บทที่ 11 – โลกที่กลายมาเป็นดันเจี้ยน (4)
นอกเหนือจากแสงสว่างแหางอนาคตของฉันในฐานะนักสำรวจดันแล้ว นี่มันก็ยังเป็นวันสุดท้ายของฉันในฐานะนักเรียนชั้นมัธยมปลายอีกด้วย มันเป็นพิธีจบการศึกษา
“กลิ่นของจ้นสนป่าดงดิบ…”
ที่หอประชุมมีการเล่นเพลงโบราณของโรงเรียนและเด็กก็ร้องมันออกมา แน่นอนว่าไม่มีนักเรียกคนใดที่ให้ความสนใขกับเพลงและคำพูดของครูใหญ่ แม้ว่าเมื่อมีคนขึ้นไปรับรางวัลก็ไม่มีใครสนใจเลย
มันเป็นแบบนั้นเสมอมา เพื่อพิธีจบการศึกษาของฉันได้จบลง น้องสาวของฉันก็ได้เข้ามามอบช่อดอกไม้ให้ฉัน
เธอมีผมที่ยาวตกและมีใบหน้าที่เหมือนกับตุ๊กตา แม้ว่าความสูงของเธอนั้นมันจะถือเป็นข้อบกพร่อง แต่ส่วนอื่นๆน้องจากนั้นไม่เลยเธอมีหุ่นของนางแบบที่คนอื่นๆจะต้องอิจฉา หน้าอกของเธอที่มีอยู่เพียงน้อยนิดก็เป็นข้อบกพร่องเช่นกัน แต่ว่าในสายตาฉันแล้วมันสมบูรณ์แบบ
“พี่ชายขอแสดงความยินดีด้วยที่จบการศึกษา”
“ขอบคุณมากยุยมันสวยมากเลย”
“ฮิฮิ ฉันได้เลือกมันมาด้วยตัวเอง
“ไม่ ฉันหมายถึงว่าเธอสวยมาก ฉันสงสัยจะว่าใครมันจะเป็นน้องชายที่โชคดีคนนั้น?”
“ฮิฮิ พี่ชาย”
เมื่อเห็นน้องสาวของฉันหัวเราะด้วยรอยยิ้มที่น่ารักฉันก็ได้กอดเธอเบาๆ ด้วยร่างกายของฉันที่ลดลงไปจนเหลือ 190 เซนและไม่ใหญ่โตอีกแล้ว ยุยได้หยุดตัวฉันแล้วเมื่อเธอเห็นฉัน นี่มันเป็นเพราะว่าดันเจี้ยนที่ทำให้ฉันกลายมาเป็นมนุษย์ที่สามารถจะสื่อสารกับน้องสาวได้
ขณะที่ฉันกำลังเพลิดเพลินไปกับความสุขด้วยการถือดอกไม้และกอดน้องสาวของฉัย แม่ของฉันก็ได้มาตบที่หัวของฉัน
“เฮ้ หยุดเลยนะ! ทั้งคู่เลยอย่าได้คิดอะไรแปลกๆหละ ถ้าหากลูกต้องการแม่จะพาไปตรวจดีเอ็นเอได้นะ”
“เอ่อ มะ แม่”
“แน่นอนว่าพวกเราเป็นลูกของแม่ พวกเราได้ดูดีเหมือนกับแม่ไง”
“ว้าว หลังจากที่ลูกได้เริ่มไปที่ดันเจี้ยนปากของลูกเริ่มจะหวานขึ้นนะ”
ในขณะฉันได้ร่วมกับนักสำรวจดันเจี้ยนจากโลกอื่นในช่วง 3 ปี ฉันก็ได้รู้จักการเข้าสังคมมากยิ่งขึ้น แม้แต่ในช่วงเวลาสั้นๆในตอนที่ทีมร่วมมือกันเพื่อเอาชนะออร์คลอร์ด ปัญหาต่างๆมากมายมันสามารถที่จะเกิดขึ้นได้เหมือนกับในสิ่งที่มันได้เกิดขึ้นกับฉันและเพลรูเดีย
ในฐานะหัวหน้าปาตี้ ฉันจึงได้เรียนรู้วิธีการจัดการกับสถานการณ์เหล่านี้ มันเกือบจะเหมือนว่าฉันได้เรียนรู้ทักษะติดตัวการประจบ มันไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย
“ไปที่ร้านอาหารกันเถอะ! เราจะไปฉลองการจบการศึกษาของลูกด้วยสเต็ก!”
