บทที่ 222 – โอเวอร์ลอร์ด (2)
หลังจากจัดการคลื่นมอนสเตอร์ลูกแรกที่รวมกันอยู่ที่ชายฝั่งได้แล้วก็เหลือเพียงแค่ป่าหนาแน่นที่อยู่ในขอบสายตาของเขา ต้นไม้ได้ขยายไปอยู่ทั่วทุกมุมของสายจาจริงๆ มันจะไม่มีใครตกใจเลยหากจู่ๆมีไดโนเสาร์ปรากฏตัวขึ้นมา
พวกเราไม่มีเวลามากพอที่จะค้นทุกๆที่ในประเทศฟิลิปปิน์เพื่อหามอนสเตอร์ พวกเราไม่สามารถจะเสียเวลาไปกับเรื่องแบบนั้นได้ แน่นอนว่าเราก็ได้เตรียมวิธีแก้เรื่องนั้นเอาไว้แล้ว
“แล้วฉันก็แค่ร้องเพลงดึงดูดหรอ”
“ใช่แล้ว เพียงแค่ตั้งใจร้องเพลงเดี๋ยวฉันจะจัดการที่เหลือเอง”
“อื้อ”
คนที่จะแก้ปัญหานี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นพลีน เพื่อที่จะฆ่ามอนสเตอร์ด้วยดวงตามารฉันจำเป็นจะต้องเห็นพวกนั้นอยู่ในสายตา ถึงแม้ว่ามันจะเยี่ยมถ้าหากฉันจะดึงดูดพวกนั้นด้วยทักษะยั่วยุ แต่ว่าระยะของยั่วยุไม่ได้กว้างขนาดนั้น
ยังไงก็ตามเสียงร้องเพลงของพลีนไม่เหมือนกับเสียงตะโกนของฉัน เสียงของเธอไปได้ไกลและกว้างเหมือนกับกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ดึงดูดเหล่าผึ้ง พลีนไม่เคยได้มามีส่วนร่วมหรือภารกิจทหารรับจ้างต่างมิติมาก่อน แต่ว่าในตอนนี้คือเวลาฉายแสงของเธอ อ่า เมื่อมาคิดดูแล้วเธอก็เคยได้ฉายแสงมาก่อนในตอนที่เหตุการณ์ดันเจี้ยนปรากฏขึ้นบนโลก
“ลาล๊า ลาล๊าล๊า”
“เป็นเสียงที่เพราะมาก”
“อย่าได้ถึงทำให้หลงใหลพ่อ หลุดออกมา”
พ่อดูเหมือนว่าพร้อมที่จะเปิดขวดเบียร์ขึ้นมากินได้ตลอดเวลา ฉันได้ห้ามพ่อเอาไว้และโคจรสจรเพรูต้าขึ้น ฉันสามารถจะรู้สึกได้เลยว่ามอนสเตอร์จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังจะเข้ามาด้วยเสียงร้องของพลีน
“หน่วยต่อสู้ พวกเธอพักผ่อนได้เลยนะ พวกเธอคงจะต้องเหนื่อย ถ้าพวกเธอต้องการ เธอก็สามารถจะกลับไปพักที่พื้นที่พักของเทวดาได้เลย”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงพวกเรานะสามีที่รัก แต่ว่าพวกเราสามารถจะฟื้นพลังได้ผ่านการต่อสู้”
“เอาล่ะ ถ้างั้นเตรียมตัวไว้นะ พวกเธอจะได้ช่วยจัดการมอนสเตอร์ที่ไม่โดนผลจากดวงตามารได้”
“ค่ะ”
พูดตามตรงทักษะที่สามารถแชร์ความคิดของซัคคิวบิค่อนข้างจะสะดวก ฉันสามารถจะเลือกพวกเธออย่างสุ่มมาได้คนหนึ่งและบอกให้เธอเข้าใจได้ทั้งหมดเลยได้ทันที อย่างที่ฉันพูดไปฉันก็อยากจะปฏิเสธความสามารถนี้ของเธอในเวลาเดียวกัน
