บทที่ 278 – ฤดูที่สาม (3)
เนื่องจากว่าพอลอาจจะต้องใช้เวลาอยู่ในโลกเป็นเวลานานฉันก็เลยพาตัวเขาไปที่บ้านกิลด์ทันที รูเดียกับชูน่าจำพอลได้ในทันทีแต่ว่านอกเหนือจากพวกเธอสองคนแล้วก็ไม่มีใครที่รู้จักเขาเลย สมาชิกส่วนใหญาชองรีไวเวิร์ลต่างก็ยินดีต้อนรับเขา พอลได้แนะนำตัวเองก่อนเขาจะเข้าสู่ขั้นตอนการทุบตี
“ฉันพอล วอน คราวิส ยินดีที่ได้รู้จักนะทุกคน”
พอลได้ก้มหัวให้กับทุกคนอย่างสุภาพโดยไม่มีเศษส่วนของเจ้าชายเลยแม้แต่นิด หลังจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองสำรวจดูสมาชิกของรีไวเวิร์ลและตะโกนออกมาอย่างตกใจ
“พวกเขาน่าทึ่งมากเลยคังชิน!”
“โอ้ นายรู้ในพลังของพวกเขาด้วยหรอ? ไม่เลวนี่พอล”
พอลดูเหมือนจะตื่นเต้นมาทำให้เขาหายใจเสียงดังออกมาจากจมูก
“พวกเธอทั้งหมดสวยจนน่าทึ่งเลยอะ!”
ฉันได้ตัดสินใจที่จะเพิ่มระยะช่วงการทุบตีขึ้นเป็นสองตัวในใจและแนะนำสมาชิกในกิลด์ให้พอลฟัง
“พอลเป็นคนสืบทอดฮีโร่จากทวีปอีเดียส ฮีโร่ในทวีปเขาได้ตายไปโดยที่ยังไม่ได้ส่งพลังของเขาออกมา ฉันได้ไปนำพลังนั้นมาและเขาก็จะอยู่กับเราจนกว่าที่ฉันจะถ่ายพลังของฮีโร่ไปให้เขาเสร็จ อย่างที่ทุกคนน่าจะรู้คือเขาไม่ได้จะมาเป็นสมาชิกของเขาอย่างเป็นทางการ”
“ฉันคิดว่าเราจะได้สมาชิกใหม่แล้วซะอีก”
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสินะที่จะถ่ายโอนพลังของฮีโร่ มันจะกินเวลาอยู่หลายเดือนเป็นอย่างน้อย และเนื่องจากว่าฉันจะต้องใช้เวลาเคลียร์เหตุการณ์ดันเจี้ยนกับมอนสเตอร์แล้วด้วยมันอาจจะใช้เวลาเป็นปีเลยก็ได้”
“ถ้างั้นพวกเราก็คงจะเจอกันอยู่ซักพักหนึ่งนะ ยินดีที่ได้เจอ”
“โอ้ โอ้วว ยินดีที่ได้รู้จัก”
ฮวาหยาผู้ที่เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับด้านสังคมมากที่สุดในหมู่พวกเราได้เริ่มทักทายพอลก่อน จากนั้นพอลได้รีบตอบกลับไปในทันที ฮวาหยายิ้มขึ้น มันเห็นได้ชัดเลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ว่าฉันคงต้องขอบคุณเธอที่เธอไม่พูดออกมาดังๆ
“ผู้สืบทอดฮีโร่… หืมม ยินดีที่ได้รู้จักนะ มันก็ไม่ได้นานนักหรอกนะนับตั้งแต่ที่ฉันได้ยินเรื่องฮีโร่จากเจ้าลูกชาย แต่ว่ามันก็น่าสนใจทีเดียวที่มีฮีโร่มารวมกันที่นี่”
“เอาล่ะ มันยังไม่ชัดเจนอีกหรอ? ถ้าหากโลกล่มสลายไปมันจะต้องมีอีกหลายๆโลกล่มสลายไปด้วยแน่ๆ ดังนั้นแข็งแกร่งขึ้นวะสิ พ่อของฮีโร่”
“โฮะๆๆ วอร์คเกอร์ นายเคยได้ยินเรื่องขั้นตอนการทุบตีปะ?”