“แต่ว่าพ่อไม่ได้อยู่ที่นี่”
“พ่ออาจจะไปเที่ยวร่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งอยู่ ดังนั้นเราก็ทำเพียงแค่กินกันไปโดยไม่มีเขา”
ไม่กี่วันก่อน เมื่อฉันได้เจอกับเพรูต้าเป็นครั้งที่สาม เขาได้สอนเทคนิคหอกระดับสูงที่ใช้มานาให้ฉัน อย่างแรกเลยคือเทคนิคในการทำให้ทุกๆครั้งที่โจมตีมีมานาห่อหุ้มอยู่รอบๆหอกอย่างบางเบา เทคนิคที่สองมันเป็นการระเบิดแรงดันหอกออกไปด้วยการอัดมานาจำนวนมากลงไปในหอกในทันที ด้วยเทคนิคทั้งสองอย่างนี้ ฉันก็สามารถที่จะผ่านฉันที่หกได้อย่างง่ายดาย
ฉันในตอนนี้ได้ก้าวไปข้างหน้า สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือพ่อของฉัน เขายังคงไม่มีมานาและติดอยู่ที่ชั้น 5
ในบางครั้ง ฉันก็จะโชว์ควงหอกด้วยมานาให้พ่อดู จากนั้นพ่อก็ได้เขามาจับที่ไหล่ของฉันและพูดว่า
“สอนฉัน”
“พ่อ พ่อเห็น…”
ฉันไม่สามารถที่จะกลุยเส้นทางในร่างการเหมือนกับที่เพรูต้าทำให้ฉันได้ ฉันไม่สามารถที่จะอัญเชิญเพรูต้าออกมาจากร่างกายได้ด้วยเช่นกัน
มันจึงเป็นผลให้พ่อตัดสินใจเดินไปในเส้นทางเดียวกับที่ฉันได้ทำไว้ เขาจะใช้อิลิกเซอร์บีบอัด ได้รับอุปกรณ์ของออร์คลอร์ด และพยายามที่จะต่อสู้กับมันเพียงลำพัง แต่เพราะว่าพ่อมีขนาดตัวที่เล็กกว่าฉันมาก ฉันขึงเป็นห่วงว่าเขาจะไม่สามารถใช้อิลิกเซอร์ได้มากนัก ฉันแน่ใจว่าพ่อก็ต้องรู้ถึงผลเสียของการกินอิลิกเซอร์เกินขนาด พ่อของฉันเป็นคนที่รอบคอบ ดังนั้นฉันจึงไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้มาก
“ดังนั้นลูกจะบอกว่าพอของลูกกำลังอยู่ในดันเจี้ยน?”
“ใช่แล้ว พ่ออาจจะกำลังต่อสู้เอาชีวิตรอดอยู่ก็ได้ในตอนนี้”
“วูว เมื่อไหร่เขาจะโตกันนะ…?”
“แม่รู้มั้ย พ่อกำลังจะได้รับร่างกายที่เพียวบางแบบผม”
“…จริงดิ?”
“เขาจะแข็งแกร่งขึ้นด้วยเช่นกัน”
“…อึก”
แม่ของฉันได้กลืนน้ำลายลงไป
ในความจริงแล้วร่างกายของพ่อก็ไม่ได้แย่นัก มันเป็นเพียงแค่ร่างกายของเขามีกล้ามเนื้อมากเกินไปเท่านั้น เมื่อเห็นการเปลื่ยนแปลกของแม่จากการเปลื่ยนไปของพ่อ ยุยก็ได้แต่ทำท่าทางงุนงง
“ห๊ะ ใครกันแน่นะที่เป็นผู้ใหญ่?”
