บทที่ 291 – สมาชิกคนล่าสุด (8)
ฉันได้เลียริมฝีปากและดึงพลังวิญญาณสัมบูรณ์ขึ้นจนขีดสุด ทักษะวิญญาณสัมบูรณ์คือทักษะที่สำคัญที่สุดที่จะใช้ป้องกันความกลัวที่เขาปล่อยมารุกล้ำในจิตใจฉัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ที่มีการสกัดกั้นแบบนี้ ความผิดพลาดเพียงอย่างเดียวมันอาจจะส่งผลให้ฉันตายได้เลย
“เธอพอจะมีข้อมูลของมันไหม? อย่างจุดอ่อนนะ”
“มันคือราชาแห่งความกลัว มันเชี่ยวชาญในการโจมตีทางจิตใจและว่าพลังทางกายภาพของมันอ่อนแอมาก! แต่ว่าเพื่อที่จะชดเชยเรื่องนั้นก็คือกองทัพของมันมีศักยภาพที่น่ากลัวเช่นกัน”
“พลังทางกายภาพสินะ?”
ในเมื่อกุงเนียร์กับสเลปนีย์ได้ทะลวงเข้าไปในร่างของมันได้ง่ายๆทำให้ข้อสมมติฐานของฮวาหยาดูจะถูก แต่ว่าในเมื่อมันยังสามารถจะขยับตัวอย่างไม่เป็นอะไรเลยแม้ว่าจะรับพลังของโอดินเข้าไปแล้วก็ตามนี้ทำให้ฉันพอจะสรุปได้ว่าพลังชีวิตของมันสูงมากแม้ว่าพลังป้องกันจะต่ำก็ตาม
“ฉันไม่รู้นะว่าชินรู้ไหมแต่ว่าการโจมตีตามปกติทำร้ายมันไม่ได้เลย”
“กรโ๗มตีปก?”
“ทุกๆอย่างนอกเหนือไปจากดวงตามารหรือไม่ก็พลังของเทพ”
ฉันได้เบิกตาขึ้น ถ้าหากว่านี่มันเป็นเรื่องจริง….
“ฉันไม่ควรจะใช้ตรีศูล”
แล้วภูติธาตุกับพลังเทพสายฟ้าจะได้ผลไหมนะ? ไม่สิ ไม่ต้องสงสัยเลย ฮวาหยาได้บอกว่าเพลิงของเธอไม่ได้ผล แน่นอนว่าเพลิงของเธอยังมีกลุ่มของภูติธาตุอยู่ด้วยเช่นกัน มีอยู่อย่างหนึ่งที่ฉันคิดว่ามันอาจจะเป็นไปได้ นั่นก็คือโอเวอร์ลอร์ดที่ฉันยังไม่ได้ใช้มาจนถึงตอนนี้
แต่ว่านี่มันก็ยังเป็นสถานการณ์ที่น่าหนักใจ โอเวอร์ลอร์ดมีเวลาจำกัดแค่ 5 นาทีเท่านั้นทำให้ฉันจำเป็นจะต้องฆ่ามันให้ได้ในช่วงเวลานี้ โอเวอร์ลอร์ดไม่ใช่พลังที่เอาไว้สู้ระยะยางแต่เป็นพลังในการเผด็จศึก
“ฉันจะจัดการเองชิน”
ฮวาหยาได้ยิ้มออกมา
“ดวงตามารของฉันใช้ได้ผลกับมัน”
“แต่ว่านะฮวาหยา”
“ชิน นายก็แค่สนับสนุนให้ฉันตั้งสมาธิกับตัวมันได้ก็พอ นายทำได้ใช่ไหม?”
“มันง่ายมาก… แต่ว่าเธอจะไหวนะ?”
“ชิน นายเอาชนะราชาด้วยตัวเองมาถึงสองตัวแล้วนะ ถ้าหากว่าฉันยังเอาชนะมันไม่ได้ซักตัวเลยฉายาแม่มดของฉันมันก็คงจะร้องไห้แน่”
ตัวเธอในตอนนี้ได้เต็มไปด้วยพลังและจิตวิญญาณในการต่อสู้ แผลบนตัวของเธอก็ยังค่อยๆหายไปอีกด้วย ฉันไม่เคยรู้เลยว่าพลังของดวงตามารเธอเป็นยังไงหรือว่าเธอยังมีพลังที่ฉันไม่รู้อีก
บางทีเธออาจจะทะลวงขีดจำกัดได้เหมือนกับที่ฉันเชี่ยวชาญวงจรเพรูต้าแล้วทะลวงขีดจำกัดไปก็ได้
“หนึ่งในพวกเราจะต้องรับมือกับจับพวกลูกน้องมัน นี่มันเยี่ยมมาก”
“…ไม่เป็นไร ฉันจะจัดการส่งพวกมันออกไปให้หมดแล้วไปช่วยเธอเอง ฉันพอจะมีแผนอยู่แล้วด้วย”
“เยี่ยม ถ้างั้น… ฉันไปนะ!”
