บทที่ 127 – ทีมรีไวเวิร์ล (1)
ความประทับใจแรกของฉันเกี่ยวกับหุบเขาเป็นแบบนี้
“นี่ไม่ใช่ว่าเป็นแกรนแคนยอนหรอ?”
“ชินคิดไปถึงในตอนทะเลสาปวินเดอร์แมร์สิ ดันเจี้ยนที่มีระดับสูงๆจะเปลื่ยนแปลงสถานที่ไปด้วย”
“มันใหญ่มาก….”
“หืม? ไม่ใช่ว่าหุบเขาทั้งหมดจะใหญ่แบบนี้หรอ?”
จากที่รู้มาหุบเขาแอนทีโลปนั้นเป็นทางเดินแคบๆที่เกิดขึ้นมาจากการกัดเซาะของหินทรายและแสงที่ส่องลงมาจากด้านบน
ยังไงก็ตามหุบเขาแอนทีโลปในปัจจุบันนั้นมีขนาดที่กว้างพอจะเล่นฟุตบอลได้เลย และทางเดินที่สวยงามก็ได้สร้างสิ่งแปลกๆ มันจะไม่แปลกเลยถ้าหากมีโกเลมโผล่ออกมา นอกจากนี้มันก็ยังมีขนาดใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ ฉันไม่สามารถจะบอกถึงจุดสิ้นสุดของมันได้เลย
“โอ้ พวกนั้นเป็นใครนะ?”
“ฮวาหยา มัสติฟอร์ดแล้วก็อัศวินสายฟ้า พวกเขาเป็นคนมีชื่อเสียง พวกเขาทั้งคู่เป็นผู้ที่เคลียร์พื้นที่ดันเจี้ยนในอังกฤษ”
“แม้แต่อเมริกาก็ไม่สามารถเมินเฉยต่อพวกเขาได้ ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะมาที่นี่”
ผู้ใช้พลังได้รวมกลุ่มกันอยู่ที่ข้างทางเข้าหุบเขา ฉันสามารถจะได้ยินเสียงกระซิบของพวกเขาได้อย่างขัดเจน มันเป็นเพราะพลังของทอง 300,000 ทอง
“มีผู้หญิงอีกสองคน พวกเธอทั้งคู่ต่างก็ใส่หน้ากาก”
“อัศวินสายฟ้าก็ใส่หน้ากากเหมือนกัน สองคนนั้นอาจจะเป็นเพื่อนของเขา”
“เขาไม่ได้ตัวคนเดียวหรอ? ฉันอยากจะรู้จังว่าเขาเป็นใคร”
“พวกเขาอาจจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่มดเพลิงก็ได้ มันมีข่าวลือว่าที่อัศวินสายฟ้าปรากฏตัวขึ้นที่ทะเลวาบวินเดอร์แมร์เท่านั้นก็อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่มดเพลิง”
“ชินฉันจะไปเผาเจ้าพวกโง่นั่น”
“ปล่อยให้พวกนั้นพูดไปเถอะ พวกเราไม่จำเป็นจะต้องไปใส่ใจพวกคนที่อ่อนแอแบบนั้น”
ฮวาหยาได้สร้างเพลิงขึ้นมาบนฝ่ามือของเธอด้วยความไม่พอใจกับคำกระซิบกันของผู้ใช้พลังพวกนั้น แต่ว่าฉันก็ได้บอกให้เธอใจเย็นลง ฉันกำลังมองหาสิ่งอื่น ไม่กี่เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่พื้นที่ดันเจี้ยนถูกสร้างขึ้น เหมือนอย่างสุสานเหลือทะเลสาปได้มีสิ่งก่อสร้างหลายอย่างปรากฏขึ้นมาบนหุบเขาทำลายความเป็นธรรมชาติไป ฉันสงสัยว่าน่าจะมีคนรอคอยฉันอยู่ในหนึ่งในอาคารเหล่านั้น
อย่างที่ฉันได้คาดเอาไว้ไม่นานหลังจากพวกเรามาถึงได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของฉัน
[นายมาด้วย ฉันมีความสุขจัง ถ้ามันไม่เป็นไรพวกเราจะพบกันได้ไหม?]