ทุกๆคนได้เตรียมร่างกายและจิตใจไว้สำหรับที่จะต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งที่จะต้องเผชิญ ฉันก็ได้โคจรวงจรเพรู้ต้าเอาไว้และรอคอยมอนสเตอร์ที่กำลังจะมาถึง ฉันได้คิดหาวิธีที่จะปลดปล่อยเสน่ห์ให้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ความแข็งแรง ความคล่องแคล่ว และความอดทนเป็นค่าสเตตัสที่ส่งผลกับร่างกายของฉันโดยตรง ค่าพลังเวทย์ส่งผลกับมานาของฉัน แม้ว่าฉันจะไม่มั่นใจในค่าโชคมากนัก แต่อยากน้อยฉันก็สามารถควบคุมค่าสถานะอื่นๆได้ ฉันสามารถจะแสดงพลังของฉันได้เท่าที่ต้องการและสาามารถแสดงความเร็วได้เท่าที่ต้องการ ถ้าหากว่ามันเป็นไปไม่ได้มันก็ไม่มีทางเลยที่นักสำรวจจะใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้
อย่างแรกเลยฉันได้คิดว่าค่าสเน่ห์มันเหมือนกับค่าโชคที่อยู่เหนือจากการควบคุมของฉัน ยังไงก็ตามหลังจากที่ได้มีประสบการณ์ในหลายๆอย่างฉันก็ได้ตระหนักได้ว่ามันสามารถจะควบคุมได้ จากนั้นมันก็เป็นไปได้มากที่ฉันจะสามารถควบคุมสเตตัสอื่นๆเช่นกัน
นอกไปจากนี้ ถ้าฉันสามารถเน้นไปที่การเสริมพลังส่วนใดส่วนหนึ่งของอย่างกายได้ด้วยเช่นอย่างดวงตาของฉันที่เป็นตัวอย่างและหยุดการปลดปล่อยเสน่ห์ของฉันผ่านทางร่างกายของฉัน ฉันได้เรียนรูการควบคุมเสน่ห์ซึ่งเป็หนึ่งในสิ่งที่สำคัญของฉัน ทั้งหมดนี้เสน่ห์เป็นพลังที่เหมือนกับทักษะของปีศาจที่ทำได้แม้แต่ทำให้ศัตรูควบคุมตัวเองไม่ได้
“ลาล๊า ลาล๊าล๊า ล๊าาาาา”
“พวกมันกำลังมาแล้ว ฉันรู้สึกได้เลย”
“มันเป็นมอนสเตอร์ในฟิลิปปินส์ประมาณ 0.1% งั้นหรอ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าฉันมั่นใจเลยว่ามันเยอะมาก”
0.1%… ถ้างั้นแสดงว่าเราต้องทำแบบนี้อีก 999 ครั้งงั้นหรอ แม้ว่าฉันจะพยายามหลอกตัวเองด้วยการคิดบวก แต่ฉันก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ การจัดการมอนสเตอร์ที่มายึดประเทศไม่ใช่เรื่องตลกเลย
“อย่าได้ถอนหายใจแบบนั้นสิชิน…. ฉันยินดีนะ มันเป็นเวลานานมาแล้วนะนับตั้งแต่ที่ฉันไม่ได้ลุยอะไรแบบนี้กับนายเลย”
“ฉันรู้น่า ช่วยถอนไปทีรูเดีย สายตาของเธอตอนนี้มันดูอันตรายเกินไป”
“สามีที่รักแปลกจัง มันเป็นเรื่องปกตินี่นาที่ผู้ชายและผู้หญิงจะกอดกัน ทำไมคุณต้องปฏิเสธแบบนั้นด้วยล่ะ”
“เป็นครั้งแรกเลยล่ะที่ฉันเห็นด้วยกับเธอลิโคไรท์ ทำไมพวกเราไม่มร่วมมือกันล่ะ”
