ตอนที่ 81 ค่ายกลอัสนีเก้าสวรรค์
ณ ตระกูลเซียวสูงขึ้นไปบนฟ้า 1000 เมตร
เซียวเฉินใช้คาถาแรงโน้มถ่วงและลอยขึ้นสูงไปบนฟ้า ปลายผมและชายเสื้อของเขาโบกสะบัดไปตามสายลม
เขาปลดปล่อยสัมผัสวิญญารออกมาและค่ำคืนที่มืดมิดไม่อาจบดบังเขาได้อีกต่อไป นิคมตระกูลเซียวทั้งหมดปรากฎขึ้นในหัวของเขา
หลังจากที่เขาออกมาจากห้องของเซียวอวี่หลันเขาเห็นเหล่าสานุศิษย์ตระกูลเซียวที่บาดเจ็บพากันเดินออกมาจากห้องยา หัวใจของเขาไม่อาจสงบได้อีกต่อไปเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญห้าคนแต่พวกเขากลับหมดหนทางต่อต้านโดยสิ้นเชิง
ที่จริงเซียวเฉินนั้นมีโอกาสที่จะป้องกันโศกนาฎกรรมนี้ไว้ได้ มีค่ายกลหลากหลายรูปแบบบันทึกไว้ในตำราบ่มเพาะพลัง สิ่งที่เขาต้องทำก็คือวางค่ายกลขนาดใหญ่มันจะสามารถขัดขวางผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญห้าคนไว้ได้อย่าแน่นอน
อย่างไรก็ตามพลังงานที่ค่ายกลนี้ต้องการมันมากกว่าระดับพลังปัจจุบันของเขาไปมาก นอกจากนั้นเขาไม่คิดว่าภายในเมืองม่อเหอแห่งนี้จะมีใครกล้าบุกโจมตีตระกูลเซียวเช่นนี้
ดูเหมือนว่าความคิดของเขาจะไร้เดียงสาเกินไป ดูเหมือนภูเขาชีเจี่ยวจะเนื้อหอมมากกว่าที่เขาจินตนาการไว้
ทันใดนั้นเซียวเฉินก็ลืมตาขึ้นและลดระดับลงไปช้าๆจนถึงพื้นลงจอดบนพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของตระกูลเซียว เขาใช้สัมผัสของเขาอีกครั้งและบ่นพึมพำกับตัวเอง “นี่ควรจะเป็นตำแหน่งเชี่ยน ตำแหน่งเชี่ยนหมายถึงสววรค์และตำแหน่งคุนก็แทนผืนปฐพี เมื่อกำหนดตำแหน่งเชี่ยนได้แล้วตำแหน่งอื่นก็หาได้ง่าย”
*** 乾 เชี่ยน 坤 คุน เป็นตำแหน่งในฮวงจุ้ยครับ
หลังจากที่เขาพึมพำจบเซียวเฉินก็หยิบกระดาษยันต์,พู่กันและหมึกที่ทำมาจากเลือดของสัตว์อสูรวิญญาณและแก่นกลางปีศาจออกมา จากนั้นเขาก็หยิบมีดขึ้นมากรีดแผลเล็กๆบนมือของเขา
เซียวเฉินหมุนเวียนทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้นเลือดที่ไหลออกมาจากมือของเขาก็เรืองประกายแสงออกมา เมื่อมันหยดลงไปในน้ำหมึกสีม่วงมันก็ส่องแสงสีทองออกมา
ใบหน้าของเขาซีดขาวและริมฝีปากกลายเป็นสีม่วงเซียวเฉินรู้สึกเวียนหัวแต่เขาก็พยายามกัดฟันยังขืนไว้
นี่เป็นค่ายกลอัสนีเก้าสวรรค์ มันไม่ใช่สิ่งที่จะกางออกมาด้วยระดับพลังปัจจุบันของเขา เพื่อที่จะทำมันออกมาให้ได้เขาจำเป็นต้องใช้ปราณโลหิตของเขา
เมื่อของเหลวภายในขวดเปลี่ยนเป็นสีทองจางๆเซียวเฉินก็หยุดการหมุนเวียนทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ สีผิวของเขาดูดีขึ้นเมื่อห้ามเลือดที่ไหลออกไปจากบาดแผล