มันเป็นเสียงของเด็กสาวที่ดูบอบบาง ฉันจำได้จากจดหมดของเธอที่ว่าเธอสามารถใช้การส่งกระแสจิตได้ แต่ยังไงก็ตามฉันไม่รู้วิธีจะตอบกลับเธอไป
[ถ้ามันไม่เป็นอะไรได้โปรดหยักหน้าหนึ่งครั้ง]
ฉันได้หยักหน้ารับ เธอได้ตอบกลับมาในทันที
[เข้ามาในห้องพักของคุณ ห้องหมายเลข 1301 ฉันจะรอคุณอยู่ที่นั่น]
ด้วยแบบนี้การส่งกระแสจิตก็ได้ถูกตัดลง เพื่อนที่มากับฉันได้มองมาที่ฉันอย่างแปลกไป ในขณะที่ฉันนำพวกเขาไปยังที่พักฉันก็ได้อธิบายออกไป
“ฉันได้รับการติดต่อจากกระแสจิต พวกเธอไม่ได้ยินอะไรเลยหรอ?”
“ไม่นะ ไม่มีเลย”
“มันเหมือนกับระบบการส่งข้อความระหว่างนักสำรวจดันเจี้ยนนะหรอ?”
“มันต่างกินนิดหน่อย ข้อความของนักสำรวจมันจะดังในหูของฉัน แต่ว่านี่มันดังก้องในหัว”
“อึก นั่นมันฟังดูแล้วไม่น่าสบายใจเลยนะ”
มันไม่มีลิฟท์อยู่ในอาคารนี้หรือก็คือพวกเราจะต้องเดินขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นที่ 13 แล้วก็เพราะว่ารูเดียไม่ยอมที่เลิกการคล้องแขนฉันมันได้ทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ แต่ว่าฮวาหยาที่ส่วมใส่ชุดเดรสยาวนั้นไม่ได้เหมาะกับการขึ้นมันใดมันทำให้ดูเหมือนจะหงุดหงิดมากขึ้น
“กึก ฉันไม่ชอบผู้หญิงคนนี้เลย…! บอกให้เพื่อนของฉันมาและไปตามที่เธอต้องการ แล้วแม้กระทั่งทำให้ฉันจะต้องขึ้นบันไดแบบนี้….!”
“รูเดียเธอช่วยปล่อยฉันได้ไหม? มันเดินขึ้นบันไดแบบนี้ลำบากนะ”
“ไม่”
“สี่จุดอับสายตา สิบเจ็ดจุด…ถ้าฉันติดตั้งกับดักที่นี้…”
เมื่อนั้นฉันก็ตระหนักได้ว่าเยอึนกำลังวิเคราะห์อาคารนี้และพึมพันเหมือนกับพวกมือระเบิด ‘เว้รเอ้ย ฉันอยากจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักพวกเธอเลยจริงๆ!’ เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จ้องฉันในทุกๆฉันมันทำให้ฉันได้แต่สบถกับสวรรค์
เมื่อพวกเราได้มาถึงชั้นี่ 13 มันก็เงียบมากไม่เหมือนกับที่ๆเราผ่านมา ไม่มีใครเดินไปมาและห้องโถงก็ดูต่างออกไป ฮวาหยาได้เอียงหัวและมองกลับไปที่ชั้นที่ 12 จากนั้นเธอก็ปรบมือขึ้นอีกครั้งด้วยการแสดงออกที่สดใส
“นี้มันเป็นบาเรีย บาเรียป้องกันการรับรู้ เป็นบาเรียชนิดที่จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไข”
“ขอโทษนะ แต่ว่าเธอช่วยอธิบายในภาษาที่ฉันสามารถจะเข้าใจได้ไหม?”