เพราะแบบนี้ฮวาหยาก็ได้หายไปทันที เธอไม่ได้หายไปจริงๆเพียงแค่ว่าเธอเคลื่อนที่ออกไปด้วยความเร็วมากๆ เพียงแค่ระยะเวลาหายใจตัวเธอก็ไปเผชิญหน้ากับราชาแห่งความกลัวและตะโกนขึ้นอย่างกล้าหาญซะแล้ว
“ไอ้เจ้าก้อนอึมาสู้กับฉันนี่!”
[เมื่อไม่นานมานี้เจ้าก็เกือบจะแพ้ไปแล้วนี่นา มาตอนนี้เจ้ากลับดูสบายดีจนน่าทึ่งเลย]
“อย่ามาโง่น่า ถ้าหากคนเราล้มก็แค่ลุกขึ้นมาใหม่แค่นั้นเอง!”
เพลิงได้ถูกจุดขึ้นมาจากร่างกายของฮวาหยาและลุกไหม้ขึ้นเหมือนกับเสาเพลิงที่เชื่อมต่อไปถึงสวรรค์และผืนดิน เยี่ยม มันดูเหมือนฮวาหยาจะไม่เป็นไรแล้ว ยังไงก็ตามฉันก็ยังต้องตั้งสมาธิกับการทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนกัน การจัดการกับเจ้าพวกกองทัพแห่งความกลัว
[เจ้านั่นคือฮีโร่]
[ฮีโร่ที่เป็นจุดสูงสุดของพวกมนุษย์]
[ข้าเห็นเขามีความมืดในจิตใจ]
“น่ารำคาญจริงๆ!”
ฉันได้ให้ชาราน่ากับริยูแสดงรูปธรรมขึ้นมา ตัวฉันในตอนนี้ได้ใช้ธาเลเรียในการบินอยู่ทำให้ชาราน่าสามารถจะแยกตัวไปจากฉันได้
[ชิน ฉันต้องทำอะไรหรอ?]
[นายท่านเชิญสั่งมาเลย!]
“ริยูเธอปกป้องฉัน ชาราน่าเธอไปสนับสนุนฮวาหยา! เพิ่มพลังของเพลิงเธอและป้องกันเธอจากพวกลูกน้องของราชาแห่งความกลัว!”
[ด้วยความยินดี!]
[เข้าใจแล้วนายท่าน!]
ชาราน่าได้บินออกไปปกป้องฮวาหยาและริยูก็มาหมุนรอบๆตัวฉันในร่างมนุษย์สัตว์ของเธอ ในขณะเดียวกันนี้ลูกสมุนของราชาแห่งความกลัวก็ได้พุ่งผ่านอากาศอกมาอย่างไม่สิ้นสุดลง
“อ่า เป็นงี้นี่เอง”
เจ้าพวกนี้มันคือร่างโคลนของราชาแห่งความกลัว นี่คือสิ่งที่สัญชาตญาณของฉันบอกออกมา ถึงแม้ว่าจะมีพวกลูกน้องของราชาแห่งความตายซ่อนอยู่ในหมู่พวกนี้บ้างก็ตามแต่พวกมันส่วนใหญ่ก็ส่งออร่าที่เป็นเอกลักษณ์ของราชาแห่งความตายออกมา ออร่าที่เต็มไปทั่วพื้นที่ที่เราอยู่…
[กลัว?]
[เจ้ากลัวพลังของข้า?]
[จงสิ้นหวังและร่วงหล่นไปซะ! อารมณ์นี้ของเจ้ามันคือไวน์ชั้นดีสำหรับพวกเรา]
ไม่ว่าฉันจะมองไปที่ไหน ฉันก็เห็นได้เจ้าพวกนี้ คำพูดยั่วยุของมันดูเหมือนจะพยายามเข้าไปในจิตใจฉันและพวกมันได้พยายามจะทำลายการป้องกันของจิตใจฉันอย่างต่อเนื่อง
ฉันได้ยกท้าวขึ้นมาและก้าวไปข้างหน้าราวกับฉันเดินอยู่บนพื้น ริยูได้สร้างลานน้ำแข็งขึ้นทันที
“หุบปากไปซะเจ้าแม่งเม่า ฉันจะฟังแต่พวกที่สามารถจะรอดจากดวงตามารของฉันได้!”
