บทที่ 263 – นายหนีไปจากนักบุญไม่ได้หรอก (3)
[คุณได้กลายเป็นเลเวล 81 คุณได้รับแต้มสเตตัส 5 แต้ม]
[คุณได้รับคุณสมบัติในการท้าทายบียอนชั้นที่ 30]
[คุณได้รับโบนัสสเตตัส 5 แต้ม]
[คุณได้กลายเป็นนักสำรวจระดับแพลตตินัม 9 คุณได้รับคุณสมบัติในการแต่งตั้งนำสำรวคคนใหม่หนึ่งคน]
[น่าทึ่งมาก คุณเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ดันเจี้ยนที่ประสบความสำเร็จในการต่อสู้เพียงลำพังกับอัศวินแห่งความตายและเอาชนะมาได้ในการทดลองครั้งแรก ดันเจี้ยนจะจดจำคุณเอาไว้ในฐานะนักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่ คุณได้รับแต้มทักษะ 2 แต้มเป็นรางวัล แต้มทักษะในปัจจุบัน: 51]
[คุณได้รับฉายา ‘ผู้พิชิตอัศวินแห่งความตาย’ สเตตัสทั้งหมดเพิ่มขึ้น 2 เป็นการถาวร]
[คุณได้เอาชนะอัศวินแห่งความตายเพียงลำพังทำให้คุณได้รับรางวัลพิเศษ ‘หมวกอัศวินแห่งความตาย’]
[คุณได้รับเงิน 700,000 ทอง]
[คุณได้รับรางวัลเพียงอย่างเดียวที่ซ่อนเอาไว้สำหรับนักสำรวจคนแรกเท่านั้น ยินดีด้วยคุณได้รับแต้มสเตตัส 1 แต้ม]
[รางวัลลับ ลมหายใจแห่งความตาย]
หลังจากที่ฉันได้เอาชนะอัศวินแห่งความตายแล้วข้อความจากเชอริฟิน่าก็ได้ดังขึ้นมาเหมือนเคย
ในที่สุดฉันก็ได้กลายมาเป็นนักสำรวจระดับแพลตตินัมแล้ว ระดับแพลตตินัมของดันเจี้ยนที่หนึ่งสิ่งที่ฉันเคยรู้สึกว่ามันห่างไกลเกินกว่าจะมาถึง เพราะการปีนดันเจี้ยนที่รวดเร็วขนาดนี้ฉันก็ยังทึ่งเลย
“สิ่งที่ฉันคิดในตอนนั้นก็คงจะเป็นการที่หารายได้ได้มากขึ้นในตอนที่เป็นนักสำรวจระดับแพลตตินัมหรือป่าวนะ”
ในตอนนั้นเองฉันก็ได้หันไปสนใจในรางวัลที่ฉันได้รับมา
ลมหายใจแห่งความตาย ทักษะนี้มัน….
“เอ๋ เดี๋ยวนะ อืมมม หืออ…?”
ฉันได้เวลาอยู่พักหนึ่งคิดเกี่ยวกับมัน ทักษะนี้มันคือทักษะที่อัศวินแห่งความตายที่ฉันหยุดมันได้ง่ายๆนะ! ทักษะอ่อนๆแบบนี้มันมาเป็นรางวัลลับหรอ? นี้มันไม่ใช่ว่าเป็นรางวัลครั้งแรกที่ง่อยเปลี้ยที่สุดแล้วหรอ?
“ฉันยังจะต้องเรียนรู้มัน แต่นี่มันก้ยัง…”
ฉันได้บ่นออกไปทั้งๆที่เรียนทักษะนี้ไปด้วย จากนั้นฉันก็ได้รับข้อความยืนยันว่าฉันได้รับทักษะที่อัศวินแห่งความตายใช้แล้ว
[คุณได้เรียนรู้ทักษะลมหายใจแห่งความตาย (ติดตัว) ในระหว่างต่อสู้คุณจะดูดซับเก็บพลังความตาย จากนั้นคุณจะสามารถปล่อยพลังแห่งความตายที่เก็บเอาไว้ใส่เป้าหมายของคุณได้ คุณจำเป็นจะต้องเก็บพลังแห่งความตายให้ถึงสิบหรือมากกว่านั้นเพื่อที่จะใช้ผลนี้ ยิ่งคุณเก็บได้มากเท่าไหร่ผลของมันก็จะมากขึ้นเท่านั้น การไม่ใช่พลังแห่งความตายที่เก็บเอาไว้ออกไปก็จะทำให้เกิดผลร้ายของคุณอีกด้วยและคุณก็ยังสามารถจะใช้พลังนี้ได้ในหลายๆรูปแบบโดยไม่จำเป็นจะต้องใช้ผ่านลมหายใจ]
“เอ๋?”
เดี๋ยวสิ นี่มันต่างไปจากที่ฉันคิดอยู่นะ ฉันคิดว่ามันจะเป็นทักษะที่ทำให้ฉันปล่อยลมหายใจที่รุนแรงออกไปซะอีก แต่ดูท่าฉันจะคิดผิดอย่างมากเลย การใช้งานของมันก็ผิดจากที่ฉันคิดด้วย
ในระหว่างที่ใช้มันฉันยังสามารถจะเก็บพลังแห่งความตายจากคนที่ฉันฆ่าและใช้มันในรูปแบบอื่นๆงั้นหรอ?
“นี้มัน… อืม….”
ฉันแทบจะกลายเป็นอัศวินแห่งความตายคนใหม่เลยสิ! ทักษะนี้มันอะไรกันเนี้ย? น่าทึ่งไปแล้วนะ!
ลมหายใจแห่งความตายมันไม่ใช่แค่ทักษะที่ไม่ธรรมดาเท่านั้น มันเป็นทักษะที่ทำให้ฉันควบคุมพลังแห่งความตายได้ พลังที่ฉันไม่เคยได้รู้เกี่ยวกับมันมาก่อนเลยจนกระทั่งตอนนี้ การที่จะทำให้พลังนี้มาเป็นพลังของฉันมันจะขึ้นกับพลังของฉันอีกด้วย
วิธีที่สุดในการที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆก็ควรจะมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ และตอนนี้ฉันก็มีอาจารย์ที่ดีคนนั้นแล้ว
“มาแสดงให้ฉันเห็นถึงออร่าให้ความตายให้ใกล้ชิดหน่อยสิ ออร่าแห่งความตายอะ แสดงออกมาสิ!”
[เกิดอะไรกับคู่ต่อสู้ของข้าในวันนี้กันล่ะ? ไม่ใช่ว่าเจ้านี่มันบ้าไปจากความเครียดหรอกหรอ…?]
อัศวินแห่งความตายได้มองมาที่เขาอย่างมึนงงในขณะที่ยกดาบใหญ่ที่เต็มไปด้วยออร่าแห่งความตายขึ้นมา ฉันก็หยักหน้าอย่างมีความสุขเมื่อเห็นแบบนี้ ‘ก่อนที่ฉันจะเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดมา ฉันสาบานได้เลยว่าฉันจะเรียนรู้วิธีการควบคุมพลังแห่งความตายจากเขาให้ได้’ ฉันได้สาบากับตัวเองในขณะที่ชี้หอกไปทางเขา
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลย”
[คุณได้สวมใส่ชุดเซ็ตอัศวินแห่งความตาย ความแข็งแรงและความอดทนของคุณเพิ่มขึ้น 50 ในตอนที่คุณใส่ชุดเซ็ตอัศวินแห่งความตาย คุณจะสามารถใช้ ‘คอลแลคชั่นแห่งความตาย’ ได้วันละครั้ง]
[เมื่อคุณใช้คอลแลคชั่นแห่งความตายคุณจะอัญเชิญอาวุธของศัตรูที่คุณเอาชนะมาโจมตีเป้าหมายของคุณ ยิ่งคุณฆ่ามากเท่าไหร่ อาวุธพวกนี้ก็จะทรงพลังเท่านั้น แม้ว่ามันจะเป็นไปได้ที่จะใส่พลังของคุณเข้าไปในอาวุธที่อัญเชิญออกมาได้ แต่จงจำไว้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์จะทำให้อาวุธเหล่านี้เต็มไปด้วยความไม่พอใจ]
ฉันโชคดีจัดเลย ฉันสามารถจะรวบรวมอุปกรณ์ทั้งหมดของอัศวินแห่งความตายได้ภายในวันเดียว แม้ว่าฉันจะคิดเอาไว้แต่ทักษะเซ็ตของมันก็ยังทรงพลังอย่างมาก ศัตรูที่ฉันได้เอาชนะมาจนถึงตอนนี้…. จำนวนพวกนี้มีมากเกินไปกว่าที่ฉันจะจำได้ซะอีก ยังไงก็ตามพวกนั้นส่วนใหญ่ต่างก็ใช้ร่างกายเป็นอาวุธมากกว่าที่จะใช้อาวุธจริงๆ ฉันสงสัยจะเลยว่าจะมีแบบมอนสเตอร์ตัวโตๆปรากฏออกมาจากหมอกดำหรือป่าว
“อ่า ไม่สิ ฉันเพิ่งจะสังหารหมู่พวกปีศาจไปเมื่อไม่นานนี้นี่นา”
ในตอนที่ฉันคิดถึงเรื่องนี้ฉันก็รู้สึกเต็มไปด้วนความหวัง ฉันจำได้ว่าแทบจะไม่มีปีศาจตนไหนเลยที่ใช้มือเปล่าเป็นอาวุธและเขาได้พลันคาดหวังกับทักษะนี้ทันที แต่ยังไงก็ตามเนื่องจากว่าฉันจะไม่สู้กับอัศวินแห่งความตายแล้ว ฉันวางแผนที่จะพักแล้วทำให้ฉันยังคงไม่มีเวลาได้ทดสอบมัน ตอนนี้ฉันยังมีความคิดที่จะใช้พลังแห่งความตายแล้วด้วย
[ชินจะพักแล้วหรอ]
“ใช่แล้ว เธอก็ควรจะพักเหมือนกันนะริยู”
แน่นอนว่าฉันยังคงมีงานกองเป็นภูเขาให้ไปทำอยู่ แต่สิ่งต่อไปที่ฉันจะต้องทำในตอนนี้เลยคือ…. แค่คิดถึงมันก็ทำให้ฉันท้องปั่นแล้ว
ในตอนนั้นเองจู่ๆริยูก็เข้ามาหาฉันและพูดขึ้น
[ตอนนี้ชินควรจะกกไข่ได้แล้วนะ]
“…หืมม?”
ฉันได้ยินไม่ผิดไปใช่ไหม? ฉันได้ถามริยูซ้ำอีกครั้งถึงสิ่งที่เธอพูด แต่เธอดูจะไม่ได้ยินในสิ่งที่ฉันพูดพร้อมกับหยิบเอาไข่โลหะออกมาจากอากาศ ไข่นี่ก็คือไข่ที่ฉันได้มาในตอนที่ไปทวีปลูก้า
นับจากครั้งล่าสุดที่ฉันเห็นมันไข่ใบนี้ได้มีขนาดที่ใหญ่และอ้วนขึ้น ความจริงแล้วไข่ตามปกติไม่ควรจะเป็นแบบนี้ ฉันได้สังเกตุไปที่มานาจำนวนมากที่อยู่ภายในนั้น เรื่องนี้ฉันพอจะเข้ใจมันได้เพราะไอเทมที่ไม่จำเป็นทั้งหมดที่ฉันได้มาจนถึงตอนนี้ต่างก็ถูกไข่ใบนี้กลืนลงไป
“ทำไมเป็นฉันล่ะ….?”
[อีกไม่นานมันก็จะฝักออกมาแล้ว]
“จริงหรอ?”
[อื้อ]
ริยูได้หยักหน้าออกมา ฉันได้ก้มลงไปมองไขโลหะในมืออย่างกังวล
ทักษะผู้ใช้ธาตุของฉันในตอนนี้อยู่ในขั้นสูงระดับ 8 ฉันรู้สึกว่าฉันจะสามารถทำพันธะสัญญากับภูติธาตุตนใหม่ได้ในตอนที่ฉันเชี่ยวชาญในทักษะพันธะสัญญาณธาตุขั้นสูง ยังไงก็ตามมันยังไม่มีสถานการณ์ที่ไพก้า ริยูและชาราน่าก็ยังไม่เพียงพอเลย แถมฉันก็ยังรู้ตัวว่าฉันยังไม่มีมานามากพอที่จะคงสภาพภูติธาตุเอาไว้ถึงสี่ตน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันไม่ยอมใช้แต้มทักษะอัพมันมาจนกระทั่งถึงตอนนี้
แม้ว่ามานาของฉันจะมีใกล้ๆถึงสองแสนห้าแล้วฉันก็ยังคงคิดแบบนั้นอยู่ แต่ว่าไข่นี้จะมาหาฉันเมื่อรู้ถึงความพัฒนาของฉันในฐานะของผู้ใช้ธาตุ ข้างในไข่ใบนี้คืออะไรกันแน่นะ
“เอาล่ะ การเสียเวลาคิดมากไปแบบนี้มันก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรฉันกลับมาอยู่ดี ฉันก็แค่ค่อยไปกังวลในตอนที่มันถึงเวลานั้นดีกว่า… เอาล่ะ ริยู งั้นนับจากนี้ฉันจะเก็บไข่ไว้เองล่ะนะ”
[อื้อ]
แม้ว่าไข่จะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นแต่ว่ามันก็ไม่ได้ใหญ่ไปจนถึงในจุดที่ฉันอุ้มไปไหนไม่ได้ ฉันได้อุ้มไข่เอาไว้ตรงอกและให้ภูติธาตุกลับไปจากนั้นก็ออกมาจากดันเจี้ยน ถ้าฉันเจอกับโรเล็ตต้า ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันจะต้องผ่อนคลายมากเกินที่จะไปทำตามแผนต่อไป
ใช่แล้ว
ฉันกำลังจะไปหาเคียร่า คีเน็กซ์
[ท่านฮีโร่ คุณสง่างามมากขึ้นมากเลยนับตั้งแต่ครั้งที่เราได้คุยกันล่าสุด]
“เธอก็พูดแบบนี้ในครั้งนั่นเหมือนกัน เธอก็เป็นคนที่โตขึ้นมากเหมือนกันนี่”
ฉันได้มาเจอกับเธอในตอนที่ฉันมาเคลียร์เหตุการณ์ดันเจี้ยนในอเมริกาและมันเพิ่งจะผ่านมาเพียงครึ่งปีเองเท่านั้น เธอได้ตัวสูงขึ้นมากๆแต่แม้อย่างนั้นเธอก็ยังดูอ่อนแอเหมือนเดิม
จากนั้นฉันก็รูู้สึกเสียใจในสิ่งที่ฉันพูดออกไปในทันทีเนื่องจากว่าเคียร่าได้ทำท่าเหมือนกับเธอกำลังตัวลอย
[คุณสังเกตุเห็นการเติบโตของฉันด้วย อ๊าฉันมีความสุขจัง ท่านฮีโร่ก็ชอบฉันเหมือนกันสินะ]
“ฉันจะพูดอีกครั้งนะ ฉันเกลียดเธอและฉันก็รู้สึกเจ็บปวดมากที่พูดคุยกับเธออย่างในตอนนี้”
แค่คำพูดของฉันก็ยังไม่มากพอ ฉันเกลียดเธอ อย่างแรกเลยฉันเกลียดที่ตัวเธอชอบฉันมากแบบนี้ เหตุผลที่มันยอมรับไม่ได้เลยนั่นก็คือฉันเป็นฮีโร่และเธอคือนักบุญ เธอได้มีภาพของฮ๊โร่อยู่ในหัวอยู่แล้วและต้องการจะให้ฉันไปเติมเต็มภาพนั้น สิ่งสำคัญก็คือภาพลักษณ์ของฮีโร่ที่เธอจะให้ฉันเป็นมันคือเศษสวะที่จะยอมเสียสละคนอื่นเพื่อประโยชน์ของเขาเอง
[ฉันได้ยินเกี่ยวกับความสำเร็จของท่านฮีโร่มาหมดเยอะมากเลย ท่านฮีโร่ทำได้เยี่ยมแต่ว่านี้มันไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะแบบนั้นท่านฮีโร่จะต้องเอาทุกๆอย่างมาไว้ในกำมือของท่านฮีโร่ ท่านฮีโร่จะต้องได้รางวัลสำหรับ….]