“มันเป็นบาเรียที่จะช่วยป้องกันไม่ให้คนที่ไม่รู้เกี่ยวกับชั้นที่ 13 ไม่สามารถมาที่ชั้นที่ 13 ได้”
มันเป็นบาเรียที่ดูเรียบง่าย แต่ไม่ธรรมดา เยอึนและฉันรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ว่าประหลาดใจที่รูเดียดูเหมือนจะตกใจในขณะที่ถามฮวาหยา
“เวทย์ระดับสูงแบบนี้ถูกใช้เช่นนี้หรอ?”
“ระดับสูง? มันไม่ใช่เรื่องยากในระบบเวทมนตร์สมัยใหม่”
“อึก…!”
โดยที่ฉันไม่รู้ ความพ่ายแพ้ของรูเดียได้เพิ่มขึ้น ฉันได้เคาะห้อง 1301 ด้วยรอยยิ้มขม
[มันเปิดอยู่คุณฮีโร่ เข้ามาได้เลย]
ทำไมเธอจะต้องใช้กระแสจิตด้วยในเมื่อพวกเราได้อยู่ในระยะที่เสียงส่งถึงแล้ว? ฉันได้เปิดประตูออกมาเป็นห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่และข้างนอกหน้าต่างนั้นมีหุบเขาแอนทีโลปสามารถจะมองเห็นได้ พวกเราก็ยังเห็นไวเวิร์นหลายตัวบินผ่านท้องฟ้ายามราตรีและผู้ใช้พลังที่กำลังต่อสู้อยู่
ในเวลาเดียวกัน พวกเราก็ได้เห็นเด็กสาวตัวเล็กนั่งอยู่บนเก้าอี้
[ยินดีที่ได้พบคุณฮีโร่และเพื่อนๆของคุณฮีโร่]
เด็กสาวได้ลุกขึ้นและโค้งคำนับอย่างสุภาพ
[ฉันเคียร่า คีเน็ก คุณสามารถจะเรียกฉันได้ว่าเคียร่า]
ด้วยคำแนะนำของเธอ ฉันสามารถจะบอกได้ในันทีว่าทำไมเธอถึงไม่สามารถเคลื่อนไหวร่ายกายได้แบบง่ายดาบ ฉันได้ตะโกนออกไป
“เธอเป็นเด็ก”
[ฉันอายุ 12 ปีแล้วนะคะ อีกหน่อยนึงก็ถึงช่วงปลายแล้วนะคะ]
“เธอรู้อะไรไหม 12 ปีก็ยังคงเป็นเด็ก…”
เยอึนได้พึมพัมออกมาอย่างตกใจ รูเดียและฮวาหยาก็ยังรู้สึกแปลกใจ สำหรับฉัน ฉันได้กังเกตุเห็นอย่างอื่นในขณะที่เห็นเธอ
“….เธอมองไม่เห็น?”
[ฉันเกิดมาตาบอดนะ ในตอนแรกฉันไม่สามารถจะได้ยินหรือพูดคุยได้ แต่ว่าโชคดีที่หูของฉันได้เปิดขึ้นมาในขณะที่ฉันโตขึ้น]
แม้ในขณะที่เธอทักทายพวกเรา เธอก็ยังคงหลับตาอยู่ฉันได้ถามออกไปเพราะแบบนี้ แต่ว่าฉันไม่คิดว่ามันจะถูกต้อง นั่นก็คือเหตุผลที่เธอใช้การคุยกับเราด้วยกระแสจิตสินะ โชคดีที่พวกเราสามารถจะฟังเธอผ่านทางกระแสจิตได้ เธอก็อาจจะเห็นเราผ่านทักษะที่คล้ายกับพลังกระแสจิตของเธอ
สำหรับลักษณะของเธอ เธอดูค่อนข้างน่ารักทีเดียว ซึ่งแตกต่างไปจากชาวเกาหลีที่มีผมสีดำ ผมของเธอเป็นสีดำที่ดูมีเสน่ห์ได้หยักจนถึงเอว ด้วยรูปร่างเล็กๆและผิวขาวผ่องทำให้เธอดูคล้ายกับตุ๊กตามากจริงๆ
ฮวาหยาดูเหมือนจะเสียใจกับคำพูดของเคียร่า แต่ว่าครู่หนึ่งเธอก็ได้ลบมันไปเพราะว่าเธอคิดว่ามันเป็นการหยาบคาบ ราวกับว่าเธอจะต้องการลบเรื่องนี้ออกไปจากจิตใจ ฮวาหยาได้ถามออกมาอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ ตั้งแต่ที่เธอเรียกชินมาที่นี่ เธอช่วยบอกพวกเราได้ไหมว่าทำไมชินถึงเป็นฮีโร่? ฉันก็อยากรู้มากเลยเหมือนกัน”
ฉันได้อธิบายเรื่องนี้ให้กับฮวาหยาและเยอึนตั้งแต่อยู่บนเครื่องบินแล้ว แม้ว่าพวกเธอจะคิดว่าฉันเล่นตลกในตอนแรก แต่รูเดียก็โกรธไปและบอกพวกเธอเกี่ยวกับทวีปของเธอ หลังจากนั้นฮวาหยาและเยอึนก็ได้กังวลมากยิ่งกว่าฉัน ฉันรู้ว่าการเป็นฮีโร่มันน่ารำคาญและอันตรายยังไง แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นปัญหาของคนอื่นๆด้วย ด้วยผลลัพธ์นี้ทำให้แม้แต่ฉันก็รู้สึกแปลกเล็กน้อย
[คุณฮีโร่พวกเขา…?]
“ใช่แล้ว เธอสามารถจะไว้ใจพวกเธอได้ นอกจากนี้ก็อย่าเรียกฉันว่าฮีโร่ เรียกฉันว่าชิน”
[…เข้าใจแล้ว คุณชิน ถ้างั้นฉันจะเริ่มมันจากจุดเริ่มต้น จากจุดที่ฉันเริ่มตื่นขึ้นเป็นผู้ใช้พลัง มันเป็นเมื่อ 3 ปีก่อน]
“เดี๋ยวก่อนนะ”
ฮวาหยาได้ขัดจังหวะเธอในทันที
“ดวงจันทร์แฝดได้เริ่มขึ้นเพียงแค่หนึ่งปีและอีกสองเดือน 3 ปีหรอ? นั่นมันเป็นไปไม่ได้!”
[แต่ฉันตื่นขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน]
“อะไรนะ….?”
เยอึนและฉันผู้ที่เข้าใจความหมายของเธอช้าไปนิดหน่อยก็ยังตกใจมากๆ เธอกำลังพูดอะไร? เธอได้ตื่นขึ้นเป็นผู้ใช้พลังก่อนที่เกิดเหตุการณ์ดวงจันทร์แฝด? 2 ปีที่แล้ว! แม้ว่าฮวาหยาจะต้องการพูดอะไรบางอย่าง ฉันก็ได้เอื้อมมือออกไปและหยุดเธอไว้ ฉันเชื่อว่าเคียร่าจะอธิบายในเรื่องนี้
เธอยังบอกด้วยว่าพลังของเธอได้ตื่นขึ้นมาจากความฝันทีท่คล้ายคลึงกัน เธอมีอายุที่มากขึ้นและยืนอยู่ข้างๆฉัน นอกจากนี้ยังมีคนอีกหลายคนและศัตรูขนาดยักษ์ ในความฝันของเธอ เธอแนะนำคนว่าเมื่อใดที่จะมีมอนสเตอร์ปรากฏตัวและวิธีการที่พวกเราจะแข็งแกร่งขึ้น ความต้านทานต่อสู้กับมอนสเตอร์ได้มีตัวเธอเป็นศูนย์กลาง
[บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าพลังของฉันยังขาดอยู่ แต่ว่าระยะของมันเพียงพอแค่จะครอบคลุมเมื่อเท่านั้น]
“นั่นมันเป็นพลังที่น่าทึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้และยุคนี้ซึ่งแม้แต่ดาวเทียมก็ยังถูกโจมตีโดยมอนสเตอร์ ถ้าหากว่าพลังของเธอเติบโตขึ้นได้จริงตามึวามฝัน….”