ทุกๆคนในรีไวเวิร์ลได้รู้แล้วว่าฮีโร่คืออะไรและจะเกิดอะไรขึ้นหากฮีโร่ตาย ฉันได้บอกเรื่องพวกนี้กับเขาไปแล้ว เนื่องจากว่าที่ฉันกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก พวกเขาต่างก็ตกใจแต่ว่าพวกเขาก็ไม่ได้กลัว ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่มีอะไรที่เปลื่ยนแปลงไปสำหรับพวกเขาอยู่แล้
แต่ว่าฉันก็ไม่ได้บอกพวกเขาไปในเรื่องของเอลลอส ฉันไม่อยากจะให้พวกเขาอารมณ์เสีย ไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีคนที่จะต้องกังวลเรื่องของฉันแน่ๆหากบอกออกไป
ฉันรู้สึกขอบคุณในความห่วงใยจากทุกๆคน แต่ว่าแทนที่จะให้คนอื่นมาห่วง ฉันก็อยากจะก้าวข้ามมันด้วยความเข้มแข็งของตัวเองมากกว่า
“แล้วคาซิ… ไม่มีอะไรหรอก ยินดีที่ได้รู้จักนะพอล”
รูเดียก็เกือบจะพลาดพูดสิ่งนั้นออกมา แต่เธอก็ดูจะสังเกตุเห็นแล้วว่าทำไมพอลถึงถูกพามาแทนที่จะเป็นเอลลอส เธอได้หยุดพูดเอาไว้และก้มหัวอย่างสุภาพ เธอได้รู้จักการให้ความสำคัญกับคนอื่นแล้ว ฉันค่อนข้างจะยินดีเลยกับการเติบโตนี้ของเธอ
พอลก็ยังดูเหมือนจะรู้ได้ว่ารูเดียอย่างจะพูดอะไรออกมาในตอนแรกทำให้เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและทักทายเธอกลับไป
“อ่า เพลรูเดีย คุณดูสวยขึ้นนะ สวยขึ้นมากจริงๆ”
“”ฉันไม่ได้สวยขึ้นเพื่อนาย มันเป็นเพื่อชิน”
“อืมม อ่า….”
ไม่สิ ฉันคิดผิด เธอก็ยังเป็นเธอเหมือนเดิม ฉันได้ยิ้มแห้งๆออกมาและหันหน้าไป ฉันได้คุยบางอย่างกับเร็นก่อนที่เขาจะไปเข้าดันเจี้ยน
“เร็น ฉันมีข่าวดีมาบอกนาย ฉันมั่นใจเลยว่านายจะต้องยินดีแน่”
ฉันได้ยิ้มหวานให้กับเร็น เร็นได้ไอแห้งๆออกมาและก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว
“ฉันคิดว่าฉันไม่อยากจะได้ยินมันจริงๆนะ”
“ต่อให้นายไม่อยากจะได้ยินก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวนายก็จะได้สัมผัสด้วยร่างกายตัวเองในไม่ช้านี่แหละ”
“ถ้างั้นมันก็เกี่ยวกับช่วงการทุบตีจริงๆ!?”
“จงมีความสุขซะเถอะ ขั้นตอนการทุบตีฤดูกาลที่สามได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว”
เมื่อได้เห็นสีหน้าที่หวาดกลัวของเร็นก็ทำให้พอลดูจะกลัวเช่นกัน แต่ที่น่าสนใจก็คือพ่อได้หยักหน้าอย่างพอใจ
“ฉันดีใจนะที่นายกลับมาอย่างปลอดภัย”
ฮวาหยาได้พูดกับฉันต่อมา ฉันได้หยักหน้าให้กับเธอและถามกับเธอผ่านระบบข้อความ
[เกิดอะไรขึ้นกับเคียร่า?]