เซียวเฉินจับพู่กันขึ้นมาและจุ่มลงไปในหมึกวิญญาณสีอำพัน สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมก่อนที่จะลงมือวาดลงไปบนแผ่นยันต์อย่างรวดเร็ว
แผ่นยันต์เรืองแสงสีเหลืองสดใสในขณะที่เขาลงมือ เมื่อเซียวเฉินวาดจบเส้นสุดท้ายทันใดนั้นแสงสีทองก็พุ่งออกมาจากแผ่นยันต์จากนั้นมันก็พับตัวเองอย่างรวดเร็วและลงมาที่มือของเซียวเฉิน
เซียวเฉินถือแผ่นยันต์ไว้ในมือขวาของเขาพร้อมกับวาดวงกลมลงบนพื้นด้วยมือซ้ายของเขาจากนั้นตัวอักษร 乾 (เชี่ยน) ก็ปรากฎขึ้นภายในวงกลม
มือขวาที่ถือแผ่นยันต์เอาไว้ชี้ไปที่พื้นและสะบัดมืออย่างรวดเร็วส่งแผ่นยันต์ลงไปที่วงกลมสีทอง
“บูม!”
เกิดเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องและสายฟ้าฟาดผ่านลงมา ราวกับมีอะไรเรียกนำมันให้ลงมา มันผ่าตรงเข้าไปที่วงกลมที่ส่องประกาย แสงสีจางหายไปและพื้นดินก็กลับมาเป็นปกติราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามผ่านทางสัมผัสวิญญาณของเขาเขาสามารถบอกได้เลยว่าแผ่นยันต์ที่เต็มไปไปด้วยปราณโลหิตของเซียวเฉินถูกฝังลงด้วยพลังอันไร้ขอบเขตของอัสนีสวรรค์ ขอเพียงแค่เซียวเฉินต้องการมันก็เปิดใช้งานทันที
“เชี่ยน,เจิ้น,หลี้,ซุ่น,คุน,ตุ้ย,ข่าน,เกิ่น….ตำแหน่งต่อไปคือเจิ้น เกี่ยวข้องกับสายฟ้า ข้าต้องมองหาพื้นที่ที่มีธาตุสายฟ้าหนาแน่นที่สุด และต้องหาพื้นที่ที่สอดคล้องกับตำแหน่งทั้งแปดอื่นๆด้วย”
เซียวเฉินพูดกับตัวเอง เขาพบตำแหน่งที่เหมาะสมกับตำแหน่งทั้งแปดเมื่อเขาอยู่บนท้องฟ้าก่อนหน้านี้ ที่เหลือที่ต้องทำคือหาตำแหน่งที่มีคุณลักษณะสายฟ้าหนาแน่นที่สุด
สองชั่วโมงต่อมาเซียวเฉินวางแผ่นยันต์ที่เต็มไปด้วยปราณโลหิตของเขาลงบนตำแหน่งทั้งแปด เชี่ยน,เจิ้น,หลี้,ซุ่น,คุน,ตุ้ย,ข่านและเกิ่น ลงในจุดที่สอดคล้องกับ สวรรค์,สายฟ้า,ไฟ,ลม,ปฐพี,ลุ่ม,น้ำ,ภูเขา
เซียวเฉินหลับตาลงเบาๆและภายในสัมผัสวิญญาณของเขาค่ายกลอลังการก็ปรากฎขึ้นล้อมรอบตระกูลเซียว มีแสงสายฟ้าจางๆสูงขึ้นไปบนฟ้าและค่ายกลอัสนีเก้าสวรรค์ในที่สุดก็เสร็จสมบูรณ์ เซียวเฉินยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อสัมผัสกับพลังสวรรค์และปฐพีอันไร้ขอบเขตนี้ เพียงประทับมือออกมาไม่ว่าจะเป็นกองทัพหมื่นม้าพันคนเขาก็มั่นใจว่าสามารถทำลายทิ้งได้ไม่เหลือซาก
เมื่อเซียวเฉินลืมตาขึ้นความรู้สึกเหนื่อยล้าก็ระเบิดออกมา เซียวเฉินนักบุญหัวตัวสั่น หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไปและล้มลงหมดสติกองกับพื้นพร้อมกับเสียง ‘ปุทง’
….
