บทที่ 152 – หอกโกลาหลสีชาด (2)
ที่ญี่ปุ่นนั้นไม่มีเกตระดับ S มีเพียงแค่เกตระดับ S สามแห่ง นอกจากนี้ยังมียังมีดันเจี้ยนระดับ A หรือต่ำกว่าเพียงแค่ 11 แห่ง แม้ว่ามันจะน้อยกว่าในเกาหลีแต่ว่าถ้าหากพิจารณาภาพรวมของดันเจี้ยนทั้ง 200 แห่งทั่วโลกแล้วญี่ปุ่นก็มีดันเจี้ยนอยู่เป็นเจำนวนมาก ใช่แล้วที่ญี่ปุ่นมีดันเจี้ยนที่มากจนผิดปกติแบบเดียวกับเกาหลี
เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นในเกาหลีสื่อจึงได้อธิบายว่าเราเป็นกลุ่มนอกกฏหมาย สิ่งที่น่าสนใจก็คนปฏิกิริยาของพลเรือนเมื่อเราได้เข้าใกล้เหตุุการดันเจี้ยน
“ว้าวให้ตายสิ นั่นอัศวินมังกร”
“เขาได้มาที่ญี่ปุ่นเป็นที่แรก”
“ดูแลพวกเราด้วย”
ผู้คนส่วนใหญ่ได้ให้กำลังใจพวกเรา ฉันค่อนข้างจะงงกับปฏิกิริยาที่ไม่คาดคิดนี้ แต่ว่าไม่นานฉันก็ได้รู้ว่าทำไม
“ที่ตรงนั้นเป็นบ้านของพวกเขา”
“ลองจินตนาการว่ามีดันเจี้ยนปรากฏอยู่ในสวนหลังบ้านของนายดํสิ และอาวุธที่จะใช้ต่อสู้ได้ก็มีเพียงแค่ของทำครัวและมีดเท่านั้น”
“มันไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นบ่อยๆหรอ? มันเหมือนกับว่าเมื่อใดก็ตามที่กำลังทำอาหารอยู่และได้ถูกบังครับให้ต่อสู้ อ่าสำหรับฉันมือเปล่าก็ยังดีกว่าเลยนะ”
“คนที่ถือมีดและเครื่องครัวไม่ได้เป็นสัตว์ประหลาดเหมือนนายนะ เขาเป็นเพียงแค่พลเรือน! แน่นอนว่ามันจะดีกว่ามีดหากเป็นหมัดของนาย”
สำหรับคนธรรมดาแล้วมอนสเตอร์เป็นเพียงแค่สิ่งที่น่าสยองขวัญ นอกจากนี้เหตุการดันเจี้ยนจะปรากฏขึ้นได้ตลอดเวลา พวกมันอาจจะปรากฏออกมากลางทะเลทรายหรือไม่ก็ในพื้นที่ๆมีประชากรหนาแน่นก็ได้
เมื่อดันเจี้ยนได้กลายเป็นพื้นที่ดันเจี้ยนรัฐบาลก็จะช่วยเหลือประชาชนที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนั้น แต่ว่ามันก็ไม่ได้เปลื่ยนความจริงที่ว่าพวกเขาได้ย้ายออกไปหรือว่ามีมอนสเตอร์อยู่ตรงหน้าของพวกเขา ทั้งสองอย่างนี้ทำให้พวกเขาต้องตรึงเครียดอย่างมาก ดังนั้นการที่มีใครมาอาสาจัดการปัญหาให้พวกเขาจึงทำให้พวกเขารู้สึกยินดี
ด้วยแบบนั้นพวกเราเลยก็ได้รับการตอบรับอย่างที่ไม่คาดคิด หลังจากกินอาหารเช้าที่ร้านอาหารใกล้ๆแล้ว จากนั้นฉันก็ได้เรียกล็อทเต้กลับออกมาจากการที่ให้เธอกลับไปในดันเจี้ยนระหว่างที่เราบินมาที่นี้ เมื่อฉันได้กลับมาฮวาหยาก็เข้ามาหาฉันพร้อมกระดาษแผ่นหนึ่ง
“ชิน ฉันได้วางแผนเส้นทางของเราแล้ว ถ้าพวกเราโชคดีพวกเราก็ควรจะสามารถจัดการดันเจี้ยนอื่นๆทั้งหมดนอกจากดันเจี้ยนระดับ S ได้ แต่ว่าเราจะต้องนั่งไวเวิร์นของนายแทนเครื่องบิน”
[ฉันขอปฏิเสธ!]