“แน่นอนมาร่วมมือกันแม่มด”
ฉันได้สาบานไว้เลยว่าฉันจะเรียนรู้วิธีใช้เสน่ห์ในเพียงแค่ดวงตาของฉัน ถ้าหากว่ามันยังเป็นแบบนี้ต่อไปฉันคงจะถูกพิชิตก่อนที่ฉันจะได้พิชิตฟิลิปปินส์แน่
ในเวลาเพียงแค่สี่วันฉันสามารถจะจัดการกวาดล้างมอนสเตอร์จากฟิลิปปินส์ไปได้ 40% แม้ว่ามันจะมีมอนสเตอร์ที่ทรงพลังมากพอจะต้านเสียงเพลงของพลีนได้ แต่ว่าพวกมันก็ไม่สามารถจะซ่อนตัวตนจากเราได้ ที่เราต้องทำคือเพียงแค่หามันและฆ่าทิ้งซะ มอนสเตอร์พวกนั้นก็ยังมีที่สามารถป้องกันการกลายเป็นหินได้อีกด้วย ในตอนที่ฉันได้ถามเดซี่กับยุยว่าพวกเธอสนใจไหม พวกเธอก็ได้ส่ายหัวออกมา
“ไม่มีที่สนใจสักตัวเลยหรอ”
“ไม่น่ารัก”
“มันไม่น่ารัก”
“มันมีมาตรฐานบางอย่างที่ฉันไม่รู้สินะ เป็นเพราะพวกมันไม่น่ารักจริงๆนะหรอ”
พวกเรามีเวลาพักผ่อนเพียงแค่ห้าชั่วโมงต่อวันเท่านั้น ฉันเป็นคนเดียวที่คิดว่ามันนานเกินไป ในตอนแรกทุกๆคนต่างก็กรอกตามองมาที่ฉันและเรียกฉันว่าเผดด็จการ
“ฉันรู้ว่าเราต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าชินนายใช้พลังของนายอยู่ตลอดเวลา นายจะไม่เป็นไรหรอ”
“เอ๊ะ? เธอเป็นห่วงฉันงั้นหรอ”
ตามที่ฉันได้วางแผนไว้ฉันจะใช้เวลาสองชั่วโมงในช่วงของการพักห้าชั่วโมงเพื่อที่จะไปล่าบอสประจำชั้น ฉันอดไม่ได้ที่จะผงะไปกับคำถามของเยอึน เธอยังคงสงสัยเกี่ยวกับพลังสเตตัสของนักสำรวจอีกหรอ ฉันได้รับคำตอบในสิ่งที่ฉันสงสัยในวันรุ่งขึ้น
“แปลก ทำไมฉันไม่เบื่อเลยล่ะ”
“ฮึ่ม แม้แต่หลังจากที่ฉันกลายมาเป็นผู้ใช้พลัง ฉันก็ยังรู้สึกง่วงอยู่ตลอดเวลา…. แต่ว่าในตอนนี้ฉันไม่ง่วงนอนเลย”
“ถ้างั้นนี่คือพลังของค่าสเตตัส….”
เดี๋ยวนะ ปกติคนพวกนี้อยู่ในดันเจี้ยนเพียงแค่แปดชั่วโมงต่อวันเหมือนกับพนักงานออฟฟิศงั้นหรอ เมื่อฉันถามพวกเขา พวกนั้นก็มองมาที่ฉันเหมือนกับจะพูดว่า ‘อะไรของไอเจ้ามอนสเตอร์นี่กัน’ มันดูเหมือนว่าฉันจะเป็นคนเดียวที่แปลก ฮวาหยาก็ได้ให้คำแนะนำกับฉันอย่างจริงจัง
“ชิน ฉันรู้ว่านายรู้สึกกดดันกับเวลาที่เหนืออยู่ แต่ว่ามันจะมีความตรึงเครียดในระดับนึงอยู่แล้วนะที่จะได้จากการสู้ ถ้าหากนาไม่แม้แต่จะรู้ตัว จิตใจของนายจะเจ็บปวดเอานะ นายได้แข็งแกร่งอย่างรวดเร็วแล้ว ไม่ต้องกดดันตัวเองมากเกินไปก็ได้ พวกเราหลายคนที่นี่จะรู้สึกเจ็บปวดนะถ้าหากเห็นว่านายบาดเจ็บ
“อะ โอเคร…..”