[คุณฮีโร่เป็นคนที่แข็งแกร่งและสว่างไสวที่สุดในหมู่พวกเขา]
“เธอไม่ต้องมาประจบฉันเลย”
[หลังจากความฝันนั้นฉันก็ได้รู้สึกไวต่อการคงอยู่ของมนุษย์มากยิ่งขึ้น ฉันสามารถที่จะรู้สึกถึงความเกลียดชังที่มีต่อฉันได้ ฉันรู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งยังไง มีศักยภาพเท่าไหร่…. ก่อนที่จะเกิดเหตุดวงจันทร์แฝด นั่นไม่มีมอนสเตอร์ในโลกนี้และไม่มีผู้ใช้พลัง ดังนั้นมันจึงไม่มีประโยชน์อะไร]
มันไม่ใช่แค่นั้น หลังจากวันที่พลังของเธอตื่นขึ้นมา เธอก็ยังคงฝันอีกหลายร้อยกว่าครั้ง
“….เดี๋ยวนะ หลายร้อยครั้ง?”
[ใช่แล้ว ในความฝันของฉัน ฉันเห็นอนุภาคแสงมากมาย มันมีจำนวนสิ่้งแปลกๆมากมายนับไม่ถ้วน]
“เรื่องแปลกๆนับไม่ถ้วน…?”
[ความฝันมันยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลาถึง 2 ปี ฉันเห็นและมีประสบการณ์ในพลังหลายร้อยหลายพันอย่างในโลก โลกและรวมไปถึงสภาพแวดล้อมอื่นที่ไม่ใช่โลก พวกเขาได้ต่อสู้กับคนอื่นๆ ปีศาจ ผู้รุกราน แมลงเอเลี่ยน แมลงที่อาศัยอยู่ในจิตใจ มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ออร์คที่กลายพันมานับไม่ท้วน กลุ่มมันกรที่ล่วงหล่นสูญเสียสติปัญญา และอีกมากมาย]
“ฉันไม่เข้าใจ….”
ไม่สิ ฉันคิดว่าฉันเข้าใจ ปัญหาก็คือการที่ฉันเข้าใจ ถ้าเธอพูดความจริงมันก็คือเรื่องไร้สาระอย่างแท้จริง
[ในวันหนึ่งประมาณช่วงเย็นๆ ฉันได้หลับลงไป ฉันได้ฝันและพบกับใครบางคนที่ให้พลังอำนาจกับฉันที่มากเกินไป]
[พลังของโลกหรอ?]
ฉันได้พูดออกไปอย่างว่างเปล่า เวรเอ้ย ฉันรู้สึกเหมือนฉันจะเข้าใจ แม้ว่าฉันจะคิดว่ามันงี่เง่า แต่ฉันก็รู้
[พลังของโลกเรามันยิ่งใหญ่มาก เขายังพูดอีกด้วยเกี่ยวกับเรื่องลึกลับเช่นต้นกำเนิดโลกหรือโลกอนาคต]
“เขาคือใคร?”
[ฉันไม่รู้ เขาอาจจะเป็นศูนย์รวมของโลกหรือบางทีอาจจะเป็นเพียงแค่โลก สิ่งที่ฉันรู้ก็คือเขาได้กังวลเรื่องที่มอนสเตอร์จะมาขโมยพลังของโลกและกังวลว่าคนบนโลกจะไม่มีพลังพอที่จะต่อต้านพวกนั้น]
“….”
[ดังนั้นเขาจึงได้แบ่งพลังของโลกออกเป็นสองส่วนเล็กๆซึ่งมันก็ยังจำเป็นต่อการคงอยู่ของโลกเอาไว้ส่วนหนึ่งมอบให้กับคุณฮีโร่ พลังที่ยิ่งใหญ่กว่าซึ่งบริสุทธิมากกว่าได้ส่งมาให้ฉัน แน่นอนว่ามันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ฉันจะทนรับไว้ได้เพียงลำพัง]
หลังจากที่ได้ยินมาจนถึงตอนนี้ฉันก็ได้ถามออกไป
“เธอ…เป็นคนสร้างผู้ใช้พลัง?”
เธอได้ตอบกลับมา
“ใช่แล้ว คุณฮีโร่”