[ฉันเอาด้วยนะชิน!]
“เอาเลย”
ริยูได้ขดร่างของเธอเหมือนแมว จากนั้นก็ยืดตัวออกมาด้วยการเคลื่อนไหวครั้งเดียว ท้องฟ้าที่ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นกำมะทันนี้ได้เริ่มมีกระจกน้ำแข็งโปร่งใสปรากฏออกมา
[ความพยายามที่ไร้ค่า]
[กระจกนี้มีแต่จะสะท้อนให้เห็นความอัปลักษณ์ของเจ้าเท่านั้น]
[กระจกมันหยุดความกลัวไม่ได้]
“พูดมาไปแล้วนะ”
ฉันได้เงยหน้าขึ้นและมองไปบนท้องฟ้า แสงสีท้องได้เปล่งประกายออกมาจากดวงตามารของฉันและสะท้อนไปกับกระจกนับไม่ถ้วน
“พวกแกยังอ่านใจฉันไม่ได้สักนิดเลย”
กระจกนี้ได้สะท้อนพลังในการทำให้กลายเป็นหินออกไปผ่านกระจกต่างๆนับไม่ถ้วนและทำให้พลังนี้ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ถึงแม้ว่ากระจกตามปกติจะไม่สามารถสะท้อนพลังของดวงตามารได้ก็ตามเพราะแม้กระทั่งในตำนานกรีกเพอซิอุสก็ยังฆ่าเมดูซ่าด้วยการมองสะท้อนโล่ด้วย
แต่ว่าดวงตามารของฉันไม่ได้เป็นดวงตามารปกติธรรมดาอีกต่อไปและกระจกน้ำแข็งของริยูก็ไม่ใช่กระจกธรรมดาๆ
ฉันได้ใส่มานาจำนวนมากจนน่ากลัวลงไปในดวงตามารและกระจกของริยูก็ยังมีพลังในการกักเก็บพลังของดวงตามารไว้อีกด้วย
ผลที่ได้ก็คือการเผชิญหน้ากับกระจกไม่ได้ต่างไปจากการมองตาฉันตรงๆเลย และพวกมันก็มีเพียงแค่จุดจบเดียวคือการกลายเป็นหิน
ฉันได้ยิ้มขึ้นมาเมื่อเห็นรูปปั้นหินเริ่มตกมาจากท้องฟ้า
[มานาที่ไร้ที่สิ้นสุด]
[มันไม่ใช่มนุษย์]
[มันหลอกเรา! มนุษย์นี่กำลังใช้พลังของดันเจี้ยน]
“ริยูทำลายกระจก”
[อื้อ]
ที่แห่งนี้ป้องกันในพลังของดันเจี้ยนและทำให้การช่วยเหลือจากเชอริฟิน่าส่งมาถึงฉันได้ยากขึ้น เมื่อเทียบกับพลังของดันเจี้ยนตามปกติแล้วตอนนี้ฉันใช้มานาได้เพียงแค่ 60% เท่านั้นเอง แต่ว่ามานาแค่เท่านี้ก็มากพอแล้ว มันมากกว่าในตอนที่ฉันเอาชนะราชาแห่งสรรพสัตว์มาซะอีก
ฉันได้พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อสระมานาของฉันเพิ่มขึ้นมันก็ไม่ได้ลดการพัฒนาลงไปเลย มันกลับเพิ่มเร็วมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ แถมตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้เปลื่ยนมานาทั้งหมดของราชาแห่งสรรพสัตว์มาเป็นของฉันอีกด้วย ความเร็วในการพัฒนาของฉันมันทำให้ฉันยังรู้สึกกลัวเอง แต่ว่าฉันก็ไม่เคยคิดที่จะหยุดการพัฒนานี้ จริงๆแล้วมันยังไม่พอด้วยซ้ำไป
[เจ้าคิดว่านี่มันจะพอที่จะเอาชนะความกลัวงั้นหรอ? เจ้าคิดว่าการทำลายแบบวงกว้างนี้จะส่งผลกับเราซักทางงั้นหรอ!? น่าเสียดายนะ! พวกข้าเป็นนิรันดร์ พวกข้าอยู่ภายในจิตใจของมนุษย์เสมอ! เจ้าไม่เข้าใจคำว่าอมตะงั้นหรอ!? เจ้าไม่เห็นงั้นหรอว่าสิ่งที่เจ้าทำมันเป็นการดิ้นรนที่ไร้ค่า]
เสียงของราชาแห่งความกลัวได้ค่อยๆยกระดับขึ้น ร่างกายของมันได้ขยายออกมาเหมือนกับฟองน้ำ และลูกสมุนของมันก็ได้โผล่ออกมาอย่างต่อเนื่อง เหมือนอย่างที่มันพูดออกมาถึงแม้ว่าฮวาหยาจะโจมตีมันหรือฉันจะกำจัดลูกสมุนของมันไปมันก็ไม่ได้ดูเหมือนว่ามันกำลังจะตายเลย
แต่ว่านั่นก็คือสิ่งที่มันอยากจะให้เราคิดแบบนั่น โชคร้ายที่ว่าวิญญาณสัมบูรณ์สามารถจะมองผ่านการแสร้งทำของมันได้
“ฮวาหยา มันก็คือมีพลังชีวิตมาแค่นั้นเอง! มันไม่ได้เป็นนิรันดร์หรือเป็นอมตะหรอกนะ”
“ฉันรู้น่า…!”