เนื่องจากว่าเธอนั้นเป็นห่วงฉันจริงๆ ฉันเลยไม่สามารถจะปฏิเสธเธอได้แม้ว่าฉันจะไม่ได้รู้สึกเครียดอะไรในแบบที่เธอพูดเลยก็ตาม ความรู้สึกอึดอัดที่ได้มาจากการจ้องของฮวาหยาทำให้ฉันต้องหยักหน้า ในท้ายที่สุดแล้วฉันก็ไม่ได้บอกใครว่าฉันได้ใช้เวลาพักสองชั่วโมงไปล่าบอสประจำชั้น แม้อย่างนั้นฉันก็คิดว่าน่าจะมีหลายคนที่รู้เรื่องนี้แล้ว
ในวันที่สี่ได้มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ในระหว่างช่วงวันนั้นพวกเราได้เดินไปรอบๆฟิลิปปินส์ในระหว่างที่ใช้เสียงเพลงของพลีนและดวงตามารไปด้วย ก่อนที่พวกเราจะได้รู้ตัวจำนวนมอนสเตอร์ที่เข้ามาหาเราก็ได้ลดลงไปแล้ว
“ที่นี่น่าจะมีมอนสเตอร์มากขึ้นสิในเมื่อพวกเรายิ่งเข้าใกล้ศูนย์กลาง มันแปลกมาก”
“สามีที่รักฉันจะพาเด็กๆไปสำรวจพื้นที่เอง”
“อันตรายอาจจะตายได้ อันเดทปลอดภัย”
เดซี่ได้หยุดลิโคไรท์เอาไว้และเอาเหยี่ยวโครงกระดูกออกมาจากช่องเก็บของของเธอ จากนั้นเธอก็ได้ใส่คริสตัลขนาดเล็กลงไปในเบ้าตาของเหยี่ยว
“สังเกตุการณ์”
[แกว๊ก]
เหยี่ยวได้ร้องออกมาและบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ความเร็วของมันน่าเหลือเชื่อมาก ในเวลาเดียวกันเดซี่ได้หยิบเอาลูกบอลคริสตัลอีกลูกหนึ่งขึ้นมาซึ่งดูเหมือนเป็นอันก่อนหน้านี้ในรุ่นที่เอามาขยายขนาด
“พวกเราสามารถดูเจ้าสิ่งนี้ได้”
“ว้าว นี่มันแสดงว่าพวกเราสามารถใช้เจ้านี่ดูในสิ่งที่เหยี่ยวมองเห็นได้งั้นหรอ”
“ที่ชั้นขายของในราคา 770,000 ทอง สิทธิพิเศษส่วนลดสำหรับรีไวเวิร์ล 70,000”
ชื่อของฉันได้ถูกใช้ไปทั่วโดยที่ฉันไม่รู้ตัว ฉันได้บอกกับตัวเองว่าจะไปขอโทษโรเล็ตต้าในครั้งหน้าที่ได้เจอกับเธอ เหยี่ยวได้เคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วมันทำให้ยากที่จะมอบเห็นทิวทัศน์รอบๆได้ แต่ว่าเมื่อฉันได้ใช้มันแล้ว ฉันก็สามารถจะมองเห็นพื้นที่ป่าหนาแน่นรอบๆเราได้
ห้านาทีต่อมาก็ไม่มีอะไรที่ผิดปกติเลย เนื่องจากว่าพวกเราได้กวาดล้างพื้นที่แล้วทำให้ไม่มีมอนสเตอร์โผล่มาให้เห็นเลย แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดีถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไป แต่ไม่นานนักฮวาหยาก็ตะโกนออกมา
“เดี๋ยวนะ นั่นมันอะไร”
“มอนสเตอร์กำลังอพยพ”
เดซี่ได้ตอบกลับมาอย่างตกใจ เธอพูดถูก กพวกมอนสเตอร์ทั้งหมดได้ไปในทางๆหนึ่งอย่างน่าแปลกประหลาด กลุ่มมอนสเตอร์ได้พังป่าไปในขณะที่มอนสเตอร์ที่บินได้ก็บินแหวกอากาศออกไป มันดูราวกับว่าพวกมันกำลังไปในที่เดียวกัน
“นี้มันหมายความว่า….”
“มันมีผู้บัญชาการอยู่จริงๆ….”
ฮวาหยาได้กลืนน้ำลายลงไป ฉันสามารถจะรู้สึกได้เลยว่าเสียงของเธอสั่นเล็กน้อย ฉันเข้าใจได้เข้าใจสิ่งหนึ่งเมื่อมองไปที่บอลคริสตัล
“นั่นมันไม่ใช่มอนสเตอร์ประเภทที่ยุยไม่ชอบหรอ”
“ใช่แล้วมันเป็ฯมอนสเตอร์ประเภทหนึ่งที่ไม่ได้ถูกทำให้กลายเป็นหิน จากจำนวนมานาของมันมีน่าจะ….”
สุมิเระได้พูดต่อออกมา
“มันเป็นระดับ SSS”
“โฮ่”
มันเป็นที่ชัดเจนแล้วล่ะ มันไม่มีทางที่มอนสเตอร์ระดับ SSS จะวิ่งเหมือนกับหมาไปหามอนสเตอร์ที่อ่อนกว่าตัวเองแน่ มันหมายความได้เลยว่ามีมอนสเตอร์ที่ทรงพลังกว่ามอนสเตอร์ระดับ SSS อยู่ที่นี่
“แผนที่อยู่ที่ใคร”
“อยู่กับฉันค่ะ คุณฮวาหยา”
หนึ่งในซัคคิวบิได้ส่งแผนที่สามมิติให้กับฮวาหยา เมื่อเทียบจากแผนที่กับในบอลคริสตัลแล้ว ฮวาหยาได้ประเมินเส้นทางที่พวกมันจะมุ่งหน้าไป
“เกาลูซอน….พื้นที่ทางใต้สุด”
เสียงของฮวาหยาได้ต่ำลง ไม่นานนักเธอก็ได้เจอกับคำตอบ
“ภูเขาไปบูรูซาน…พวกมันกำลังจะไปที่ภูเขาไฟ”
สัญชาตญาณของฉันมันได้บอกกับฉันว่ามอนสเตอร์นั่นดวงตามารของฉันมันไม่สามารถจะทำอะไรได้
“มันไม่มีปัญหา ฉันไม่รู้ว่ามีอะไรที่ทำให้พวกมอนสเตอร์มากรวมกัน แต่ว่ามันเป็นประโยชน์กับเรา พวกเราจะได้จัดการมันในทีเดียว”
“ไม่ เราไม่รู้เลยว่ามีอะไรอยู่ที่นั่นชิน พวกเราควรจะแยกกองกำลังออก ฉันไม่รู้ว่ามอนสเตอร์พวกนี้กำลังจะทำอะไร แต่แน่นอนอยู่แล้วว่ามันไม่ได้ทำเพื่อให้พวกเราได้ฆ่ามันในรวดเดียวแน่ๆ”
นั่นมันก็จริง
“ถางั้นเริ่มจากการฆ่าพวกมันก่อนที่จะไปถึงภูเขาไฟกันเถอะ”
“พวกเรามีหน่วยต่อสู้ซัคคิวบิอยู่หกหน่วย พวกเราจะแบ่งกันและไปกับพวกเธอ ชินนายไปพร้อมกับพลีนและฆ่าพวกมันให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้”
“เข้าใจแล้ว”
“ซัคคิวบิตั้งแถว”
หน่วนรบได้ถูกจัดขึ้นในทันที สมาชิกคนอื่นๆของรีไวเวิร์ลยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างกังวลกับการแสดงออกที่จริงจังของฮวาหยา
“มันอาจจะมีมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งกว่าที่พวกเราเคยได้จอกันมาอยู่ พวกเราไม่สามารถจะเอาแต่พึ่งพาชินได้ อย่าได้ประมาทล่ะ”
“โอ้ ลูกสาว ฉันมั่นใจว่าไม่ตายแน่ๆ”
“พ่อ หนูแค่กลัวว่าคนอื่นๆจะเป็นอะไรไปเหมือนกัน”
“พวก ฟิลิปปินส์เป็นที่เดียวที่มีมอนสเตอร์แบบนี้หรือป่าว”
“อาจจะไม่นะ….”
ฉันอดไม่ได้ที่จะนึกกลับไปถึงผู้บัญชาการกองทัพปีศาจในทวีปลูก้าที่ฉันเคยเจอมา มอนสเตอร์ที่มีระดับที่สูงกว่าเจ้านั่นอาจจะกำลังรอเราอยู่ มอนสเตอร์ที่สามารถจะควบคุมมอนสเตอร์ในระดับ SSS ได้…. มันมีมอนสเตอร์แบบนี้อยู่มากแค่ไหนกันในโลกนี้
“เอาล่ะสงครามที่แท้จริงได้เริ่มขึ้นแล้ว… ฉันสั่นเล็กน้อยแหะ”
“ฮึ่ม พวกเราก็แค่ต้องฆ่ามัน มีอะไรที่นายต้องกลัว”
ในตอนที่มิเชลได้พึมพัมออกมา วอร์คเกอร์ได้ส่งเสียงและตอบกลับมา มิเชลก็ได้ยิ้มขึ้นและตอบกลับไป
“แน่นอนสิว่าไม่มีอะไรให้กลัว แต่แค่เพราะว่าฉันเต็มไปด้วยจิตใจที่อยากจะสุ้เฉยๆนะ”
“นายพยายามจะทำเท่หรอตาแก่”
หลังจากแยกกันออกเป็นเจ็ดทีมแล้ว พวกเราก็ได้กระจายกันออกไป ปลายทางสุดท้ายของพวกเราทุกกลุ่มก็คือพื้นที่ทางใต้สุดของเกราะลูซาน ผู้เขาไฟบูรูซาน การต่อสู้ใกล้จะปะทุขึ้นแล้ว