“ขอร้องล่ะ ล็อทเต้”
[อืมมมม….!]
เมื่อฉันได้เกาคอของล็อทเต้และขอร้องเธอ เธอก็ได้ยืดคอและเริ่มคิดอออกมา ฮวาหยาได้ทำท่าทางตกตะลึง แต่ฉันก็ได้ยกนิ้วให้กับเธอเงียบๆ จากนั้นฉันก็เกาคอของล็อทเต้อีกครั้ง มันเป็นเทคนิคพิเศษของฉัน ถ้าหากเป็นคนธรรมดามาลองทำ พวกเขาก็จะเป็นเพียงแค่นิ้วหัก
“เธอจะอนุญาตใช่ไหม? ฮวาหยาพูดแบบนั้นเพราะว่าเธอเร็วกว่าเครื่องบินมาก”
[อืมมมม….]
“ล็อทเต้เธอเป็นคนเดียวที่ฉันวางใจไว้ได้ เธอจะให้พวกเรานั่งเธอใช่ไหม?”
[มะ ไม่เป็นไร… ถ้านั่นเป็นคำขอของฮีโร่ ฉันจะอนุญาตให้มนุษย์ขี่ฉัน]
“ขอบคุณนะ ล็อทเต้”
[อืมม เกาฉันอีกฮีโร่]
[ชิน นายนี่เคยชินกับการจัดการกับผู้หญิง ไม่ใช่ว่านาย….]
[ฉันไม่คิดว่าเธอจะเรียกล็อทเต้ว่าเป็นผู้หญิงนะ ฮวาหยา]
เนื่องจากว่าพวกเราได้อยู่ใจกลางพวก พวกเราจึงได้รับความสนใจจากคนนับไม่ถ้วนเป็นธรรมดา ถ้าพวกเขาจำฉันกับฮวาหยาได้แล้วมันก็ยิ่งแย่หนักขึ้นไปอีก ดังนั้นฉันก็เลยหยิบกระดาษมาจากฮวาหยามาและจดจำเส้นทาง ตอนนั้นเองก็ได้มีคนเรียกฉันจากด้านหลัง
“พี่ค่ะ นี่”
สาวน้อยน่ารักได้ส่งกล่องช็อกโกแลตมาให้กับฉัน มันดูคล้ายกับขนมกินเล่นจากเกาหลี เมื่อเธอเอามันมาให้ฉันแล้วเธอก็ยิ้มและตะโกนออกมา
“กินนี่และเอาชนะมอนสเตอร์พวกนั้นให้ได้นะคะ”
“อ่า ขอบคุณ”
พูดตามตรงนะฉันรู้สึกตกใจมาก แม้ว่าจะผ่านไปเพียงวันเดียวนับจากที่พวกเราสร้างความวุ่นวายในเกาหลี แต่แม้ว่าจะเป็นเด็กตัวเล็กๆก็ยังรู้จักพวกเรา ในขณะนั้นฉันก็ได้คิดขึ้นว่าสื่อนี่มันชั่งน่ากลัว
ในอีกด้านหนึ่งฉันก็ได้ลูบหัวเธอเพื่อขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ให้พวกเรา
“ขอบคุณนะมันมีความหมายมากเลยล่ะ ฉันก็ชอบขนมกินเล่นเหมือนกัน”
“เอะเฮะๆ หนูก็ชอบเหมือนกัน”
“แต่ว่าฉันไม่มีอะไรให้หนูเลยนะ… อ่า หนูชอบเนื้อไหม?”
“เฮ้ นายคงไม่ได้จะเอาเนื้อมอนสเตอร์ออกมาที่นี่ใช่ไหม?”
“เธอกำลังพูดอะไรฮวาหยา เนื้อคือสิ่งที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย”
เพราะฮวาหยาได้กระโดดเข้ามาหยุดฉัน ฉันเลยยอมแพ้ที่จะมอบเนื้อให้กับสาวน้อย ฉันได้จบลงด้วยการให้ถ้วยราเม็งจากช่องเก็บของให้เธอไปแทน ซึ่งเธอก็มีความสุขที่ได้รับมันไป
หลังจากเด็กคนนั้นจากไป คนอื่นๆก็ได้ออกมาจากร้านอาหารแล้วเหมือนกัน ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเฝ้ามองเด็กสาวตัวน้อยจนถึงตอนนี้ ขณะนั้นท่าทางของรูเดีย…ได้สั่น
“ชิน นายชอบ…. เด็ก…?”
