซียวเฉินไม่กล้าที่จะผลีผลาม เขาตรงไปหาร่างไร้วิญญาณของนักบ่มเพาะพลังตระกูลถังอย่างช้าๆหลังจากที่ชายคนนั้นหายไปไกลแล้ว สภาพของเขาเหมือนกับสองศพก่อนหน้าที่เขาเจอ จากที่ดูพวกเขาตายในตอนที่นกนั้นกำลังกัดกินพวกเขา
คนคนนี้สามารถสังหารระดับขอบเขตปรมจารย์สามคนได้อย่างง่ายดายทั้งๆที่เขาบาดเจ็บสาหัสอยู่ ระดับขอบเขตพลังของเขาอยู่ระดับไหนกัน? เซียวเฉินเพียงคิดก็ตัวสั่น
ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ชายแปลกหลาดคนนี้ก็ช่วยเซียวเฉินจัดการปัญหาของเขาออกไปได้ หากระดับขอบเขตปรมจารย์ทั้งสามปรากฎตัวขึ้นเพื่อฆ่าเซียวเฉินและคนอื่นๆ พวกเขาอาจจะไม่รอด
เมื่อคิดได้ดังนั้นเซียวเฉินก็ไม่ไปสนใจศพตรงหน้าเขาอีกและกลับไปที่ค่ายพักอย่างรวดเร็ว เซียวเฉินปิดเรื่องนี้กับเซียวอวี่หลันไว้เป็นการชั่วคราวก่อนเมื่อนางซักถามขึ้นมา
เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกประหลาดมาก พอคิดว่าจะมีใครสักคนที่สามารถควบคุมอสูรปีศาจได้ ก่อนที่จะหาคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เซียวเฉินตัดสินใจที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่บอกใครเป็นการชั่วคราว
เมื่อถึงประมาณเที่ยงคืนพวกเขาทั้งสองเรียกคนอื่นมาเปลี่ยนกะ หลังจากพักได้สี่ชั่วโมงท้องฟ้าก็สว่างขึ้น แน่นอนภายในป่าทมิฬแห่งนี้ทัศนวิสัยมันก็ไม่ได้ต่างไปจากกลางคืนเสียเท่าไหรแต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้หนาวเหน็บเหมือนตอนกลางคืน
เซียวเฉินลองขยับมือซ้าย ด้วยเม็ดยาห้วนคืนโลหิตเขารู้สึกว่ามือเขาไม่เป็นปัญหาอีกต่อไปแล้ว พลังปราณยังไหลเวียนได้ไม่ราบลื่นเท่าไหรมันจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่เคลื่อนไหวมันมากนักในตอนนี้
คนอื่นๆในกระท่อมยังคงหลับสนิทอยู่ เมื่อมันไม่มีแสงอาทิตย์ส่องลงมาที่กระท่อมเพื่อปลุกพวกเขา ดังนั้นเซียวเฉินจังต้องปลุกพวกเขาด้วยตัวเอง
หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาเสร็จพวกเขาก็เริ่มที่จะแบ่งกลุ่มกัน
เมื่อพวกเขาแบ่งกลุ่มกัน เซียวหลิงเอ๋อแจ้งว่านางนั้นอยากจะอยู่กลุ่มเดียวกับเซียวเฉิน ยังมีอีกสองสามคนที่คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
นี่ทำให้เซียวเฉินรู้สึกปวดหัว ท้ายที่สุดเขาก็จับเซียวเจี้ยนและเซียวอวี่หลันอยู่กลุ่มเดียวกัน เช่นนี้ความแข็งแกร่งของทั้งสองกลุ่มก็จะไม่หนีห่างกันมากนัก
สุดท้ายเซียวหลิงเอ๋อก็มาอยู่กลุ่มเดียวกับเซียวเฉินจนได้ เซียวเฉินนำพากลุ่มทั้งสี่คนมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ เขาตัดสินใจว่าจะเริ่มด้วยกิ้งก่าเพลิง
เป็นเพราะว่าเขาฆ่ามันไปสองสามตัวแล้ว ทำให้มีประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากับมัน เขาปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณออกไปและในไม่ช้าก็พบกิ้งก่าเพลิงตัวหนึ่งอยู่บนยอดต้นไม้ใหญ่
“รอตรงนี้” เซียวเฉินพูดออกมาให้ทั้งกลุ่มหยุดฝีเท้า
“พี่เฉินทำไมให้พวกเราหยุด? หรือจะมีอสูรปีศาจ? มันอยู่ตรงไหน?” เซียวหลิงเอ๋อถามขึ้นมาอย่างดี๊ด๊ากวาดสายตามองไปทั่ว
เซียวเฉินยิ้ม “หยุดหาได้แล้วมันอยู่บนหัวเจ้า”
เซียวหลิงเอ๋อได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจถอยกลับหลังไปสองสามก้าว เซียวเฉินเงยหัวขึ้นและเห็นกิ่งไม้ซ้อนทับสลับซับซ้อนทำให้ท้องฟ้าถูกบดบังไว้และดูลึกลับ
นี่คือป่าทมิฬ นอกจากอันตรายที่มาจากรอบข้างแล้วยังต้องระวังอันตรายที่มาจากด้านบน รอยยิ้มของเซียวเฉินจางหายไปพร้อมกับเปิดปากพูด “พวกเจ้าทั้งหมดถอยออกไป”
หลังจากพูดจบร่างของเขาเลือนหายไปจากจุดเดิมสายฟ้าตัดผ่านเข้ามาในความมืด พวกเขาเห็นร่างของเซียวเฉินเลือนรางมี่กำลังถือกระบี่เงาจันทร์กระโดดจากกิ่งไหม้หนึ่งไปอีกกิ่งไม้หนึ่ง
เมื่อสายฟ้าจางหายไปป่าก็หลับมามืดมิดเช่นเดิม ทั้งสี่คนข้างล่างมองไม่เห็นแม้แต่เงา ทั้งหมดที่พวกเขาเห็นก็คือกิ่งไม้ที่วูบไหวไปมา
“บูม!”