“เคียร่า”
[ค่ะท่านฮีโร่]
เคียร่าได้หยุดพูดลงและหันมาหาฉัน พลังกระแสจิตจองเธอมันทำให้ฉันหงุดหงิด แต่ว่ามันก็น่าขำอยู่นิดหน่อยที่เธอทำตัวเหมือนกับหมาน้อย ความจริงแล้วเธอใช้เวลาเพียงแค่สามชั่วโมงในการมาที่บ้านกิลด์ของเราหลังจากที่ฉันติดต่อไปหาเธอมันก็เป็นเรื่องพิสูจน์แล้ว
“เธอก็ควรจะรู้เรื่องนี้เหมือนกัน เรื่องเกี่ยวกับดันเจี้ยน”
[ค่ะ ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ท่านฮีโร่ถามในตอนนั้นไม่ใช่เรื่องของดันเจี้ยนที่ปรากฏขึ้นบนโลกแต่ว่าเป็นฮีโลกหนึ่งที่อยู่ในความครอบครองของฮีโร่ แต่ว่านั่นมันไม่ใช่สถานที่ๆสำคัญแบบนั้นใช่ไหมล่ะ มันก็เป็นแค่ที่ๆท่านฮีโร่ใช้พัฒนาตัวเอง ไม่สิฉันเดาว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะรวบรวมคนจากที่นั่น… อืมม…]
เคียร่าทำเหมือนจะไม่สนใจแต่ว่าตัวเธอไม่ใช่แบบนั้นเลย ดันเจี้ยนเป็นสถานที่ๆลึกลับที่มีโครงสร้างซับซ้อนมากยิ่งไปกว่ามอนสเตอร์หรือปีศาจที่บุกเข้ามาบนโลก มันเป็นสถานที่ๆนักสำรวจจะได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่ได้และยังเป็นศูนย์รวมความสนใจของโลกในปัจจุบัน ฉันไม่มีทางจะเชื่อแน่ว่าเคียร่าจะไม่สนใจในเรื่องนี้
ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ได้อยากจะไปเข้าใจในความคิดอะไรของเธอแบบนั้นเลยสักนิด ฉันได้พูดต้องไปในสิ่งที่ฉันต้องการจะพูดอย่างรวดเร็ว
“เธอสามารถจะแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยการเข้าไปในดันเจี้ยน แม้แต่เธอก็มีโอกาสที่จะพัฒนาพลังไปข้างหน้า อย่างน้อยที่สุดเลยเธอก็จะต้องได้พัฒนาขึ้นแน่ๆ”
[พลังนั่นมันไม่ใช่ว่าเป็นของปลอมหรอ? ไม่ว่าฉันจะคิดมากเท่าไหร่ฉันก็คิดได้แต่ว่านั่นมันคือพลังของคนอื่น]
สมแล้วที่เธอเป็นนักบุญ เธอสงสัยได้ถูกจัดแล้ว แต่ยังไงก็ตามฉันได้ยิ้มขึ้นและตอบกลับไป
“ถ้าหากว่าเธอถูกบังคังให้ใส่เสื้อที่หลวม ร่างกายของเธอก็ยังเติบโตจนใส่เสื้อนั้นพอดีได้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ทุกคนที่จะทำแบบนี้ได้แต่ฉันทำมันได้ นี้มันคือสิ่งสำคัญ เมื่อเส้นทางได้ถูกเปิดขึ้นไปครั้งหนึ่งแล้วการทำตามแนวทางนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