[เธอสบายดี ตอนนี้เธอกำลังควบคุมมานาด้วยตัวเธอเองอยู่ เธอไม่น่าจะเป็อะไรหรอกหากปล่อยเธอไว้เพียงลำพังสักสองวัน]
สิ่งที่ฮวาหยาพูดออกมามันน่าชื่นชมอย่างแท้จริง ฉันได้ยกนิ้วให้กับเธอและเธอก็ส่งสัญญาณตอบกลับมาเหมือนกับได้รับชัยชนะมา เยอึนก็สังเกตุเห็นพวกเขาและบ่นออกมา
“พวกชินคุยกันลับๆอีกด้วย”
“คุยกันเรื่องเคียร่านะ ฉันอธิบายไปแล้วใช่ไหมล่ะ”
เมื่อฉันพูดชื่อเคียร่าออกมาทุกๆคนก็ได้เงียบลงทันที พวกเขาแบ่งกันออกเป็นสองกลุ่ม หนึ่งคือคนที่เกลียดเคียร่าเพราะพวกเขาได้จเอกันในตอนที่เราได้ไปเจอเคียร่าครั้งแรกและอีกกลุ่มหนึ่งคืออยู่เงียบๆเพราะไม่เคยเจอเธอหรือไม่ได้รู้เรื่องของเธอมากนัก เมื่อมาลองคิดดูมันก็เป็นเพราะว่าฉันได้ออกไปทำภารกิจทหารรับจากในทันทีที่พาเธอมา ฉันยังไม่ได้ให้คำอธิบายอะไรเลย
ถ้าแบบนี้งั้นนี่ก็เป็นโอกาสดี ฉันได้ยิ้มขึ้นและใช้โอกาสนี้บอกกับพวกเราถึงสถานการณ์ของเคียร่าและบอกว่าทำไมฉันถึงยอมรับเธอเข้ามาในรีไวเวิร์ล สมาชิกส่วนใหญ่ต่างก็ตกใจที่รู้ว่าเคียร่ามีดวงตามารและบางคนก็แสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อยกับความคิดที่จะพาเธอมาเป็นพวก
ยังไงก็ตามการตอบสนองทั่วๆไปแล้วก็คือ…
“ฉันไม่ชอบนิสัยเธอเลย แต่ว่าพวกเราต้องการพลังของเธอแน่นอน…”
และนั่น
“เธอจะไม่ทำอะไรโง่ๆหรอ?”
“ฉันได้ติดสินใจที่จะส่งซัคคิวบัสไปเฝ้าดูเธอไป อย่างที่พวกเธอรู้ ตัวเคียร่าไม่มีความสามารถในการต่อสู้เลย ต่อให้เกิดอะไรขึ้นจริงๆเราก็น่าจะหยุดเธอได้ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
“แล้วลูกรักษาเด็กคนนั้นงั้นหรอ?”
“ก็ใช่แหละ แต่ว่าส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะอิลิกเซอร์ แต่หากไม่มีพลังของฉันมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้”
พ่อก็ดูเหมือนจะคิดอยู่พักหนึ่งและไม่นานนักก็หยักหน้า
“พ่อไม่คิดว่าเราจะต้องห่วงเรื่องเธอมากนัก พ่อมั่นใจว่าคนอื่นๆก็น่าจะรู้ว่าเธอยังเด็กอยู่ พ่อคิดว่ามันเป็นความผิดของเธอที่ปิดบังเรื่องในตอนนั้นกับเรา แต่ว่าสภาพแวดล้อมที่เธอเติบโตมามันค่อนข้างที่จะโดดเดี่ยน เราควรจะคิดถึงเรื่องนี้ด้วยนะ”
“ใช่แล้ว พ่อ”
“นอกจากนี้เด็กๆก็เปลื่ยนแปลงเร็วจะตาย โดยเฉพาะในตอนที่มีความรักนะ ในตอนที่เธอโตขึ้นชินจะต้องมีอิทธิพลต่อเธอมากแน่ดังนั้นเราก็ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเหมือนกัน”
“พ่อนั่นแหละคือเรื่องที่ผมกังวลมากที่สุด…”
พ่อได้บ่นออกมา
“พ่อสงสัยนะ แกได้มอบดวงตาและเสียงคือให้เด็กคนนั้นทั้งๆที่พลังที่น่าทึ่งของเธอยังไม่อาจจะทำอะไรได้เลย พ่อมั่นใจได้เลยว่านี้มันมากพอที่จะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดที่เธอเคยมีมา พ่อคิดว่าเธอก็คงจะต้องเห็นแกเป็นคนที่รักหรือไม่ก็เคารพบูชาแกแน่ แกคิดยังไงล่ะ? แกอยากจะให้เป็นแบบไหน?”
“…ผมว่ารักดีกว่า”
ในตอนนั้นฉันได้จินตนาการภาพเคียร่าที่ได้สร้างลัทธิคังชินขึ้นและทำตัวเองเหมือนกับนักบุญก็ให้หน้าฉันซีดออกมา มันดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวที่คิดแบบนี้ด้วยคนอื่นๆก็ได้ทำหน้าคล้ายๆกันกับฉัน ในตอนนั้นเองจู่ๆเดซี่ก็ถามขึ้น
“….ถ้างั้นนายจะทำลูกกับเธอ?”
“อะไรนะ!?”
“เดซี่ เธอถูกห้ามจากการใช้คำนี้นนับจากนี้”
“…งั้นก็สืบพันธ์?”
“นั่นก็ห้ามด้วย!”
ฉันได้จัดการเขกหัวของเธอก่อนที่จะได้พูดอะไรแย่ๆออกมาอีก
“เอาล่ะ ทุกคนแยกย้ายๆ เร็นกับพอล พวกนายสองคนตามฉันไปที่ห้องฝึกใต้ดิน”
ขั้นตอนการทุบตีมันจะเป็นการช่วยสร้างคนใหม่
ขั้นตอนการทุบตีมันจะขับไล่คนๆเก่าออกไป
ขั้นตอนการทุบตีมันจะเป็นคนๆหนึ่งให้กลายเป็นสิ่งที่เหนือมนุษย์
“ช่วยฉันด้วย…!”
“ฉันยังไม่อยากตาย”
ฉันได้เมินคำขอของพอลและตบหลังของเขา จากนั้นเตะเร็นที่แกล้งตาย
“เร็นถ้านายเอาแต่นอนตายบนพื้นนายจะไม่เก่งขึ้นนะ!”
“อั๊ก เจ้าชายย…! นี้มันเกิดอะไรขึ้น? นายกกลับมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน?”
“นายก็ทำมันได้เช่นกันเร็น!”
“อย่ามาหลอกฉันเลย!”
เร็นได้ตะโกนออกมาอย่างเร่าร้อนและพุ่งเข้ามาใส่ฉัน มันดูเหมือนเขาจะคลั่งไปจากการที่ฉันเตะเขา เยี่ยมเลย นี่แหละคือสิ่งที่ฉันต้องการ
“ถึงแม้ว่านายจะโกรธ นายก็ไม่มีสามารถจะอ่านการโจมตีนายๆได้นะ!”
“อ๊ากกกกกก!”
เมื่อได้ยินเสียงคำรามนี้มันดูเหมือนว่าความรำคาญที่อยู่ในตัวของฉันมันหายไปเป็นสิบปี แน่นอนว่าฉันก็ไม่ได้พูดออกไป
“แล้วนายด้วยพอล! ไม่ใช่ว่านายถูกอัดหรอ! นายก็ควรจะคลั่งด้วยสิ! ก้าวร้าวขึ้นหน่อย!”
“ไม่ว่าฉันจะก้าวร้าวยังไงฉันก็โจมตีนายไม่ได้นี่!? ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันไม่อยากจะเป็นฮีโร่”
“นายไม่อยากจะเป็นฮีโร่หรอ? ต่อให้ทวีปอีเดียสจะเสียความหวังไปอะนะ?”
“อะ… ย๊ากกกก!”