เสียงดังมาจากบนยอดต้นไม้และสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ก็ร่วงลงมาที่พื้นทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน ทั้งสี่คนรีบถอยออกไปอย่างเร่งด่วน
เซียวเฉินไม่ได้ตามลงมา กลับกันเขายืนอยู่บนต้นไม้ยิ้มให้กับคนที่อยู่ด้านล่าง “ได้เวลาแสดงฝีมือแล้ว อย่าประมาทเป็นอันขาดมิเช่นนั้นอาจจะจบลงที่กลายเป็นศพ”
กิ้งก่าเพลิงลุกขึ้นมาก่อนที่พวกเขาทั้งสี่จะได้ตั้งตัวเสียอีก เมื่อมันเห็นว่าเป็นศัตรูมันก็กวาดหางของมันเข้าใส่พวกเขา
พวกเขาทั้งสี่กระโดดแตกกระจายกันไปคนละทาง เงาสีแดงพุ่งตรงไปหาเซียวหลิงเอ๋อราวกับริบบิ้นที่ตวัดไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
นั้นทำให้เซียวเฉินประหลาดใจ แม้ว่าโดยปกติเซียวหลิงเอ๋อจะดูเด๋อๆแต่การตอบสนองของนางนั้นรวดเร็วมาก นางผลักเท้าลงไปที่พื้นเบาๆและร่างของนางก็หลบการโจมตีได้อย่างคล่องแคล่ว
นางยังฟันกลับไปสร้างบาดแผลที่ลิ้นสีแดงในตอนที่นางหันกลับมา กิ้งก่าเพลิงตัวนี้แข็งแกร่งกว่าตัวที่เซียวเฉินไปเจอมาครั้งก่อนความเหนียวของลิ้นนั้นสูงกว่ามาก อาวุธวิญญาณของเซียวหลิงเอ๋อไม่อาจจะตัดมันให้ขาดได้
พวกเขาทั้งสี่โดนกิ้งก่าเพลิงไล่กวดไปทั่วสาปแช่งเซียวเฉินในใจรู้สึกว่าเซียวเฉินนั้นช่างน่ารังเกียจ หลายคนเริ่มรู้สึกเสียใจที่ตามเซียวเฉินมา
ไม่มีใครคาดคิดว่าเซียวเฉินจะจับกิ้งก่าเพลิงโยนใส่พวกเขา คนที่วางแผนว่าจะพึงพาความแข็งแกร่งของเซียวเฉินในตอนนี้รู้สึกผิดมหันต์
เวลาไหลผ่านไปช้าๆ และมีบางอย่างที่ทำให้พวกเขาทั้งสี่แทบกระอักเลือดออกมา เซียวเฉินหยิบเหล้าขวดนึงออกมานั่งกระดกอยู่บนต้นไม้สบายใจ
“เซียวเฉินเจ้ามันน่ารังเกียจ เห็นอยู่ว่าพวกเราโดนไล่กวดอย่างน่าสังเวชเจ้ายังคงนั่งนิ่งไม่มาช่วยพวกเรา! ” ในที่สุดก็มีบางคนข้างล่างทดไม่ไหวและเปิดปากดุว่าเขา
“ใช่แล้ว! พี่เฉินเจ้ามันไร้หัวใจ หลิงเอ๋อเริ่มจะชอบเจ้าขึ้นมาแล้วแท้ๆ แต่ตอนนี้ข้าเกลียดเจ้า!” เซียวหลิงเอ๋อบุ้ยปากพูดออกมาเป็นฝืนเป็นไฟ
เซียวเฉินปรากฎรอยยิ้มจางๆไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด หลังจากที่พวกเขาเอาชนะความกลัวในครั้งแรกไปได้ในที่สุดพวกเขาก็จะก้าวผ่านมันไปเอง
พวกเขาทิ้งบาดแผลไว้ทั่วตัวของกิ้งก่าเพลิง หลังจากที่พวกเขาโดนหางของกิ้งก่าเพลิงฟาดเขาไปสองสามครั้ง มีพวกเขาสองคนที่เลือดหยดออกมาจากมุมปาก
อย่างไรก็ตามเซียวเฉินก็ยังไม่ลงมือ นี่เป็นการทดสอบของพวกเขา หากเขาไม่ลงมือจัดการเองมันก็ไม่มีความหมาย จะบรรลุในเส้นทางแห่งการต่อสู้ก็ต่อเมื่อพวกเขาอยู่ในสถานการณ์ความเป็นความตาย มันไม่สามารถบรรลุได้ด้วยความช่วยเหลือจากผู้อื่น
“ปัง!”