“ฉันรู้นะว่ามันหมายถึงอะไร แต่ว่าไม่ใช่ เธอจะต้องเห็นฉันจากสักที เธอเพียงแค่เอาขนมมาให้ฉัน”
รูเดียก็ยังคงไม่เชื่อฉัน แต่ฮวาหยาได้ยิ้มขึ้นและช่วยฉันไว้
“มันเป็นเวลานานแล้วนับตั้งแต่ที่โลกได้เต็มไปด้วยมอนสเตอร์และผู้ใช้พลังระดับสูงนั้นก็คือดาราระดับโลก ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพวกเราเพิ่งจะแสดงอะไรกันมา เนื่องจากที่เวลาของญี่ปุ่นของเกาหลีไม่ได้ต่างกันมานัก พวกเขาจึงได้มีข่าวในตอนเช้าและตอนกลางคืนก็ได้ยินเกี่ยวกับเรา มันเป็นที่เข้าใจได้เลยว่าทำไมเด็กหญิงตัวเล็กๆถึงรู้จักชิน”
“คังชินได้มีชื่อเสียงอย่างมาก เราควรจะสร้างผ้าคลุมแบบ ‘พันธมิตรแห่งความเที่ยงธรรม’ ไหม? นายจะได้สามารถดึงดูดฝูงชนได้อีก”
“เงียบไปเลยวอร์คเกอร์ พวกเราเพียงแค่ทำในสิ่งที่ทำได้ ความยุติธรรมอะไรกันล่ะ?”
ฉันได้ตอบวอร์คเกอร์กลับไปอย่างตรงไปตรงมาจากการหยอกล้อของเขา จากนั้นก็เปิดกล่องช็อคโกแลตและกินมันลงไป รสชาติมันอร่อยมาก
ในเกาหลีพวกเราได้ปะทะกับกลุ่มผู้พิทักษ์แล้ว มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงพลัง ไม่ใช่เพียงแค่ผู้พิทักษ์แต่มันยังรวมไปถุึงรัฐบาลและปีกแห่งเสรี ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแผนลับโดยเหล่าคนกลุ่มหนึ่งของผู้พิทักษ์ พวกเราก็ได้จัดการผู้ใช้พลังทั้งหมดไปพักฟื้น มันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพวกเราไม่มีใครหยุดได้
สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ฉันสันนิษฐานว่ามันน่าจะมีแบบนี้ในกลุ่มที่ต้องการจะทำลายเกตอยู่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่แสดงตัว แต่ถ้าพวกเราได้สร้างความสับสนวุ่นวาย ฝ่ายที่ต้องการจะทำลายประตูก็อาจจะเคลื่อนไหวออกมาก็ได้
ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนเล็กๆที่ต้องการจะทำลายเกตและกลุ่มผู้พิทักษ์ผู้ที่ต้องการจะสร้างดันเจี้ยนเพื่อผลประโยชน์ ถ้าหากว่าพวกเขาสามารถจะเอาชนะพวกเราได้ พวกเขาก็อาจจะใช้พวกเราเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อทำให้เกิดความสงสุขก็ได้ พวกเขาจะผลักดันให้เราเป็นผู้ก่อการร้าย และพวกเราก็จะเป็นผู้ที่จัดการผู้ก่อการร้าย
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่เหลวไหล แต่ว่าผู้ชนะก็มักจะมีเสียงที่แข็งแกร่งกว่า ในขณะที่ผู้แพ้ไม่สามารถจะพูดอะไรได้แม้ว่าพวกเขาจะโดนใส่ร้ายก็ตามที
ยังไงก็ตามกลุ่มผู้พิทักษ์ได้เป็นผู้พ่ายแพ้ นั่นคือสิ่งที่ฝ่ายต้องการทำลายเกตต้องการ กลุ่มฝ่ายป้องกันเกตได้พ่ายแพ้ไปอย่างหมดท่าและพวกเขาก็ยังไม่กล้าจะมองมาที่ฉัน พวกเราจะมีโอกาสมาหยุดฉันได้อีกครั้งงั้นหรอฦ