เพลิงของฮวาหยาได้ส่องสว่างมากขึ้นและเปลื่ยนไปเป็นสีขาว ในทุกๆครั้งที่เธอเคลื่อนไหวจะมีควันสีดำจากการระเบิดเกิดขึ้นบนตัวของราชาแห่งความกลัวและเสียงร้องของมันก็แทบจะทำให้ฉันหูหนวก
“ฉันมีความสุขจังเลยนะที่ได้สู้แบบนี้!”
แถมฉันก็ไม่ใช่เพียงคนเดียวที่รับมือพวกรอบๆด้วย ริยูได้สร้างกระจกขึ้นมามากขึ้นอย่างต่อเนื่องราวกับว่าจะแข่งกับการสร้างร่างโคลนของราชาแห่งความกลัวและพลังของดวงตามารของฉันได้พุ่งออกไปผ่านกระจกสู่กระจก ไม่ว่าพวกมันจะเข้ามาโจมตีฉันสักกี่ตัวมันก็ไม่มีประโยชน์ พวกมันไม่สามารถจะกระตุ้นความกลัวของฉันได้เลย
“รู้ไหมว่าในท้ายที่สุดแกก็จะเป็นเหมือนคนอื่นๆ แกจะตายไปโดยที่ไม่ได้รู้ความจริงเลย! เพื่อนทั้งสามตัวของแกก็ถูกเราฆ่าตายไปแล้ว!”
[ข้าต่างไปจากพวกมัน ข้ามีตัวตัวอยู่ในระดับที่เจ้าเอื้อมไม่ถึง!]
[เมื่อเจ้ามองมาที่เรา เราก็จะใช้ชีวิตอยู่ในใจของเจ้า!]
“เมื่อไหร่แกจะหยุดพล่ามโม้เรื่องน่ารำคาญแบบนี้ซักทีนะ!”
โคลนจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถูกเปลื่ยนไปเป็นหินและร่วงลงไป ฉันได้ยกหอกขึ้นเบาๆและฟาดเข้าใสหินที่ตกมาบนหัวฉัน
“ดูสิ ฉันทำลายพวกแกได้สบายๆเลย”
[มาดูกันว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปได้นานแค่ไหน!]
“นานแค่ไหนหรอ? นั่นมันเป็นสิ่งที่ฉันอยากจะถามแกพอดีเลย!”
ชาราน่าได้พัดพวกร่างโคลนที่บินเข้าไปหาฮวาหยาออกไป จากนั้นพวกมันก็ได้ถูกพลังดวงตามารของฉันผ่านกระจกและตกลงไปหลังกลายเป็นหิน
ฉันได้ตะโกนขึ้นต่อ
“ริยูแช่แข็งพวกมันบนพื้นทั้งหมด! ฉันจะส่งมานาให้เธอ 100,000!”
[นี้มันมากกว่าพอซะอีก]
ฉันได้ส่งมานาทั้งหมดไปให้กับริยูและดื่มโพชั่นระดับสูงลงไป น่าเสียดายที่มานาโพชั่นมันไม่พอที่จะเติมเต็มมานาของฉันได้เลย ฉันต้องพึ่งพาวงจรเพรูต้าของฉันต่อไป
ฉันได้ยกหอกที่ถูกหุ้มด้วยวังวนขนาดมหึมาขึ้นมา ในตอนที่ริยูได้แช่แข็งก้อนหลินที่ตกไปบนพื้น ฉันก็ได้ตึงพลังของธาเลเรียจนถึงขีดสุด ใช้ความเร็วศักดิ์สิทธิ์และพุ่งลงไปหาพื้น ก่อนที่ฉันจะถึงพื้นฉันได้แทงหอกออกไปและตะโกนขึ้นมา
“ไกอา บัสเตอร์”
[อ๊ากกกกกกกกกก]
ฉันได้ยิ้มกว้างขึ้นมา นี่มันเป็นครั้งแรกที่ฉันทำให้ราชาแห่งความกลัวร้องออกมาจากการโดนพลังของฉันเข้าไป เนื่องจากว่าการที่ร่างโคลนแข็งเป็นหินมันจึงยังไม่ตายจนกว่าฉันจะไปทำลายมัน ทำให้ฉันเลยยังไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆเลย
แต่ว่าด้วยพลังของริยูรวมกันกับการที่ฉันใช้ไกอา บัสเตอร์ทำให้ไม่มีร่างโคลนตัวใดที่แข็งเป็นหินอยู่รอดได้อีก จากการสูญเสียร่างโคลนไปมากขนาดนี้ทำให้มันเป็นธรรมดาที่ร่างหลักจะต้องร้องออกมา
[แก! ฮีโรรรรรรรรรรรร่!]
“แกมัวไปสนใจอะไรอยู่!”
เพลิงของฮวาหยาที่ห้อมล้อมราชาแห่งความกลัวเอาไว้ เพลิงนี้ได้สะบัดไปมาและสร้างเป็นคลื่นเพลิงขึ้น
“แกคิดว่าฉันจะลืมในสิ่งที่แกทำกับฉันงั้นหรอ? แล้วฉันถูกปฏิเสธเมื่อไหร่กัน? เขาไม่ได้ทำแบบนั้นเลย! ชินบอกว่าเขายอมรับฉัน!”
ฉันได้ตัดสินใจแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนี้ กลับกันฉันได้ตั้งสมาธิไปที่ส่วนดินที่แตกออกมาและยิงมันขึ้นไปบนฟ้า
ร่างโคลนจำนวนนับไม่ถ้วนยังลอยอยู่บนฟ้า มานาจำนวนมหาศาลที่พวกมันมีมากยิ่งกว่าราชาแห่งสรรพสัตว์และราชาลาวาซะอีก การโจมตีทางจิตใจของพวกมันพร้อมกันมันอันตรายมาก จริงๆแล้วถ้าหากฉันมาเผชิญหน้ากับมันก่อนที่จะได้รับพลังจากราชาแห่งสรรพสัตว์ มันก็อาจจะต่างออกไปก็ได้ และหากฉันไม่มีวิญญาณสัมบูรณ์ ฉันก็คงต้องยอมแพ้ไปแล้ว
แต่ว่าในตอนนี้มันต่างออกไป ฉันได้กลายเป็นมอนสเตอร์ที่สามารถจะใช้มานาได้อย่างไม่สิ้นสุดและฉันยังมีฮวาหยาที่ก้าวไปข้างหน้าได้สำเร็จแล้วด้วย เพราะแบบนี้ทำให้ราชาแห่งความหลัวไม่มีโอกาสแล้ว
“แกเรียกตัวเองว่าราชาแห่งความกลัวงั้นหรอ? น่าขำจริงๆเลย”
ฉันได้เยาะเย้ยออกไป
“ทำลายพื้นมันทั้งหมดซะ
สวรรค์และผืนดินดูเหมือนกับจะแยกออก หินและน้ำแข็งนับไม่ถ้วนที่ถูกปกคลุมด้วยสายฟ้าได้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าบดขยี้ความกลัวออกไปเป็นชิ้นๆ
[อ๊าาาาาาาาาากกกกก]
“มันยังเร็วไปที่จะร้องออกมา ฉันแค่เพิ่งจะเริ่มเองนะ”
เมื่อเห็นไกอา บัสเตอร์ได้ฉีกโคลนของราชาแห่งความกลัวเนชิ้นๆ ฉันก็ได้กระพริบตาขึ้นเป็นประกาย มานาของราชาแห่งสรรพสัตว์ที่อยู่ในร่างของฉันได้ถูกกระตุ้นขึ้นมาและเริ่มจะคลั่งขึ้นไป ฉันไม่ได้ขัดขวางมันและยอมรับมันไว้ สัญชาตญาณสัตว์ป่าที่กำลังพุ่งพล่านนี้มันทำให้ฉันมีพลังมากยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา
ฉันได้ยกหอกขึ้นไปอีกครั้งหนึ่ง ในตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันทำได้ ในเวลาห้านาทีนี้ฉันณู้สึกว่าฉันกับฮวาหยาฆ่ามันได้!
“นี่คือความกลัวที่แท้จริง! โอเวอร์ลอร์ด!”