เซียวหลิงเอ๋อไม่อาจหลบได้พ้นและถูกฟาดด้วยหางของกิ้งก่าเพลิง นางกระอักเลือดออกมาเต็มปาก เมื่อเห็นเช่นนั้นเซียวเฉินคิดว่าไม่อาจจะนั่งดูต่อไปได้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตามมีบางสิ่งเกิดขึ้นทำให้เซียวเฉินประหลาดใจ สาวน้อยคนนี้ไม่ได้ร้องออกมาสักแอะ ใบหน้าอันงดงามของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่ นางดูไม่เหมือนตัวนางปกติ ผู้หญิงประหลาด
“ทักษะต่อสู้ วายุตัดเมฆา”
หลิงเอ๋อใช้ทักษะต่อสู้ออกมากลางอากาศ ดาบในมือของนางราวกับสายลมที่นำพาเมฆาลงมาและด้วยแสงสีขาวที่ตัดผ่านหางของกิ้งก่าเพลิงออกเป็นสองส่วน
เซียวหลิงเอ๋อลงจอดบนพื้นอย่างมั่นคงและเช็ดเลือดตรงมุมปากออก จากนั้นนางก็ปั้นหน้ามองไปที่เซียวเฉินนั้นทำให้เขาหัวเราะออกมาน้ำตาไหล
“ซุว!”
คนอื่นๆก็ระเบิดพลังออกมาและทำลายลิ้นสีแดงอาวุธที่ดีที่สุดของกิ้งก่าเพลิง ตอนนี้เจ้ากิ้งก่าย่างเสียอาวุธสำคัญไปแล้วสองอย่าง ขวัญกำลังใจของทุกคนกลับคืนมา
ฆ่า!ฆ่า!ฆ่า!
ทุกคนล้วนตื่นเต้นและเริ่มผลาญพลังปราณของพวกเขาประเคนทักษะต่อสู้ออกมา พวกเขาทำให้อสูรปีศาจที่น่ากลัวนี้ถอยกลับไปอย่างน่าสังเวชและในระยะเวลาสั้นๆสภาพของมันก็ดูไม่จีดเหมือนก่อนหน้านี้
“ข้าโดนเจ้าไล่กวดอย่างน่าสมเพชเมื่อครู่ ข้าจะต้องสังหารเจ้าให้ได้ในวันนี้!” นักบ่มเพาะพลังตระกูลเซียวคนที่โดนมันฟาดหางใส่ไปถึงสองครั้งกล่าวออกมาอย่างโหดเหี้ยม
ในจังหวะที่กิ้งก่าเพลิงกำลังจะตายลงมีลูกศรน้ำแข็งส่องประหายเยือกเย็นถูกยิงออกมาจากที่ไกลออกไป พร้อมกับเสียง ‘โซว’ มันก็สังหารกิ้งก่าเพลิงลง พลังฉีเยือกเย็นกระจายไปทั่วร่างของกิ้งก่าเพลิง
มันทำให้พลังฉีสีดำในร่างของมันถูกขับออกไป จากนั้นกิ้งก่าเพลิงก็กลายเป็นรูปสลักน้ำแข็ง พลังคุกคามของพลังฉีอันเยือกเย็นนี้แข็งแกร่งมาก ทุกคนต่างตกใจและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ปัง!”
เซียวเฉินกระโดดลงมาจากต้นไม้และยิงลำแสงเพลิงสีม่วงออกมาพุ่งชนเข้ากับลูกศรน้ำแข็งที่ถูกยิงมาจากระยะไกลและระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง
น้ำแข็งสลายหายไปแต่เปลวเพลิงสีม่วงที่แท้จริงไม่ได้อ่อนแรงลงแต่อย่างใดและยังคงพุ่งตรงไปข้างหน้า
“บูม!”
หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดระเบิดขึ้นข้างหน้า มีเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา