บทที่ 225 – โอเวอร์ลอร์ด (5)
[ขอโทษนะค่ะพี่ ถ้าหนูไม่ขอคำขอที่ไร้เหตุผลแบบนี้….]
“ไม่หรอก กลับกันเลยมันดีซะอีกที่เราได้มาสู้กับมันก่อนที่มันจะได้เตรียมพร้อมเต็มกำลัง”
แม้ว่ายุยจะมีกองทัพตั๊กแตนจำนวนมากแต่ว่าเหล่าตั๊กแตนไม่สามารถจะสู้กับจอมทำลายที่มีลาวาติดตัวได้เลย แม้ว่ายุยจะต้องการอยู่ต่อเพราะว่าเธอได้บอกว่าการมาครั้งนี้มีส่วนมาจากเธอ แต่ว่าเมื่อพ่อเข้ามาและพูดคุยอย่างเคร่งขรึมทำให้ยุยไม่มีทางเลือกอื่นได้แต่กลับไป
[หนูของโทษนะคะที่หนูช่วยอะไรไม่ได้….]
“ไม่หรอก ยุยจะแข็งแกร่งขึ้นแล้วจากนั้นยุยก็จะมาช่วยพี่ได้ แต่ว่าในตอนนี้….แค่อธิฐานให้พี่ชนะก็พอแล้ว”
ในเวลาเดียวกันฉันก็ได้ปาหอกออกไปข้างหน้าเพื่อทำลายหัวของจอมทำลาย ลาวาที่หูของมันได้กระเด็นเข้ามาที่ฉันราวกับว่าจะละลายหัวขอฉัน แต่ว่าดูดพลังในการดูดเพลิงทำให้มันหายไปโดยที่ไม่ได้ทำให้ฉันบาดเจ็บแม้แต่นิด
[อื้อ… พี่ค่ะโชคดีนะ]
“แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ”
ฉันรู้สึกได้เลยว่าตัวฉันในตอนนี้ได้เต็มไปด้วยพลัง น้องสาวของฉันที่เป็นน้องสาวได้เป็นห่วงใยฉันเสมอ เพื่อเธอแล้วฉันจะต้องกลับไปอย่างปลอดภัย ฉันได้มองหาเป้าหมายต่อไปและพุ่งเข้าไปหามัน พุ่งไป และพุ่งไปอีก
[อ๊าาาาาาาาาา]
เสียงคำรามที่ดังสนั่นของจอมทำลายได้เข้ามาสู่หูของฉัน ความร้อนจากลาวาก็ยังทำให้ฉันเห็นไอเล็กน้อย เสียงฟ้าร้องก็ยังดังขึ้นจากรอบๆทิศทางใขณะเดียวกันก็มีเวทย์ของซัคคิวบิและออร่าการโจมตีจากสมาชิกในกิลด์ของฉันคนอื่นๆลอยไปปะทะกับจอมทำลาย
“กินนี่และตายไปซะ”
ฉันได้ดึงพลังของไพก้าออกมาจนถึงขัดสุดและยิงพลังออกไปใส่เหล่าจอมทำลายและดูดมานามันคืนมากให้มาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทักษะวิญญาณสัมบูรณ์จะดูดมานากลับมาเท่ากับที่ฉันใช้ไปในการโจมตี
เมื่อคิดจากความจริงที่ว่าฉันก็ยังใช้วงจรเพรูต้าอีกด้วยทำให้มานาของฉันแทบไม่ได้ลดลงไปเลย แน่นอนว่าตอนนี้ฉันยังมีริยูที่แสดงรูปธรรมและกำลังต่อสู้อยู่ ทำให้มันก็ลดลงไปบ้างเช่นกัน
[ฮีโร่]
“เร่งความเร็วขึ้นอีก”
[เข้าใจแล้ว]
มีไม่กี่คนในกิลด์ที่สามารถจะสู้และชนะจอมทำลายได้ด้วยการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ดังนั้นเพื่อที่จะลดอันตรายที่คนที่เหลือจะต้องเจอ ฉันก็จะต้องจัดการมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยราชันย์วายุพิโรธนี้แม้ว่าฉันจะไม่สามารถจัดการมันได้ในครั้งเดียว แต่อย่างน้อยฉันก็สามารถจะแก้ไขมันได้ด้วยการใช้ทักษะยั่วยุให้มันเข้ามาหาฉันเพื่อที่จะโจมตีอีกครั้งได้ด้วย
[เจ้าชาย ถ้านายกดดันตัวเองมากไป มันจะจบด้วยการที่นายบาดเจ็บเอานะ พ่อของฉันก็ยัง….]
[ฉันไม่ได้กดดันอะไรเลยไม่ต้องห่วง]
ตลอดเวลานี้ฉันได้พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะแข็งแกร่งสำหรับในตอนนี้ เมื่อเทียบกับการปีนดันเจี้ยนทั้งวันทั้งคืนและไปท้าทายขีดจำกัดในบียอนต่อแล้วบวกกับการต่อสู้กับบอสประจำชั้น 10 ครั้งต่อวันแล้ว นี้มันไม่นับว่าเป็นอะไรเลย
“ฮ่าาาาาห์”
ปีกของล็อทเต้ได้สะบัดครั้งหนึ่งปล่อยเพลิงสีแดงชานออกไป แม้ว่ามันจะทำอะไรจอมทำลายไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยในการหยุดการเคลื่อน ฉันได้พุ่งเข้าไปหาจอมทำลายในทันทีหลักจากนั้น และจัดการทุบมันด้วยหอกที่หุ้มไปด้วยสายฟ้า
[ก๊าาาาาา]
“ล็อทเต้ พวกเราฆ่าไปมากแค่ไหนแล้ว”
[178]
ล็อทเต้และฉันได้อาบไปด้วยเพลิงของจอมทำลาย แม้อย่างนั้นมันก็ทำให้ฉันบาดเจ็บไม่ได้เพราะพลังของผ้าคลุมที่ช่วยลบล้างมันออกไป ร่างกายของล็อทเต้ก็ยังเต็มไปด้วยเพลิงไหม้ แต่ยังไงก็ตามล็อทเต้ไม่ได้หยุดที่จะพุ่งลง ไม่นานนักการบาดเจ็บของเธอก็ทำให้ฉันต้องสนใจ
[ฮีโร่ อย่าได้คิดเกี่ยวกับเรื่องที่ไร้ประโยชน์และโจมตีต่อไป เพลิงไหม้พวกนี้ใช้เวลาแค่วันเดียวข้าก็ฟื้นตัวได้แล้ว]
“….โอเค ไปกันเถอะ”
ราชันย์วายุพิโรธจะไม่มีวันสิ้นสุดลงเว้นเสียแต่ว่าฉันจะหยุดมัน หรือก็คือฉันสามารถจะสร้างความเสียหายด้วยลม สายฟ้า และการพุ่งไปได้อย่างไม่สิ้นสุดลง ต้องขอบคุณรอยสักหมาป่ายักษ์ที่ยังช่วยฉันสร้างความเสียหายได้เพิ่มอีก 50%
ฉันได้เปิดตากว้างขึ้นและแทงหอกออกไปอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากว่าฉันเผลอลดการป้องกันลงสักนิดฉันก็จะพุ่งเข้าไปเจอกับจอมทำลายโดยที่ไม่เตรียมตัวเลย ดังนั้นฉันจะต้องตั้งสมาธิเอาไว้ตลอดเวลา หากฉันไม่ได้มีประสบการณ์การต่อสู้แบบนี้มาก่อน ถ้าหากฉันไม่เคยได้ต่อสู้ในทวีปลูก้าและทวีปพาแนน ฉันก็จะไม่มีทางรักษาสมดุลของทักษะนี้เอาไว้ได้แน่
[ติดคริติคอล]
[ก๊าซซซซซซ]
“ตายซะ”
[นายท่าน ข้ารู้สึกได้ถึงการคงอยู่ของพลังที่แข็งแกร่ง]
ชาราน่าที่อยู่ในร่างกายฉันได้บอกฉันออกมา แม้ว่าฉันจยังคงพุ่งไปต่ออยู่ ฉันก็ได้มองขึ้นไปตรวจสอบที่สุดขอบฟ้า ตรงนั้นฉันสามารถจะเห็นมอนสเตอร์ที่กำลังเหวี่ยงแส้ที่ทำจากลาวาเดินขบวนกันมา
[พวกมันมาแล้ว ผู้เก็บกวาด]
“ทำความสะอาด?”
ฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่มันจะทำความสะอาดอะไร แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ๆที่ฉันจะต้องสู้กับมัน แต่ว่าก่อนหน้านั้นฉันจะต้องจัดการจอมทำลายก่อน ฉันได้กัดฟันแน่นและตะโกนออกมา
“ล็อทเต้ พุ่งไปเลย พวกเราไม่สามารถจะจบมันได้ด้วยแค่ราชันย์วายุพิโรธแน่ๆ”
[ก๊าซซซซซซซซซซซ]
ล็อทเต้ได้คำรามและกระพือปีกบินเป็นการตอบกลับ หอกของฉันได้แทงออกไปทางที่จอมทำลาบรวมกันอยู่โดยใช้ลมและสายฟ้าในการฉีกพวกมันเป็นชิ้นๆ
[นายท่านพลังลมแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว ฉันยังสามารถควบคุมมันได้ แต่ว่าฉันไม่มั่นใจว่านายท่านจะเป็นอะไรไหมหากอยู่ใจกลางของมัน]
[ฉันก็เหมือนกันนายท่าน แต่ว่านับตั้งแต่ที่นายท่านสามารถจะใช้สายฟ้าของพระเจ้าได้ ฉันก็คิดว่ามันน่าจะไม่เป็นไร]
“ใช่ ฉันไม่เป็นไรหรอก มากกว่านี้ก็ไม่มีปัญหา”
ตามจริงแล้วแค่เพียงความผิดพลาดนิดเดียวก็ทำให้พลังลมและสายฟ้าที่รวมอยู่ที่ปลายหอกของฉันระเบิดได้ง่ายๆ ยังไงก็ตามด้วยเทคนิคประจำตระะกูลซึ่งได้ปรับใช้กับฮีโรอิค สไตรค์และฉันก็ได้เรียนรู้วิธีควบคุมพลังทำลายที่วุ่นวายแบบนี้มาแล้ว ไม่เช่นนั้นมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรีดเร้นพลังของฉันมาในจุดๆเดียว ยิ่งฉันคิดมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งได้เข้าใจว่าบรรพบุรุษของฉันนั้นฝึกฝนด้วยวิธีที่วิปลาสไปแล้ว แน่นอนเพราะว่าฉันได้ประโยชน์จากมันฉันจึงไม่มีสิทธิที่จะบ่นอะไร
“ยุคแห่งน้ำแข็ง”
ไกลออกไปได้มีเสียงใครสักคนตะโกนออกมา ในไม่ช้าน้ำแข็งที่หนาวไปถึงกระดูกก็ได้มาถึงที่ๆฉันกับล็อทเต้อยู่ ฉันได้เหลือบตาไปมองทางที่พลังงานเยือกแข็งมาและเห็นไอน่าที่ทำลายจอมทำลายล้างจำนวนมากเหมือนเครื่องบดน้ำแข็ง เธอมีพลังทำลายล้างที่สูงมากจนไม่น่าเชื่อจนสมกับผู้ใช้พลังระดับ SSS จริงๆ
ดูเหมือนว่าไอน่าจะใช้ความพยายามอย่างมากในการที่จะใช้ทักษะนี้ออกมา แม้ว่าฉันจะต้องการเข้าไปกอดเธอแต่ฉันก็ทำมันไม่ได้ในตอนนี้ ฉันได้กัดฟันแน่นและพุ่งต่อไป เมื่อฉันได้จัดการทุกสิ่งหมดแล้วฉันจะได้กอดเธอเท่าที่ต้องการ
“ย๊ากกกกกกก”
[พวกนั้นกำลังเข้ามา]
เนื่องจากว่าหน่วยต่อสู้ซัคคิวบิและสมาชิกคนอื่นๆได้พยายามกันอย่างมาทำให้จอมทำลายล้มไปกว่าครึ่งแล้ว ก่อนที่ฉันจะได้รู้ตัวบรรยากาศในสนามรบก็เปลื่ยนไปและผู้กวาดล้างก็เข้ามาใกล้เรามากขึ้น
[แส้ของพวกมันเป็นอันตราย แส้พวกนั้นร้อยยิ่งกว่าดาบของจอมทำลายและทักษะของพวกมันก็ยืดหยุ่น]
“มาลองดูกันเถอะ”
ฉันได้ตะโกนออกไปและขี่ล็อทเต้ตรงเข้าไปหาพวกมัน ถ้าหากว่าราชันย์วายุพิโรษที่มาถึงจุดสูงสุดแล้วไม่สามารถจะเจาะทะลวงมันได้ ฉันก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
[มนุษย์ที่มีชีวิต]
[พวกเรารักมนุษย์ พวกมนุษย์อร่อย]
[เนื้อมนุษย์มันอ่อนนุ่มและละลายในปาก]
ในตอนที่ฉันเห็นพวกมัน พวกมันก็ได้เหวี่ยงแส้เข้ามาหาฉัน ฉันได้ผลักแส้ออกไปด้วยพลังลมรอบๆหอกและเข้าไปหาพวกมัน
“มาลิ้มรสมนุษย์ที่แสนอร่อยนี่สิ”
[อึก]
ในตอนที่ฉันแทงไปที่ผู้กวาดล้างด้วยหอกที่เต็มไปด้วยพลังของราชันย์วายุพิโรธ พลังหมุนวนที่ทรงพลังก็ได้เจาะหลุมขนาดใหญ่ลงไปบนอกของผู้กวาดล้าง ผู้กวาดล้างได้เห็นความตายของพรรคพวกได้เบิกตากว้างและเหวี่ยงแส้ของมันออกมา แต่ว่าฉันก็มุ่งต่อไปโดยที่ไม่สนใจ
แม้ว่าฉันจะถูกโจมตีด้วยแส้ แต่ว่าด้วยผ้าคลุมของฉันมันมีพลังในการลบล้างเพลิง ฉันแทบจะไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยหากนำแส้ของพวกมันไปเทียบกับแส้ของเดซี่ แส้ของพวกมันเคลื่อนไหวได้ช้ามาจนฉันสามารถจะอ่านทิศทางของมันได้อย่างสมบูรณ์ มันไม่มีทางที่ฉันจะต้องกลัวการโจมตีที่ฉันสามารถจะอ่านทิศทางได้
[อ๊ากกกกกกกกก]
[มนุษย์…. มนุษย์ มนุษย์]
“พวกนายควรจะพูดชื่อตัวเองให้มากดีกว่านะ”
หลังจากได้ต่อสู้กับพวกมันสองสามตัว ฉันก็สามารถจะบอกถึงลักษณ์พิเศษของพวกมันได้ในทันที เป็นแน่อนว่าพวกมันมีพลังเพลิงที่เหนือไปกว่าจอมทำลายล้าง แต่ว่ามันมีร่างกายที่อ่อนแอกว่า เพราะแบบนี้ฉันจึงจัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย
“ล็อทเต้หลบ”
[เข้าใจแล้ว]
การเคลื่อนไหวของล็อทเต้ได้เร็วขึ้นไปเรื่อยๆ ในตอนที่ฉันคิดดูมันดูเหมือนว่าพลังของเธอจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่านับตั้งแต่ที่เราได้เจอกันในตอนแรก เธอก็ยังตัวใหญ่และสง่างามขึ้นอีกด้วย การเปลื่ยนแปลงนี้มันเห็นได้ชัดเจนจากการที่เธอได้พุ่งผ่านมอนสเตอร์ระดับ SSS+ ได้ในเมื่อเธอเป็นเพียงแค่มอนสเตอร์ระดับ S+ ในตอนแรกเท่านั้น
[ฮีโร่มีพวกมันมามากขึ้นอีกแล้ว]
“เข้าใจแล้ว พุ่งต่อไปเลย”
ฉันได้ค้วาหอกเอาไว้แน่น ฉันได้ยิ้มอย่างมั่นใจและถ่ายเทพลังไปที่หอกของฉัน หนึ่งในเส้นทางศิลปะการต่อสู้จะต้องมีการต่อสู้ที่แท้จริง การพุ่งไปข้างหน้าด้วยการที่แขวนความเป็นความตายเอาไว้และผ่านมันไปจะทำให้ฉันได้พัฒนามากยิ่งขึ้น ในตอนที่ฉันได้เชี่ยวชาญเทคนิคหอกระดับสูง ฉันได้คิดว่าฉันได้เห็นจุดสิ้นสุดของวิถีหอกแล้ว ยังไงก็ตามฉันอายุเพียงแค่ 21 เท่านั้น มันไม่มีทางเลยที่ฉันจะเชี่ยวชาญเส้นทางแห่งศิลปะการต่อสู้ได้ในเวลาเพียงแค่ 13 ปี ในตอนนี้ฉันได้เข้าใจมันแล้ว ในเวลาเดียวกันฉันได้เข้าใจว่าระบบทักษะมันไม่ได้สมบูรณ์แบบ และการที่เชื่อในเลเวลของทักษะมันก็เหมือนกับการขีดเส้นขีดจำกัดของตัวเอง
