ตอนที่ 74 สำนักฉินสวรรค์
ครึ่งเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหกและกำหนดการศึกสัญญาสิบปีก็ขยับใกล้เข้ามา เซียวเฉินยังคงขุดหลุมฝังตัวค้นคว้าเกี่ยวยันต์และคาถาสละชีวิตต่อไป เขาเลือกที่จะใช้เวลาอยู่คนเดียวไม่ออกจากบ้านของเขาไปไหน
“ฮ่ะ!”
เซียวเฉินทำตามวิธีการที่บันทึกไว้ในตำราบ่มเพาะพลังและอัดฉีดพลังวิญญาณลงไปในรูปสลักไม้วิญญาณ พร้อมกับเสียง ‘โซว’ รูปสลักนั้นกลายเป็นสตรีเรืองแสงสีทองปรากฎตัวขึ้นกลางอากาศ
สตรีผู้นี้ถือหอกด้ามยาวไว้ในมือ นางโบกสะบัดหอกในมือไปในอากาศเบาๆและกระแสพลังฉีมังกรก็ไหลมารวมที่ตัวหอก เงามังกรทองทั้งเก้าปรากฎขึ้นด้านหลังของนางส่งพลังอำนาจของมังกรแผ่ไปรอบตัว
“บูม!”
รอยยิ้มของเซียวเฉินจางหายไปพร้อมกับสตรีนางนั้นที่แตกสลายกลายเป็นกองขี้เถ้าและลอยกระจายไปในอากาศ
ยังคงล้มเหลวต่อไปเซียวเฉินถอนหายใจ ความก้าวหน้าในการสร้างยันต์ของเขารุดหน้าไปมากแต่ยังคงติดขัดกับการร่ายคาถาสละชีวิต
มันไม่ยากเย็นสำหรับเซียวเฉินที่จะแกะสลักสัตว์ตัวเล็กๆและมอบชีวิตให้พวกมันได้ชั่วคราว อย่างไรก็ตามเขายังไม่อาจสำเร็จที่จะสร้างกองกำลังและอาวุธได้จริงๆ
สตรีนางนี้เขาใช้เยว่หยิงมาเป็นต้นแบบ เยว่หยิงคือผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เซียวเฉินเคยพบเจอมา นอกจากนั้นทักษะแปรลักษณ์ของต้นกำเนิดปัญญายุทธของเซียวเฉินยังสามารถจับร่องรอยของทักษะต่อสุ้ที่นางใช้ได้
อย่างไรก็ตามหลังจากใช้ความพยายามมากว่าครึ่งเดือนเซียวเฉินยังคงรู้สึกว่ารูปสลักของเขายังขาดความสง่างามที่สำคัญบางอย่าง สิ่งมีชีวิตที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ต่อสู้สามารถยืนอยู่ได้ไม่ถึงสามวินาที
เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะทำสำเร็จหลังจากที่ก้าวขึ้นสู่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธ? เซียวเฉินนึกสงสัยในใจ ไม้วิญญาณในตอนนี้เหลือประมาณครึ่งเมตรจากเดิมที่ยาวกว่าหนึ่งเมตร โอกาสทดลองของเซียวเฉินมีจำกัด
มันเป็นเรื่องยากที่จะหาไม้วิญญาณเช่นนี้ เซียวเฉินให้เป่าเอ่อไปดูที่ศาลาหลินหลางแม้แต่สาขาอื่นในมณฑลฉี่จื๊อ มันยังเป็นของหายากที่ปีนึงจะโผล่มาให้เห็นสักครั้ง
ไม้วิญญาณเหล่านี้ที่มีอายุยิ่งหายากขึ้นไปอีก แม้ว่าจะมีไม้วิญญาณเหล่านี้ตุนไว้ในคลังเซียวเฉินก็ไม่อาจจะหามันมาใช้ได้เรื่องจากความต้องการมันสูงมาก มีอยู่ช่วงหนึ่งที่มันโดนเหมาซื้อจากนักปรุงยาในราคาสูงลิบ
แม้เซียวเฉินจะเป็นกังวลเขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันจนเกินไป เขาไม่สามารถรีบร้อนได้ เมื่อพิจารณาถึงความเข้าใจและพลังวิญญาณยิ่งเร่งรัดมันมันก็ยากที่จะเข้าถึง
กลับมาที่โต๊ะของเขาอารมณ์หดหู่ของเซียวเฉินก็ดีขึ้นเล็กน้อย ของที่กระจัดกระจายบนโต๊ะของเขาก็คือยันต์ที่เขาสร้างขึ้นมาตลอดหลายวันมานี้
ยันต์ที่ระบุไว้ในตำราบ่มเพาะพลังมันช่างซับซ้อนและมีหลากหลายรูปแบบ ยันต์หลากชนิดเหล่านี้พาให้เขาปวดหัวมันมากเกินกว่าที่ดวงตาของเขาจะรับไหว เพื่อให้ง่ายที่เขาจะจำพวกมันได้เซียวเฉินแบ่งมันออกเป็นสามประเภท ประเภทโจมตี ประเภทป้องกันและประเภทพิเศษ
ยันต์ประเภทโจมดีส่วนใหญ่ใช้พลังวิญญาณคุณลักษณะแตกต่างกันไป ยิ่งอักษรยันต์ซับซ้อนมากขึ้นเท่าไหรก็ยิ่งมากคุณลักษณะขึ้นเท่านั้นและการโจมตีของมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
สำหรับประเภทป้องกันและประเภทพิเศษนั้นทางทฤษฎีพวกมันทำงานคล้ายคลึงกับยันต์ประเภทโจมตีเพียงแต่ใช้รูปแบบต่างกันเล็กน้อย
ยันต์สามารถแบ่งออกได้เป็นเก้าระดับด้วยพลังในปัจจุบันของเซียวเฉินเขาสามารถเขียนยันต์ได้สูงสุดที่ระดับ 2 มันก็เป็นไปได้ที่เขาจะเขียนยันต์ระดับ 3 ขึ้นมาแต่อัตราความล้มเหลวยังคงสูงอยู่
หลังจากที่ลองมาหลายครั้งเซียวเฉินก็หยุดพยายาม มันสิ้นเปลืองวัตถุดิบมากเกินไปและสิ่งที่ได้มาไม่คุ้มที่จ่ายไป
“นายน้อยสองผู้อาวุโสหนึ่งให้มาตามท่านไปที่ห้องโถงใหญ่ เขาบอกว่ามีแขกคนสำคัญมาพบ” เสียงใสไพเราะของเป่าเอ๋อดังมาจากอีกฝั่งของประตู
เซียวเฉินเปิดประตูออกมา เขาพูดด้วยความสงสัย “แขกสำคัญ? เป่าเอ๋อเจ้ารู้ไหมว่าเป็นใคร?”
เป่าเอ๋อยิ้มอย่างซุกซน “สาวงามเป็นสาวงามนางหนึ่งเลยทีเดียว ผุ้อาวุโสหนึ่งเคารพนางอย่างยิ่ง เรียกนางว่าแม่นางเฟิง”
“แม่นางเฟิง? เฟิงเฟยเสวี่ย ?”
ดวงตาเซียวเฉินเบิกกว้าง “คือสตรีที่แต่งตัวเป็นชาย?”
เป่าเอ๋อตอบกลับอย่างแปลกใจ “นายน้อยสองทราบได้อย่างไร?”
“ข้าไม่ตอบได้ไหม?” เซียวเฉินยิ้มอ่อนโยน
แน่นอน เซียวเฉินคิดในใจมันจะต้องเป็นเฟิงเฟยเสวี่ย อย่างแน่นอน น่าแปลกนางมาทำอะไรที่ตระกูลเซียวในเวลาเช่นนี้?
มันห่างจากศึกสัญญาสิบปีเพียงครึ่งเดือนหรือว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ?
หลังจากเดินผ่านสวนเล็กๆเซียวเฉินก็มาถึงห้องโถงใหญ่อย่างรวดเร็ว ที่ทำให้เซียวเฉินประหลาดใจก็คือนอกจากเซียวเฉียงและเฟิงเฟยเสวี่ย เซียวเจี้ยนและเซียอววี่หลันก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
“นายน้อยเซียวมันก็เป็นเวลาสักพักแล้ว” เฟิงเฟยเสวี่ย ยังคงแต่งชุดชายแสดงออกถึงความห้าวหาญแต่นางยังคงงดงามเหมือนเช่นเคย
เซียวเฉินยิ้มเบาๆ “ข้าไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบเจ้าที่นี่ ไปที่ไหนก็พบเจ้าแม่นางเฟิงช่างมีอำนาจกว้างขวาง”
เมื่อทั้งสามคนที่อยู่ข้างๆเห็นว่าเซียวเฉินรู้จักกับเฟิงเฟยเสวี่ย พวกเขาก็งุนงง เซียวเฉียงถามขึ้น “เซียวเฉินเจ้ารู้จักกับแม่นางเฟิง?”
เซียวอวี่หลันและเซียวเจี้ยนก็สงสัยในใคร่รู้คำตอบของเซียวเฉิน
เซียวเฉินนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้างเซียวอวี่หลัน “ไม่อาจพูดได้ว่าข้ารู้จักกับนาง พวกเราเคยพบกันสองสามครั้ง ผู้อาวุโสโปรดแนะนำพวกเราอย่างถูกต้อง”
เซียวเฉียงยิ้มขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ทางนี้คือแม่นางเฟิงเฟยเสวี่ย กลุ่มการค้าที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรต้าฉินดำเนินการโดยตระกูลของนาง ธุรกิจของพวกเขาขยายไปทั่วทวีป แม้แต่อาณาจักรต้าจินพวกเขาก็อยู่อันดับต้นๆ”
“บรรพบุรุษของนางและตระกูลเซียวมีความสัมพันธ์บางอย่าง” ดวงตาของเขาเศร้าเล็กน้อยเมื่อพูดถึงตรงนี้
เฟิงเฟยเสวี่ย สังเกตเห็นความโศกเศร้าในดวงตาของเซียวเฉียง นางยิ้มขึ้นอย่างเฉยเมยท่าทางดูสงบ “ลุงเซียวกล่าวเกินไป… พวกเราเป็นเพียงนักธุรกิจ”
แม้ว่านางจะพูดอย่างถ่อมตัวแต่วิธีที่นางพูดก็แสดงให้เห็นว่ายอมรับคำพูดของเซียวเฉียง เซียวเฉินและอีกสองคนประหลาดใจ ทวีปเทียนวู่นั้นกว้างใหญ่และตระกูลของนางยังขยายธุรกิจได้ไปทั่วทวีปมันต้องการความแข็งแกร่งที่ไม่อาจประเมินได้
อย่างไรก็ตามด้วยอำนาจล้นฟ้าเช่นนี้พวกเขามามีความสัมพันธ์กับบรรพบุรุษของตระกูลเซียวได้เช่นไร? แม้พวกเขาจะมีความสัมพันธ์กับบรรพบุรุษตระกูลเซียวก็ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องมาเยี่ยมเยือนตระกูลเซียวในเวลาเช่นนี้
เซียวเฉินมองไปที่พวกเขาทั้งสามและพูดขึ้น “เมื่อพวกเจ้าทั้งสามมากันครบแล้วข้าก็จะบอกถึงจุประสงค์ที่แม่นางเฟิงมาที่นี่ หลังจากที่ศึกสัญญาสิบปีจบลงไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไรแม่นางเฟิงมีความคิดที่จะแนะนำพวกเจ้าให้กับสำนักฉินสวรรค์”
สำนักฉินสวรรค์…. เมื่อพวกเขาทั้งสามได้ยินเช่นนี้หัวใจของพวกเขาก็เดือดพล่านขึ้นมาและไม่อาจสงบลงได้
สำนักฉินสวรรค์เป็นหนึ่งในห้าสำนักยิ่งใหญ่ในทวีปเทียนวู่ มันตั้งอยู่ที่เมืองหลวงของอาณาจักรต้าฉิน แต่ความจริงมันตั้งมาก่อนที่อาณาจักรต้าฉินจะถือกำเนิดเสียด้วยซ้ำ
ตามตำนานจักรพรรดิผู้ก่อตั้งอาณาจักรต้าฉินหยิงเจิ้งร่ำเรียนที่สำนักฉินสวรรค์ในตอนที่เขายังเยาว์ หลังจากที่เขาก่อตั้งอาณาจักรขึ้นมาเขาก็ประกาศให้สำนักฉินสวรรค์เป็นสำนักประจำอาณาจักร
นอกเหนือจากสามแดนศักดิ์ศักสิทธิ์ในทวีปเทียนวู่ยังมีขุมพลังอีกหลายแห่งที่ปรากฎในทวีปเทียนวู่ บ้างในนั้นเก่าแก่ยิ่งกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอีก
กลุ่มพลังเหล่านี้ถูกสืบทอดกันมาตั้งแต่ราชวงศ์เทียนวู่ ในใจของเหล่าผู้คนพวกนั้นไม่ได้แตกต่างมากมายกับแดนศักดิ์สิทธิ์ ยกตัวอย่างกลุ่มพลังที่อยู่ในอาณาจักรต้าฉินก็มีนิกายดาบเงาหมอก,ศาลากระบี่สวรรค์,และวังราตรีเหมันต์
สำนักฉินสวรรค์ดำรงอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างขุมอำนาจทั้งสองนั้น แข็งแกร่งกว่าทั่วไปแต่เป็นรองจากสามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่อย่างไรก็ตามยังมีพื้นฐานต่างจากนิกายพวกนั้น สำนักฉินสวรรค์จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการค้านอำนาจกันระหว่างนิกาย เป็นเพียงสำนักเพื่อร่ำเรียนวิชาเท่านั้น
แม้แต่จะเกิดความขัดแย้งภายในครอบครัวของราชวงศ์ ผุ้อาวุโสขั้นสูงของสำนักก็ไม่ได้สอดมือเข้าไปยุ่ง
เซียวเจี้ยนระงับความตื่นเต้นในใจและถามขึ้น “ด้วยความสามารถของพวกเราพวกเราจะเข้าสำนักฉินสวรรค์ได้จริง?”
เฟิงเฟยเสวี่ย ยิ้มอย่างเฉยเมย “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล การสอบเข้าสำนักไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับขอบเขตพลัง สิ่งที่ให้ความสำคัญมากที่สุดคือความสามารถในการต่อสู้ นอกจากนั้นด้วยระดับพลังของเจ้าตอนนี้ก็ไม่ถือว่าเลวในอาณาจักรแห่งนี้”
“ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นเหล่าตระกูลใหญ่ทั้งหลายจะมีที่นั่งสำรองเก็บไว้ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
เซียวเจี้ยนไม่ใช่คนโง่เขาเข้าใจได้ทันทีว่านางหมายถึงอะไร เขาถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “ที่นั่งเหล่านั้นมีค่ามหาศาล เจ้ามีจุดประสงค์อะไรถึงมอบมันให้กับพวกเรา? ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะใจกว้างขนาดนั้น”
เฟิงเฟยเสวี่ย ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้เมื่อนางได้ยินเช่นนั้น “นายน้อยหนึ่งช่างตรงไปตรงมาแต่ข้าไม่ได้หวังอะไรตอบแทนนั้นเป็นเรื่องจริง หากเจ้าไม่เชื่อข้าเจ้าถามลุงเซี่ยวดู”
ทั้งสามหันไปทางเซียวเฉียงเพื่อฟังรอฟังคำของเขา ไม่เรียกร้องอะไรสักอย่างมันไม่อาจเชื่อได้อย่างแน่นอน
เซียวเฉียงพยักหน้าของเขา “หากพวกเจ้ามีข้อสงสัยอะไรแค่พูดมันออกมา หากพวกเจ้าไม่อยากที่จะไปแม่นางเฟิงก็ไม่บังคับ”
“เซียวเจี้ยนขอขอบคุณความหวังดีของแม่นางเฟิง ข้าต้องการที่จะไปโปรดอภัยให้กับคำพูดเมื่อครู่”
“ข้าอยากจะรู้จักโลกกว้างสวรรค์สูงและเหล่าอัจฉริยะมากมายในโลกนี้ หากข้ายังอยู่ในเมืองม่อเหอไปตลอดข้าจะต้องมานึกเสียใจทีหลังเป็นแน่” น้ำเสียงของเซียวเจี้ยนเต็มไปด้วยความห้าวหาญวิญญาณกล้า
เซียวอวี่หลันมองไปที่เซียวเฉิน ดวงตาของนางเต็มไปด้วยประกายความหวัง “น้องเฉินเจ้าว่าอย่างไร?”
“ข้าจะรอจนท่านพ่อกลับออกมาจากการเก็บตัวฝึกฝน” เซียวเฉินกล่าวหลบเลี่ยงคำถาม
แม้ว่าเซียวเฉินรอคอยที่จะเข้าร่วมสำนักฉินสวรรค์แต่เขาก็ไม่ได้อยากเท่าเซียวเจี้ยน สำหรับการค้นหาโลกกว้างสวรรค์สูงและเหล่าอัจฉริยะในใต้หล้า…. จะพบคำตอบเหล่านั้นได้ที่สำนักฉินสวรรค์จริงๆ?
เมื่อใบไม้บดบังหนึ่งตาหาได้เห็นภูเขาไท่ซาน ท้องฟ้าที่เจ้าเห็นอาจจะเป็นเพียงใบไม้สำหรับผู้อื่น
*** เมื่อใบไม้บดบังหนึ่งตาหาได้เห็นภูเขาไท่ซาน แปลว่าไม่อาจเห็นถึงภาพรวม
เซียวเฉินตัดสินใจไว้นานแล้วว่าหลังจากจบศึกสัญญาสิบปีเขาจะไปจากตระกูลเซียว ไปที่ใดเขาก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ หลังจากเรื่องของอ๋าวเจียวกระบี่เงาจันทร์ก็ไม่ได้ส่งเสียงหาเขาอีกเลย สถานที่ที่เขาอยากจะไปจริงๆเลยก็คือศาลากระบี่สวรรค์
เมื่อคิดถึงอ๋าวเจียวความรู้สึกกดดันที่เขาเก็บเอาไว้ก็ผลักออกมาทำให้เขารู้สึกว่างเปล่า
เซียวเจี้ยนต้องแปลกใจอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยินคำของเซียวเฉิน เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปทางผู้อาวุโสหนึ่ง เซียวเฉิยงยิ้มเบาๆ “ไม่เป็นไร หลังจากที่ผู้นำตระกูลกลับออกมาจากการเก็บตัวเขาจะเคารพการตัดสินใจของเจ้า เขาจะไม่มาขวางอย่างแน่นอน”
เซียวอวี่หลันรู้สึกผิดหวังอย่างช่วยไม่ได้เมื่อไม่เห็นความต้องการที่จะไปในคำพูดของเซียวเฉิน นางกล่าวออกมาอย่างเศร้าสร้อย “แม่นางเฟิงข้าอยากจะขอเก็บไปคิดก่อน?”
มองเห็นการแสดงออกของเซียวอวี่หลันประกายความประหลาดใจวูบผ่านดวงตาของเฟิงเฟยเสวี่ย แต่ก็หายไปย่างรวดเร็ว “อีกหนึ่งเดือนข้าถึงจะออกเดินทางเจ้าสามารถใช้เวลาคิดให้รอบคอบ”
จากนั้นนางก็หันไปทางเซียวเฉิน “นายน้อยเซียวข้าอยากจะขอพูดอะไรกับเจ้า?”
เซียวเฉินมองไปทางผู้อาวุโสหนึ่ง เมื่อเห็นเขาพยักหน้าก็ตอบกลับ “แน่นอนไม่มีปัญหา”
ทั้งสองเดินออกไปจากห้องโถงใหญ่และเฟิงเฟยเสวี่ย ก็เดินนำไปข้างหน้า พวกเขาหยุดลงที่สวนแห่งหนึ่ง หันกลับมาสายตาสดใสคู่นั้นจ้องมาที่เซียวเฉิน
เซียวเฉินพูดขึ้นรู้สึกเลิกลั่กเล็กน้อย “ข้าสงสัยว่าแม่งนางเฟิงมีอะไรจะพูดกับข้า”
“ฟุ่บ!”
เฟิงเฟยเสวี่ย ไม่ได้ตอบกลับเป็นคำพูด กลับกันพัดพับเล่มหนึ่งปรากฎขึ้นในมือของนางพร้อมกับดันมันไปข้างหน้าเซียวเฉิน พัดพับเล่มนั้นส่องเเสงสีแดงเพลิงเมื่อมันมาถึงหน้าเซียวเฉินมันก็กางออก
ดอกบัวสีแดงเพลิงลอยสูงขึ้นไปในอากาศ มันช่างมีเสน่ห์และสวยงาม