เหตุผลที่กลุ่มผู้พิทักษ์มีขนาดที่ใหญ่กว่ากลุ่มปีกแห่งเสรีนั่นก็เพราะว่าเป็นองค์กรที่สร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องพลเรือนจากเหล่ามอนสเตอร์ ในตอนนี้พวกเขาได้อ้างสิทธิ์เกี่ยวกับเกตที่จะปกป้องมนุษยชาตที่ล่วงหล่น ดังนั้นพวกเขาก็ไม่มีทางที่จะมาหยุดพวกเรา
แม้อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถจะเคลียร์ดันเจี้ยนได้ทั้ง 180 แห่งและเริ่มทำลายดันเจี้ยนระดับ A หรือสูงกว่า ถ้าพวกเขาทำมัน มันก็จะเหมือนกับว่าพวกเขายอมก้มหัวให้กับรีไวเวิร์ลซึ่งมีสมาชิกเพียง 8 คน ในตอนท้ายแล้วพวกเขาทำเพียงได้แค่ปล่อยให้พวกเราทำตามใจ พวกเขาจะต้องแกล้งทำเป็นไม่เห็นในสิ่งที่พวกเราทำและเน้นไปที่การเคลียร์ดันเจี้ยนระดับ S เพื่อที่จะแสดงด้านดีของตนเอง นี้เป็นวิธีที่จะกู้คืนหน้าที่เสียไปของพวกเขา
สิ่งที่ฉันไม่คาดคิดก็คือวิธีจัดการกับซากมอนสเตอร์ระดับต่ำ ฉันได้บอกกับตัวแทนจากผู้พิทักษ์ว่าฉันจะขายซากมอนสเตอร์ระดับ A หรือต่ำกว่าไปในราคาถูก ยังไงก็ตามพวกเขาได้ประกาศกันออกมาอย่างยินดี หรือก็คือเราได้กลายเป็นซานต้าครอสที่กำจัดเกตในประเทศอื่นๆและมอนสเตอร์มาส่งให้พวกเขา มันไม่ใช่สิ่งที่ผิดเลย
ในตอนแรกฉันไม่มีความสุขกับการแลกเปลื่ยนครั้งใหญ่นี้ แต่ว่าพวกเราไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้ซากระดับต่ำๆอยู่แล้ว การประกาศของพวกเขาก็ได้ทำให้พวกเรามีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น พวกเราก็ยังได้ตัดสินใจที่จะขายศพให้กับญี่ปุ่นในราคาถก ในความจริงแล้วมันเป็นไปได้เนื่องจากว่าไม่มีใครในกลุ่มเราที่ขาดเงิน
บางที่ด้วยเหตุนี้ทำให้ความนิยมของเราในญี่ปุ่นได้พุ่งขึ้นสูงมากๆ จนถึงตอนนี้ชาวเอเชียมีเพียงผู้ใช้พลังระดับ SS เพียงคนเดียวคือ ซิน เชาว์เหม่ยของประเทศจีน แต่ว่ารีไวเวิร์ลมี 4 คนที่เป็นชาวเอเชีย พวกเขาจะต้องสังเกตเห็นแน่ๆโดยเฉพาะความจริงที่ว่ามีผู้นำเป็นคนเอเชีย แน่นอนว่ามีชาวเกาหลีที่เกลียดชังชาวญี่ปุ่นผู้ที่มีปัญหากันมาตั้งแต่ช้านานแล้ว ยังไงก็ตามพวกนั้นก็เป็นเพียงแค่ชนกลุ่มน้อยมากๆ
นอกจากนี้แม้ว่าสุมิเระจะซ่อนใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอด้วยหน้ากาก แต่ผู้คนก็ได้สงสัยว่าเธอนั้นเป็นชาวญี่ปุ่นจากโครงร่างและโครงหน้าของเธอ ความนิยมในญี่ปุ่นของรีไวเวิร์ลจึงเพิ่มขึ้นเป็นธรรมชาติ อย่างที่กล่าวมาสุมิเระนั้นเป็นหญิงสาวชาวญี่ปุ่นในรูปแบบดั้งเดิม…. เอาล่ะเธอก็เป็นชาวญี่ปุ่นอยู่แล้วนี้ ฉันก็ไม่สามารถจะพูดอะไรได้อีก
หลังจากเราทำลายเคลียร์ดันเจี้ยนในญี่ปุ่นแล้วเราก็จะไปต่อที่อังกฤษ ฝรั่งเศส เซอวิสเซอแลนด์ เยอรมัน ออสเตรเลียและประเทศทางฝั่งยุโรปตะวันตกอื่นๆทั้งหมดภายในเวลาสองวัน ตามที่กลาวมานั้นมีเกตอยู่ในทวีปยุโรปตะวันตกเพียงแค่ 18 แห่งเท่านั้นเอง จริงๆแล้วเกาหลีและญี่ปุ่นมีเกตที่มากจนผิดปกติ รัสเซียและจีนที่มีขนาดใหญ่ก็ยังมีเกตเพียงแค่ 23 และ 28 แห่งตามลำดับเท่านั้น