นอกจากนี้เทคนิคหอกธรรมดาไม่เหมือนกับเทคนิคหอกในตอนที่ขี่มังกรอยู่ เทคนิคหอกที่ฉันได้แสดงขึ้นมาบนหลังของล็อทเต้มันไม่เหมือนกับเทคนิคหอกตามปกติของฉัน ยิ่งฉันได้สนิทกับล็อทเต้มากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอ่านการเคลื่อนไหวของเธอออกและปรับมันเข้ากับตัวเอง การโจมตีด้วยหอกของฉันได้แสดงพลังทที่มาขึ้นตามความเร็วสูงสุดของเธอ
[ติดคริติคอล]
หลังจากที่ฉันได้แทงออกไปอีกครั้ง แรงที่เหลืออยู่ก็ได้ระเบิดไหล่ของผู้กวาดล้างที่ยืนอยู่ข้างๆเป้าหมายที่ฉันต้องการจะจัดการ ฉัรได้รีบกวาดหอกไปด้านข้างทันทีและปัดแส้ออกไป ล็อทเต้ที่ดูจะอ่านใจฉันออกได้พุ่งเข้าไปหาผู้กวาดล้างต่อมันที จากนั้นฉันก็ได้จบชีวิตมันมาด้วยการโจมตีง่ายๆ
เมื่อเวลาผ่านไปการโจมตีของฉันก็ได้อันตายมากยิ่งขึ้น แม้ว่าพลังที่เก็บเอาไว้จะยังมีปริมาณที่เท่าเดิมก็ตาม นั่นมันได้หมายความว่าเทคนิคหอกของฉันได้ก้าวเข้าไปสู่ในขอบเขตที่มานาไม่ใช่สิ่งสำคัญแล้ว ฉันอดที่ฉันจะยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
การแข็งแกร่งขึ้นมันเป็นเรื่องที่ยินดี ไม่ว่ามันจะอันตรายแค่ไหน ไม่ว่ามันจะเสียงชีวิตขนาดไหน ไม่ว่ามันจะมีศัตรูมากยังไง ฉันก็จะเผชิญหน้ากับมัน
“เยี่ยม…. เยี่ยม”
[ฮีโร่ ท่านโดนสถานะทางจิตหรอ!?]
“ฉันมีภูมิคุ้มกันต่อสถานะทางจิตทั้งหมดนะ ล็อทเต้เร่งความเร็วขึ้นอีก
[ฮีโร่!?]
ราชันย์วายุพิโรธยังไม่ได้หยุดลง ตราบเท่าที่สายลมและสายฟ้าในโลกยังคงรวมอยู่ที่ปลายหอกของฉัน การพุ่งของฉันก็จะไม่หยุดลง
[ก๊าซซซซซซซซซซ]
เพียงแค่ในตอนที่ฉันกำลังคิดแบบนั้นก็ได้มีอะไรบางอย่างมาขวางทางเรา แม้ว่าเราจะพยายามพุ่งผ่านมันไปแต่หอกของฉันก็ไม่สามารถทะลวงมันไปได้ ฉันได้ควบคุมพลังที่กำลังวิ่งพล่าานอย่างบ้าคลั่งด้วยความลังเลที่จะใช้การโจมตีครั้งสุดท้ายออกไปดีไหม ฉันได้เคยขึ้นไปมองในสิ่งที่หอกของฉันไม่สามารถจะทะลวงได้
มึยักษ์ที่สูงหลายสิบเมตรจ้องลงมาที่ฉัน มันได้สวมใส่เกราะเพลิงหนาและถือหอกเพลิงที่ทำให้ฉันอยากจะได้มันมา
ฉันได้ถามกับล็อทเต้
“นี่ใช่ราชาลาวาหรือป่าว”
[เสียใจด้วยนะฮีโร่ แต่ว่าไม่ใช่]
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้นฉันได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ฉันยังไม่ได้เผลอรีบใช้ทักษะโอเวอร์ลอร์ดออกไปในตอนที่เห็นมัน
นี้มันเป็นจุดเริ่มในการต่อสู้กับบอสระดับกลาง