ณ เมืองม่อเหอภายในห้องลับของตระกูลถัง
ผู้นำตระกูลจางและผู้นำตระกูลถังได้ยินว่าระดับขอบเขตนักบุญทั้งห้าคนกลับมาแล้วแต่กลับพบว่า…
“ท่านผู้นำตระกูลอย่ารอให้ถึงศึกสัญญาสิบปี หลังจากที่ข้าฟื้นคืนจากอาการบาดเจ็บไปจัดการตระกูลเซียวให้สิ้นซาก เจ้าเซียวเฉินนั้นมันต่ำทรามเกินไปแล้ว” ระดับขอบเขตนักบุญที่ถูกเซียวเฉินกระทืบยับพูดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด
ชายชุดน้ำเงินพูดขึ้น “เหลิงเส่อหยู่เจ้าไม่เห็นผู้นำตระกูลเซียวที่กลับออกมาจากการเก็บตัวนั้นได้กลายเป็นระดับขอบเขตราชาเรียบร้อยแล้ว? เจ้าคิดว่าพวกเรายังเหลือโอกาส?”
“เจ้าที่อยู่ระดับขอบเขตนักบุญยังไม่อาจจัดการกับระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นต่ำเพียงคนเดียวได้ ข้าละอายใจแทนเจ้าจริงๆ”
สีหน้าของเหลิงเจ๋อยูกลายเป็นดำมืดพร้อมกับพูดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด “หลานเฉาหยางเจ้าหมายความว่าเช่นไร? หากมีระดับขอบเขตราชาพุ่งมาใส่เจ้าเจ้าก็ไม่รอดเช่นกัน”
“ข้าหมายถึง…” หลานเฉาหยางเย้ยหยัน “ความจริงที่เจ้าโดนทุบตีมาน่าสลดและยังไม่ทำตามคำสั่ง”
“เอาล่ะ! หยุดกัดกันได้แล้ว!” ทันใดนั้นผู้นำตระกูลเหลิง – เหลิงหยุ่นเจิ่งก็พูดขึ้น เสียงของเขาไม่ได้ดังมากมายและไม่ได้ใส่อารมณ์ใดๆแต่ทั้งสองคนที่เถียงกันอยู่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
เหลิงหยุ่นเจิ่งจ้องไปที่เหลิงเส่อหยู่ “เส่อหยู่อย่าพูดเรื่องไร้สาระขึ้นมาอีก แม้ว่าเซียวฉงจะเข้ามาสอดแต่ความล้มเหลวในครั้งนี้ก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้า เป็นเพราะเจ้าใช้เวลานานเกินไป”
เหลิงเส่อหยู่รู้สึกเยาะเย้ยและไม่พอใจแต่เขาก็ไม่กล้าไปตอบโต้ “ข้าเข้าใจแล้ว มันเป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่อาจคว้าโอกาสไว้ได้”
เหลิงหยุ่นเจิ่งเบี่ยนสายตาไปหาหลานเฉาหยาง “เฉาหยางในเรื่องของภูเขาชีเจี่ยวอย่างไม่ต้องสงสัยเจ้ามีส่วนช่วยมากที่สุด อย่างไรก็ตามอย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการในครั้งนี้”
“ก่อตั้งนิกาย… นั้นหมายความว่าตระกูลเหลิงของข้าเดิมพันทุกอย่างไว้กับสิ่งนี้ ข้าไม่ต้องการความผิดพลาด หากพวกเราล้มเหลวเจ้ารู้ว่าข้าทำอะไรได้…”
หลานเฉาหยางก้มหัวต่ำและพูดขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไม่ขัดขืน ข้าจะชดใช้ให้ในอนาคต”