“พวกเราส่วนใหญ่เคยไปยุโรปตะวันตกแล้วใช่ไหม”
“นอกเหลือไปจากอิตาลีก็ใช่แล้ว แม้ว่านั่นอาจจะได้รับพิจารณาว่าอยู่ในยุโรปทางใต้ก็ตาม”
“อิตาลี…”
เมื่อตอนฉันยังเด็กฉันได้ไปที่นั่นกับพ่อของฉันเพื่อฝึกฝน แน่นอนว่าหลังจากกลับมาทั้งทียังรอดชีวิตและแข็งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวของฉัน ดังนั้นฉันจึงไม่ได้ไปท่องเที่ยวในสถานที่ใดๆเลย ขณะที่ฉันกำลังคิดอยู่นั้นฮวาหยาก็ได้มากระซิบข้างหูฉัน
“นายรู้เกี่ยวกับผู้ใช้พลังระดับ SS ของอิตาลีใช่ไหม? ฉันได้ยินมาว่าเธอคนนั้นค่อนข้างเซ็กซี่”
“ฉันไม่สนหรอกนะ… นอกจากนี้ที่ฝรั่งเศาก็ยังมีผู้ใช้พลังระดับ SS แต่ว่าพวกเราไม่ได้เห็นเขาเลย ไม่มีอะไรที่รับประกันว่าเราจะได้พบกับผู้ใช้พลังระดับ SS ทั้งหมด”
“สำหรับอันนี้เป็นผู้ใช้พลังระดับ SS ผู้ชาย”
“โอ้”
ฉันได้เริ่มหงุดงิด ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมถึงคนบ้าที่ใช้คำว่า เซ็กซี่ กับผู้ชาย แต่ว่าฉันก็ไม่ชอบมัน มันไม่ใช่เพราะฉันคาดหวังว่าจะเป็นผู้ใช้พลังผู้หญิงที่เซ็กซี่ รูเดียก็ได้เริ่มจ้องมาที่ฉัน
“ฉันสงสัยจังว่าเขาจะหล่อแค่ไหน ฉันจะต้องไปดูเขาด้วยตัวเอง”
“ไปกันเธอน่า”
เมื่อฉันได้เร่ง ฮวาหยาก็หัวเราออกมา
“ฉันล้อเล่นน่า ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันสนใจชายเพียงคนเดียวเท่านั้นในตอนนี้ ฉันไม่ได้มีเวลาว่างไปมองผู้ชายคนอื่นๆ
“….นั้นเป็นมุขสินะ”
“ฮ่าๆ ขอโทษ”
ใบหน้าของฉันได้แดงขึ้นและฉันได้หันหนีไปเพราะการตีของฮวาหยาและเข้ามาในช่วงเวลาที่ไม่คาดคิด ฉันไม่สามารถที่จะถอยมาได้ดีเลย โชคดีที่ได้มีคนมาจัดการบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจนี้ ใครกัน?
“เธอใกล้ชิดชินเกินไปนะ!”
“โอ โลก…!”
นั่นคือผู้หญิงคนอื่นๆ แน่นอนว่าฮวาหยาได้ลงเอยด้วยการถอนหายใจ
“ใช่แล้วๆ เด็กๆไม่ต้องกังวล นี้เป็นแค่เกมนะ เกม”
ผู้ใช้พลังระดับ SS ของอิตาลี ฉันสงสัยจังเลยนะว่าเขาจะเป็นคนแบบนั้น ไม่สิ ฉันอยากที่จะไม่ต้องพบเขา ฉันได้พึมพัมกับตัวเอง ที่อิตาลีนี้มีเหตุการดันเจี้ยนระดับ S+ พูดตามตรงฉันไม่สามารถจะรอลุ้นรางวัลในตอนเคลียร์มันได้อีกแล้ว ฉันได้เปลื่ยนสายรัดคอมาเป็นหอกและชี้ไปที่อิตาลี
“ไปที่อิตาลีกันเถอะ”
“ฉันอยากจะเห็นหอเอนจังเลยนะ”
“ฉันอยากเห็นกรุงโรมอ่า”
“แล้วเรือแจวของเวนิสล่ะ นางเงือกด้วย”
“พวกเราไม่ได้ไปเที่ยวกันนะ และไม่ว่าพวกเธอจะมองดูมาแค่ไหนมันก็ไม่มีนางเงือกหรอกนะ”
ไม่สิมันอาจจะมีอยู่ในดันเจี้ยนก็ได้ละมั้ง