[ถ้างั้นฮีโร่ก็ใช้ดันเจี้ยนเหมือนกันสินะ! คุณมีแผนที่จะยึดที่นั่นไหม? ฉันจะช่วยท่านฮีโร่ด้วยพลังทั้งหมดของฉันเอง]
ในอดีตเธอคงจะต้องเป็นผู้บัญชาการที่ยอดเยี่ยมแน่ๆ แต่ว่าสำหรับฉันผู้ที่มองเป็นกลางเธอดูจะยโสเกินไปแล้ว
“เหมือนที่ฉันพูดไปแหละมันไม่ใช่สิ่งที่ทุกๆคนจะทำได้ ศัตรูที่เรากำลังเผชิญอยู่… ใช่แล้ว พวกเรา”
[ท่านฮีโร! ฉันมีความสุขจัง ในที่สุดคุณก็เข้าใจฉันแล้ว ใช่เลยพวกเรา]
ฉันได้แต่ห้ามตัวเองไม่ให้วิ่งหนีออกไปเอาไว้
…ฉันฆ่าเธอได้ไหมนะ ไม่ชิน อดทนเอาไว้ อดทน เพื่อความเจริญก้าวหน้าที่ดีขึ้น ใช่แล้วเพื่อความก้าวหน้า
“ศัตรูที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่สามารถจะลบล้างพลังของดันเจี้ยนได้ ในตอนแรกฉันคิดว่าฉันจะสามารถรับมือมันได้ด้วยตัวเองแต่ว่าสิ่งนี้มันเปลื่ยนไปแล้ว สิ่งที่ไม่เคยคาดคิดเอาไว้ได้เกิดขึ้นดังนั้นฉันจำเป็นต้องหาวิธีที่จะคาดเดาในสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้…. ฉันต้องการเธอ
[ใช่สิ แน่นอนเลย ฉันกำลังรอวันที่จะเข้าร่วมกับท่านฮีโร่มานานแล้ว]
เคียร่าได้ทิ้งตัวเข้ามาหาฉันราวกับว่าเธอจะเอาตัวเองเข้ามาเกาะฉันเลย ฉันได้เขกหัวของเธอและพูดต่อไป
“นับจากนี้ไปก็เชื่อฟังฉันด้วย อย่าได้ทำอะไรตามใจเด็ดขาด”
ฉันไม่ชอบที่จะควบคุมคนอื่นๆ มันนี้คือสิ่งที่เคียร่าอยากให้ฉันทำแต่ฉันเกลียดการควบคุมผู้คนให้กระทำในสิ่งที่ไม่ต้องการดังนั้นสำหรับเคียร่าแล้วก็คงไม่เป็นไร สิ่งที่เคียร่าทำมีแต่ทำให้ฉันต้องฝืนขบฟันเอาไว้
[แต่ว่าท่านฮีโร่]
“อย่างแรกตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวของเธอ”
[นี้มันเป็นไปไม่ได้ ตระกู,ของฉันมักจะใช้ฉันเสมอและแม้แต่ตอนนี้…]
“ถ้างั้นฉันจะตัดขาดมันให้เธอเอง นอกไปจากนี้ฉันก็ไม่ต้องการองค์กรที่เธอตั้งขึ้นอีกด้วย กำจัดมันทิ้งซะ”
[ท่านฮีโร่….]
เคียร่าไม่สามารถจะพูดอะไรได้อีก บางทีนี้มันอาจจะเป็ฯครั้งแรกเลยที่ทำให้เธอพูดไม่ออกไป ฉันได้รู้สึกดีแปลกๆกับชัยชนะนี้และพูดต่อไป
“ตอนนี้เธออ่อนแอเกินไป เธอจะต้องแข็งแกร่งขึ้น”
[แต่ท่านฮีโร่ ฉันเกลียดดันเจี้ยน]
“เอ๋ เธอหมายความว่าอะไรล่ะนั่น””
สิ่งที่เธอพูดออกมามันไร้สาระมาก
“ฉันไม่เคยบอกว่าฉันจะให้เธอเข้าไปในดันเจี้ยนเลยนะ”