เมื่อเหลิงหยุ่นเจิ่งมองเห็นทัศนคติของทั้งสองที่แสดงออกมาสีหน้าของเขาก็อบอุ่นขึ้น “เมื่อตระกูลสามัญเติบใหญ่มาถึงขั้นหนึ่งและอยากจะก้าวหน้าต่อไปอีกมันก็มีเพียงสองทาง ก่อตั้งนิกายหรือว่ายกระดับเป็นตระกูลชั้นสูง”
เหลิงหยุ่นเจิ่งถอนหายใจและกล่าวต่อ “ตระกูลเหลิงของพวกเราไม่ได้มีสายเลือดที่พระเจ้าประทานให้ดังนั้นจึงมีทางเดียวคือก่อตั้งกิกาย หากไม่ได้มีภูเขาชีเจี่ยวเพียงลูกเดียวภายในมณฑลฉี่จื๊อข้าก็ไม่ได้อยากไปลงมือกับตระกูลเซียว”
สัมผัสได้ถึงความอิจฉาในสายเลือดพระเจ้าประทานในน้ำเสียงของเหลิงหยุ่นเจิ่ง หากเขามีสายเลือดเช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องเดิมพันความพยายามกว่าร้อยปีของตระกูลเหลิงในการลงมือกับตระกูลเซียว
เป็นการเสี่ยงที่คนทั่วไปไม่อาจเข้าใจได้ แม้ตระกูลเซียวจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนในอดีตแต่ก็ไม่ใช่ว่าใครจะไปเหยียบย่ำได้ตามใจ
ถังเที่ยนยืนอยู่ด้านข้างหูฟังมาเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็มีโอกาสพูดขึ้นอย่างกังวล “ผู้อาวุโสเหลิง เซียวฉงนั้นออกมาจากการฝึกตนกลายเป็นระดับขอบเขตราชา?”
ผู้นำตระกูลจางที่กำลังยืนอยู่ด้านข้างเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน ทั้งสองตระกูลจับมือสู้รบกับตระกูลเซียวมาเป็นเวลายาวนาน พวกเขารู้ดีว่าเซียวฉงเป็นเช่นไร เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเซียวฉงนั้นตอนนี้ก้าวสู่ระดับขอบเขตราชาพวกเขาก็เกิดความกลัวขึ้นในใจ
เมื่อเหลิงหยุ่นเจิ่งได้ยินเช่นนั้นเขาก็ยิ้มอย่างไม่แยแส “พี่น้องถังเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เซียวฉงกลับออกมาจากการเก็บตัวฝึกแล้วก็จริงแต่ยังอยู่เพียงระดับขอบเขตนักบุญขั้นสูงสุด จิตวิญญาณยุทธของเขามีคุณลักษณะลมนั้นจึงทำให้เขาเหาะเหินได้”
“ในอีกสามวันข้างหน้าผู้อาวุโสระดับขอบเขตนักบุญคนสุดท้ายของตระกูลข้าจะนำกำลังระดับขอบเขตปรมจารย์ห้าสิบคนมาที่นี่เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อย่างไรก็ตามข้าก็หวังไว้ว่าจะไม่ต้องใช้พลังถึงเพียงนี้ หากทั้งสองตระกูลของพวกเจ้าสามารถจัดการตระกูลเซียวได้ในศึกสัญญาสิบปีนั้นจะเป็นการดีที่สุด มันจะลดปัญหาไปได้มาก”
เมื่อผู้นำตระกูลทั้งสองได้ยินดังนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นถังเที่ยนก็เหือนนึกอะไรขึ้นได้ “ข้าได้ยินว่าเซียวเฉินไม่ได้รับบาดเจ็บ หากเป็นเช่นนั้นตามกฎของการประลองพวกเราสองตระกูลก็ไม่ได้เปรียบอะไรมากนัก”