“ฮ่าๆๆ”
การได้เห็นการแสดงออกของน้องสาวที่โตขึ้นไปน่ารักยิ่งขึ้น มันก็ช่วยไม่ได้ที่ฉันจะยื่นมือไปลูบหัวของเธอ ฉันคิดว่าฉันมีความสุขอะไรอย่างนี้ ฉันได้หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน ถ้าหากว่ามันยังคงเป็นแบบนี้ตลอดไป…แน่นอนว่าฉันรู้ว่าชีวิตของฉันนั้นพิเศษกว่าของคนอื่นๆเล็กน้อย
แต่ว่าชีวิตมันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังเสมอไป
วันนั้นเองดวงจันทร์สองดวงได้ลอยขึ้นเหลือทองฟ้า โลกได้เริ่มที่จะเปลื่ยนแปลงไป
มอนสเตอร์ได้ปรากฏตัวขึ้น มันไม่ได้อยู่ด้านในดันเจี้ยน แต่ว่ามันอยู่ที่โลกภายนอก
“ข่าวด่วน ได้มีชายคนหนึ่งได้ต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ซึ่งมันจะได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยจากปีนและมีด เขาได้ช่วยประชาชานบริเวณใกล้เคียงนั้นได้หลายคน ผู้เชี่ยวชาญหลายคนนั้นได้กล่าวว่านี่มันเป็นผลมาจาก ‘ดวงจันทร์สองดวง’ “
“ในเวลาเดียวกันที่สิ่งมีชีวิตประหลาดได้เริ่มปรากฏตัวขึ้น คนที่มีพลังที่สามารถจะต่อสู้กับพวกมันได้ก็ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน…”
“สัตว์ประหลาดที่จู่ๆก็ทำให้มนุษยชาติพบกับภัยพิบัติ คุณเชื่อไหมว่าพวกสัตว์ประหลาดเหล่านี้มันมีความลับที่สามารถจะใช้พัฒนาความรู้ทางด้านการแพทย์และเคมีของพวกเราได้ถึง 100 ปี”
หลังจากปรากฏการ ‘ดวงจันทร์สองดวง’ แล้วโลกก็ได้กลายเป็นยุ่งเหยิง รัฐบาลได้ห้ามไม่ใช่ประชาชนก้าวออกมาจากบ้าน เนื่องจากว่าสัตว์ประหลาดมันได้ปรากฏตัวขึ้นทั่วทั้งโลก 20% ของมนุษย์ได้เสียชีวิตลงไปในทันที ถึงแม้ว่ากองทัพของประเทศต่างๆจะสามารถผลักดันพวกมันออกไปได้ ปืน มีดและแม้แต่ขีปนาวุธก็ไม่มีผลกับพวกมันเลย มอนสเตอร์พวกนี้มันได้ทำให้ประเทศกลายไปเป็นซากปรักหักพังและให้ความรู้สึกที่อันตราย ดังนั้นประเทศที่เหลืออยู่จึงได้กลายมาเป็นพันธมิตรกันเพื่อที่จะสามารถต่อต้านกับพวกมันได้แม้เพียงแค่เล็กน้อย
ในสถานการณ์เช่นนี้โลกได้กำลังบ้าคลั่ง คนที่ต่อสู้สามารถจะต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์ได้ก็ปรากฏตัวออกมาเหมือนกับวัคซีน
แม้ว่าพวกเขาจะยังอ่อนแอ พวกเขาก็ยังสามารถที่จะต่อสู้กับมอนสเตอร์ได้ดีในการต่อสู้แบบเป็นกลุ่ม นี่มันเป็นผลให้รัฐบาลได้รวบรวมคนเหล่านี้ที่มีพลังและจัดตั้งกองกำลังใหม่ขึ้นเพื่อต่อสู้กับมอนสเตอร์
ในช่วงวิกฤติที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันนี้ของมนุษย์ชาติ มันทำให้ไม่มีเวลาที่แต่ละประเทศจะมาต่อสู้กับเอง ไม่นานนักมันได้มีการก่อตั้งสถาบันต่อต้านมอนสเตอร์ขึ้นทั่วโลกและมอนสเตอร์ก็ได้ถูกขับไล่ออกไปจนกว่าที่พวกมันจะไม่ปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่ๆมนุษย์อาศัยอยู่อีก ดังนั้นพวกมอนสเตอร์จึงได้เริ่มที่จะรวมตัวกันในที่ๆไม่มีคนอาศัยอยู่ในก่อนหน้านี้ หรือที่ๆมันถูกทิ้งร้างเอาไว้