คำพูดของฉันได้ปลุกใจของพอลขึ้นมาแล้ว
เยี่ยมล่ะ ฉันไม่ได้เลือกผิดเลย พอลเป็นคนงี่เง่าแต่ว่าเขาก็มีความรับผิดชอบมากกว่าคนทั่วๆไป แม้ว่าฮีโร่จะต้องแข็งแกร่ง แต่ว่าความรับผิดชอบมันก็เป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกัน เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ฮีโร่ของทวีปอีเดียสเป็นแบบเอลลอสฮีโร่คนนั้นจะต้องเป็นคนแบบพอลนี่แหละ
แน่นอนว่าความรับผิดชอบอย่างเดียวก็ไม่ได้ช่วยแก้ไขอะไร นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพอลถึงต้องผ่านขั้นตอนการทุบตี
หลังจากได้อัดพอลมากว่าสามชั่วโมง ฉันก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้มีพรสวรรค์ในการต่อสู้เลย พรสวรรค์ของเขามีเพียงแค่หนึ่งในสิบเก้าของเร็นเท่านั้นเอง
“นายรู้ไหมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฮีโร่คือการไม่ตาย”
ดังนั้นฉันจึงได้ตัดสินใจที่จะเพิ่มการฝึกขึ้น
“ไม่ตาย…ใช่แล้ว”
พอลได้หยักหน้า
“นอกจากนี้นายก็ยังเป็นเจ้าชายด้วย นายไม่จำเป็นจะต้องไปยืนแนวหน้าใช่ไหม?”
“แต่ว่าฮีโร่ของเรามักจะยืนอยู่แนวหน้าเสมอ”
“นั่นมันเป็นเพราะว่าเขาเป็นนักรบที่สามารถจะใช้พลังของโลกในการต่อสู้ได้ แต่ว่านั่นไม่ใช่นาย”
“ทำไมนายถึงต้องมาค่อนแคะฉันด้วยเล่า!?”
“โชคดีอยู่ที่นายมีพรสวรรค์ในการป้องกันนิดหน่อย”
มันเป็นเวลาหลายปีแล้วที่เขาได้ปีนดันเจี้ยนในฐานะของแท้ง ไม่ว่าเขาจะมีพรสวรรค์แค่ไหนก็ตามแต่ถ้าเขาถือโล่ปีนไปถึงชั้นที่ 50 การป้องกันของเขาอย่างน้อยก็คงจะฝังแน่นเข้าไปในร่างกายเขาแล้ว ฉันได้คิดว่าตัวเขาเหมาะกับการป้องกันมากกว่าการโจมตี
“แต่ว่าฉันก็ยังไม่สามารถจะดึงความสนใจของมอนสเตอร์จนทำให้เอลลอสตกอยู่ในอันตรายเสมอ”
“คุณต้องมีชีวิตอยู่ แล้วทำไมนายต้องไปดึงความสนใจล่ะ? ไม่ต้องทำแบบนั้นหรอกน่า แค่อยู่เงียบๆเหมือนกับตายก็พอ”
“ฉันน่าสงสารจริงๆ ฉันอยากจะร้องไห้”
“พอล”
ฉันได้ดึงหอกออกมาตีหลังของเขา พอลได้ร้องออกมาและเงยหน้าขึ้น
“อะไร?”
“นายไม่อยากจะเป็นฮีโร่จริงๆหรอ?”
“….”
“พูดตามตรงนะ ฉันก็สามารถจะโอนพลังให้กับคนสุ่มๆได้ แต่ว่านี้มันอาจจะฟังดูอันตรายมาก แต่ฉันก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับทวีปอี
เดียสเลย จริงๆแล้วคนที่ฉันคิดว่าเป็นเพิ่อนและทรยศฉันก็อยู่ในทวีปนั้น ทำไมฉันจะต้องผ่านความลำบากโดยไม่จำเป็นด้วยล่ะ นายก็ควรจะขอบคุณฉันนะที่ไม่เอาพลังของโลกไว้เอง ในตอนนี้ในเมื่อฉันพูดไปแล้วฉันจะถามนายอีกครั้ง นายไม่อยากจะเป็นฮีโร่จริงๆหรอ?”
“…ไม่”
เขาได้ส่ายหัวและพูดต่อออกมา
“ฮีโร่ที่พวกเรายังเชื่อว่ามีชีวิตอยู่และนำพาเราไปสู่ความตายของเรา เพื่อนที่ฉันไว้ใจได้ทอดทิ้งทวีปของเขาในตอนที่คู่มั่นตาย… ตอนนี้ไม่มีใครที่ฉันไว้ใจนอกจากตัวเอง”
“นายอยากจะปกป้องทีมตัวเองไหม?”