ตามกฎของการประลองสัญญาสิบปี ตระกูลเซียว,ตระกูลถังและตรกูลจางจะต้องเลือกตัวแทนสามคนล่วงหน้า ในวันประลองหนึ่งในสองตระกูลจะต้องท้าประลองกับตระกูลเซียวผู้ชนะการประลองจากนั้นก็จะเจอกับตระกูลสุดท้าย ผู้ชนะได้รับสิทธิ์ในภูเขาชีเจี่ยวไป
ถังเที่ยนพูดขึ้น “ด้วยความแข็งแกร่งของเซียวเฉินแม้จะหนึ่งสู้สามพวกเราก็อาจไม่ชนะ ผลลัพธ์ไม่อาจบอกได้แน่นอนโดยเฉพาะหากปล่อยให้มันได้พักหนึ่งวันก่อนที่จะถึงวันประลอง”
ผู้นำตระกูลจางที่ยืนอยู่ด้านข้างหยักหน้าเห็นด้วย เมื่อเหลิงหยุ่นเจิ่งได้ยินเช่นนั้นก็ปรากฎสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ความรับผิดชอบก็มาตกที่เขา
สีหน้าของเหลิงหยุ่นเจิ่งไม่เปลี่ยนแปลงพร้อมกับพูดขึ้นอย่างไม่แยแส “ไม่ใช่ปัญหา ข้าจะคิดหาทางเอง แม้ว่าจะแพ้พวกเราก็ยังมีแผนสุดท้ายอยู่ ข้าเพียงแต่หวังว่าเราจะไม่ต้องทำถึงขั้นนั้น”
….
ในวันต่อมาภายในห้องโถงใหญ่ของตระกูลเซียว
ก่อนที่หยาดน้ำค้างยามเช้าจะระเหยไปเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดที่มารวมตัวกันแล้ว
ผู้นำตระกูลเซียวเซียวฉงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลาง เขาพูดกับเซียวเฉียงที่อยุ่ด้านข้างเขา “ผู้อาวุโสหนึ่งท่านคิดยังไงกับสถานการณ์ในตอนนี้?”
เซียวเฉียงตอบกลับในทันที “สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ชัดเจน ตระกูลเหลิงร่วมมือกับตระกูลจางและตระกูลถังสู้กับพวกเรา ปราศจากความช่วยเหลือจากภายนอกก็ไม่อาจจัดการปัญหานี้ได้”
คนอื่นๆก็เห็นเป็นเช่นนั้น ปราศจากความช่วยเหลือจากภายนอกไม่เพียงแต่ตระกูลเซียวจะเสียภูเขาชีเจี่ยวไปแต่ก็ยากที่จะอยู่รอดผ่านไปได้
เซียวเฉียงกล่าวต่อ “อันที่จริงแม่นางเฟิงในตอนนี้ยังอยู่ที่เมืองม่อเหอ เมื่อไม่กี่วันก่อนนางก็มาเยี่ยมเยือนตระกูลเซียว”
เมื่อเซียวฉงได้ยินเกี่ยวกับเฟิงเฟยซู่สีหน้าของเขากลายเป็นน่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อ เขาพูดขึ้นด้วย น้ำเสียงขุ่นมัว “นางมาทำอะไรที่นี่? ป้าของนางส่งนางมาเพื่อดูสภาพน่าสมเพชของพวกเรา?”
เซียวเฉียงรีบอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้น หลังจากเซียวฉงได้ยินดังนั้นเขาก็พูดขึ้น “ข้าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของพวกเขาแต่ไม่มีทางสำหรับข้าที่จะมองหาความช่วยเหลือจากตระกูลเฟิง ส่งใครสักคนไปตามเซียวเฉินมาหาข้าที”