ด้วยเหตุนี้การต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังและสิ่งมีชีวิตประหลาดก็ได้ดูเหมือนจะชะลอตัวลง
แต่น่าขำที่สงครามมันได้กลับมาเมื่อการวิเคราะห์สิ่งมีชีวิตประหลาดพวกนั้นเสร็จสิ้น มันน่าแปลกที่ศพของพวกมันมีสารสกัดและเกล็ดสีฟ้าที่ไม่ค่อยพบได้ง่ายนักในร่างกายของมัน ซึ่งทั้งหมดนี้มันมีค่าอย่างมากสำหรับในการใช้ในด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์และพลังงาน
มันเป็นผลให้รัฐบาลเริ่มที่จะเปลื่ยนวิธีการที่พวกเขาทำงาน พวกเขาได้เริ่มที่จะใช้พวกหน่วยพิเศษเหล่านี้ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อปกป้องพลเรือนไปจตัดการเก็บรวบรวมทรัพยากรเหล่านี้แทน คนที่มีความอ่อนไหวต่อการทำเช่นนี้ของรัฐบาลก็ได้ใช้ข้ออ้างนี้ในการปกป้องสิทธิของตนเองออกมาจากหน่วยงานนี้ของรัฐบาลและก่อตั้งสถาบันของตนเองขึ้น
ปรากฏการดังกล่าวนี้มันได้เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ในระดับโลก ในตอนท้ายมีสองโครงสร้างหลักได้เกิดขึ้นสำหรับสถาบันของผู้มีพลังพิเศษ หนึ่งคือ “ผู้พิทักษ์” ซึ่งก่อตั้งขึ้นภายได้รัฐบาล และอีกอันคือ “ปีกแห่งเสรี” ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยผู้มีพลังอิสระ
สิ่งที่ถือว่าเป็นภัยพิบัติแก่มนุษยชาตในตอนแรกได้กลายมาเป็นทรัพยากรที่สำคัญสำหรับความก้าวหน้าของมนุษย์แทน
“พ่อ”
“ว่าไง?”
“โลกได้กลายมาเป็นดันเจี้ยน”
“ถูกแล้ว”
เราได้พูดคุยกันในขณะที่ดูการสัมภาษณ์ของตัวแทนจากกลุ่มปีกแห่งเสรี
“ระหว่างการต่อสู้กับมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนกับการต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่นี้ ลูกคิดว่าอะไรที่มันจะได้รับรายได้ที่เพิ่มขึ้น?”
“ผมไม่ค่อยได้สนใจเรื่องเงินนัก แต่ไม่ใช่ว่ามอนสเตอร์ที่นี่มันให้เงินที่มากกว่าหรอ? พวกเขาบอกว่าจะให้เงิน 200 ล้านสำหรับการเอาชนะมันแค่ตัวเดียว”
“มันดูเหมือนจะง่ายนะ หรือไม่จริงไอ้ลูกชาย?”
“ใช่แล้วหละพ่อ”
“อยากจะออกไปล่ามันด้วยกันบ้างไหม?”
“มันจะน่ารำคาญถ้าหากว่ามีใครมารู้”
“ใครจะสนกัน? พวกเราสามารถจะบอกได้ว่าพวกเราเป็นแค่โจร”
แน่นอนว่ามันก็มีผู้ใช้พลังที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพวกผู้พิทักษ์หรือพวกปีกแห่งเสรีอยู่ ปีกแห่งเสรีนั้นเคยเป็นส่วนหนึ่งของพวกผู้พิทักษ์ แล้วโครงสร้างของมันก็ยังมีการจัดการอยู่ มีผู้ใช่พลังที่ไม่ชอบในทั้งสองอย่าได้ทำการตั้งปาตี้เล็กๆกันและไปล่ามอนสเตอร์จากนั้นพวกเขาก็จะนำศพของพวกมอนสเตอร์ไปขายให้กับคนที่ต้องการมัน มันดูเหมือนว่ามันจะมีศูนย์กลางการแลกเปลื่ยนอยู่ ตามข่าวลือในอเมริกามันมีการจัดตั้งกันขึ้นมาแล้ว
“มันจะหน้ารำคาญถ้าหากว่าเราถูกคราหน้าว่าเป็นผู้ใช้พลัง ฉันควรที่จะไปที่ดันเจี้ยนดีกว่า นอกจากนี้ถ้าฉันล่ามอนสเตอร์ที่นี่ ฉันก็จะไม่ได้รับความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น
“ลูกยังคงให้ความสำคัญกับการเพิ่มความแข็งแกร่งของลูกอยู่อีกหรอ?”