ฉันได้ถามเขาและเขาได้ตอบกลับมาในขณะที่กัดฟันแน่น
“ฉันอยาก ฉันได้ยินเรื่องพวกนี้มาไม่เคยหยุดนับตั้งแต่ที่ฉันได้กลายมาเป็นรัชทายาทและฉันก็อยากจะปกป้องจักรวรรดิและมนุษยชาติจริงๆ”
“”ถ้าวงั้นฉันจะขอถามนายอีก นายคิดว่าการซ่อนตัวมันน่าสมเพชงั้ยหรอในเมือมันจะช่วยปกป้องทวีปของนายได้นะ?”
เขาได้เงยหน้าขึ้นมา เขาได้จ้องเข้ามาในดวงตาของฉันจากนั้นก็ตบใบหน้าของตัวเอง เขาได้ร้องขึ้นและพ่นเลือดพร้อมฝันออกมาจากปาก
“…..ขอโทษนะที่ทำตัวเอาแต่ใจ ช่วยฉันด้วย ช่วยทำให้ฉันอยู่รอดไม่ว่าจะเจอกับใครก็ตาม”
“ก่อนอื่น ฉันจะเอาฟันคืนนายก่อน”
ฟันของเขาสามารถจะฟื้นกลับมาด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของฉัน ยังไงกตามพอลได้ส่ายหัวของเขา
“มันไม่เป็นไรถึงแม้ว่าฉันจะเสียฟันไป… แต่ว่าขอให้ฉันให้มันเป็นแบบนี้ เมื่อไหร่ที่ฉันคิดถึงมัน ฉันจะได้นึกออกได้ว่าฉันเคยทำอะไรไว้”
“เยี่ยม ในตอนนี้นายก็มีใบหน้าของนักรบแล้ว”
ฉันได้ยิ้มขึ้นและถือหอกขึ้นอีกครั้ง
“เร็น พักสักครึ่งชั่วโมง ฉันจะสอนพื้นฐานการป้องกันให้กับพอลก่อน”
“ถ้านายไม่อยากจะฆ่าเข้าก็ลดระดับลงหน่อยนะ”
ฉันได้เมินเร็นและเข้าไปหาพอล พอลได้ขบฟันแน่นและถือหอกเอาไว้แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะป้องกันการโจมตีของฉันได้ อย่างน้อยที่สุดก็ยังไม่ใช่ตอนนี้
“หลังจากที่พวกเราฝึกกันเสร็จแล้ว นายก็จะไม่แม้แต่เหงื่อออกต่อให้นายป้องกันการโจมตีในระดับนี้ เตรียมตัวไว้ให้ดี”
“อ๊ากกกก”
พอลได้คำรามออกมา จากนั้นเขาก็ได้ยกโล่ขึ้นอีกครั้งและตั้งท่าใหม่ เขาได้มีความตั้งใจและแรงบันดาลใจแล้ว ในตอนนี้เขาได้มีจิตใจของนักรบแล้ว
“ฉันยังจะฝึกอะไรในระหว่างนี้ด้วย ระวังให้ดีอย่าให้มันถูกมันจนล่ะ”
“…อะไรนะ?”
มีเสียงสองเสียงดังขึ้นพร้อมๆกัน เร็นที่นอนอยู่กับพื้นก็ยังขยับไปอย่างช้าๆ
“เจ้าชาย ฉันลืมจะบอกนายว่าฉันได้สัญญากับเด็กๆว่าจะไปทำอาหารเย็น…”
“เอลฟ่าได้เรียนรู้วิธีทำอาหารมาไม่นานมานี้เอง ฉันจะติดต่อไปหาเธอเองนายไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารเย็นของเด็กๆแล้ว ดีใจใช่ไหมล่ะ?”
“ฮ่า ฮ่าฮ่า… ฉันมีความสุข… สุดๆ…”
เรีนได้ก้มหน้าลงทันที ใบหน้าของพอลได้บอกกับฉันว่าเขากำลังคิดบางอย่างอย่างจริงจังพร้อมทิ้งโล่ของเขาและวิ่งหนีไป แน่นอนว่าฉัน
ไม่มีทางจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นแน่
ฤดูกาลที่สามของการฝึกได้เริ่มแล้ว มันดูเหมือนว่าจะเป็นช่วงที่สนุกสนานแน่ๆ