“ใช่แล้ว ผมต้องการที่จะเอาชนะดันเจี้ยนจนไปถึงชั้นที่ 100”
ตามที่เอลลอสบอกมา ไม่เคยมีใครไปถึงฉันที่ 100 เลย ฉันนั้นต้องการที่จะเห็นชั้นที่ 100 ด้วยตาของตัวฉันเอง
ถึงแม้ว่าฉันจะอยู่ในเลเวล 7 เท่านั้น แค่ถ้าฉันแลกทอวทั้งหมดที่ฉันสะสมมาจาก 3 ปีแห่งการล่าออร์คลอร์ด ฉันจะได้รับเงินมากกว่า 500 ล้านวอนซะอีก มันเป็นเงินที่สูงมากสำหรับคนที่ยังไม่ได้ไปเรียนมหาวิทยาลัย อ่า แน่นอนว่ามหาวิทยาลัยก็ได้ปิดลงไปแล้วเนื่องจากพวกมอนสเตอร์ ในจุดๆนี้ฉันจึงไม่ได้วางแผนที่จะทำอะไรที่น่ารำคาญเพียงแค่เพื่อเงินเท่านั้น
“พ่อ พ่อต้องการที่จะได้รับใบอนุญาตผู้ใช้พลังงั้นหรอ?”
“ฉันกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่เลย”
“แต่ว่าพ่อก็ได้รับเงินมามากแล้วนะ”
“แกไม่เคยมีเงินที่พอ”
“ฉันสามารถที่จะซื้อบ้านหลังใหญ่ รถคันใหญ่ แหวนวงใหญ่ๆสำหรับแม่ของแก เสื้่อผ้าราคาแพงสำหรับยุย…”
“แล้วผมหละ?”
“แกสามารถจะหาเงินได้ด้วยตัวของแกเองนิ”
พ่อของฉันไม่ได้ไปเอาใบอนุญาตในทันที ส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะว่าพ่อนั้นยังไม่ได้รับมานา แค่ที่สำคัญกว่านั้นก็เพราะว่าโลกยังไม่มั่นคง ฉันก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของพ่อ
ถึงแม้ว่าผู้ใช้พลังจะเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่น่าอัศจรรย์ แต่นอกเหนือความจริงที่ว่าพวกเขาสามารถจะต่อสู้กับมอนสเตอร์ได้แล้ว พวกเขาก็ไม่ได้แตกต่างจากคนธรรมดา มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าจะมีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นหรือไม่
มันจะต้องใช้เวลาอีกครึ่งปีก่อนที่ทุกอย่างจะสงบลง เป็นช่วงที่โลกทัศน์ใหม่ของประวัติศาสตร์ของมนุษย์ได้เปลื่ยนแปลงไป บางคนได้ร้องเพลงในช่วงท้ายในขณะที่บางคนก็ร้องเพลงออกมาในตอนที่มันเริ่มต้มใหม่
แม่ของฉันก็ยุ่งอยู่กับการเก็บอาหารกระป๋องและราเมน น้องสาวของฉันก็ได้เรียนอยู่ที่บ้านในขณะที่โรงเรียนปิดอยู่ และพ่อของฉันก็ยังคงที่จะต่อสู้กับออร์คลอร์ดต่อไปด้วยความหวังที่ว่าจะได้รับมานา
แน่นอนว่าในครึ่งปีนี้ ฉันได้ทุ่มเทเวลาของฉันทั้งหมดไปที่ดันเจี้ยน