บทที่ 292 – สมาชิกคนล่าสุด (9)
พลังของโอเวอร์ลอร์ดได้เพิ่มทั้งพลังชีวิตและมานาของฉันขึ้นไปอีก
แถมตอนนี้มานาของราชาแห่งสรรพสัตว์ก็ยังไหลเข้ามาในตัวฉันอย่างต่อเนื่อง โอเวอร์ลอร์ดได้รับมานานี้มาและเสริมพลังมันขึ้นไปอีก ทำให้มานาที่ฉันควบคุมไม่ได้นี้ถูกนำไปสู่วงจรเพรูต้าอย่างเชื่องๆ
วงจรเพรูต้าได้ดึงพลังอินิกม่ามาทำเป็นวังวนมานารอบๆตัวฉันขึ้น วังวนนี้เหมือนกับเป็นโล่ที่จะป้องกันทุกๆอย่างและมันก็ยังเป็นใบมีดที่ตัดทุกๆสิ่งอีกด้วย
“ฟู่….”
ฉันได้สูดหายใจยาว ฉันรู้สึกว่าทุกๆครั้งที่ฉันใช้โอเวอร์ลอร์ด ในช่วงเวลา 5 นาทีนี้ตัวฉันจะพยายามที่จะเข้าถึงธรรมชาติที่แท้จริง นี่คือมานาที่ไม่รู้จัก อินิกม่าพลังศักดิ์สิทธิ์และพลังของเชอริฟิน่า
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเชอริฟ่าน่าเธอก็ไม่ได้สร้างโอเวอร์ลอร์ดขึ้นมา โอเวอร์ลอร์ดได้ถูกขึ้นจากการสังเคราะห์ทักษะซึ่งมันได้มาจากสิ่งประดิษฐ์ที่โรเล็ตต้าได้มอบมันมาให้ฉันซึ่งก็คือนาฬิกาพกพาของนักสะสม ฉันรู้มาเสมอว่านาฬิกาพกพานี้เป็นไอเทมที่ทรงพลัง แต่ว่าตอนนี้ฉันรู้แล้วว่ามันไม่ช่ไอเทมที่ทรงพลังเท่านั้น มันยังเป็นไอเทมแห่งการสรรสร้างอีกด้วย
หลักฐานก็คือมานาที่ฉันกำลังใช้อยู่ไง
[ความเชื่อมั่นของเจ้ามานาสิ่งนี้สินะ?]
[ลึกลับจริงๆเลย มันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่สำหรับมนุษย์จริงๆ]
[แต่ไม่ว่าพลังมันจะเป็นอะไรก็ตาม ในท้ายที่สุดคนที่ใช้ก็เป็นแค่มนุษย์ นั่นแหละคือเหตุผลที่เจ้าเอาชนะข้าไม่ได้]
แต่ไม่ว่าราชาแห่งความกลัวจะโม้ยังไงก็ตาม พลังของมันจะได้ผลดีกับคนที่จิตใจอ่อนแอ แต่ว่า….
“มันไม่ได้ผลกับฉัน!”
วังวนมานาได้ทวีความรุนแรงขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ เสียงกระซิบของโคลนราชาแห่งความตายได้ถูกปั่นเป็นชิ้นๆและพื้นดินที่ได้ผลจากไกอา บัสเตอร์ก็ยังถูกวังวนนี้ดึงเข้ามาและปั่นจนเป็นชิ้นๆ มานาที่ถูกเสริมขึ้นจากโอเวอร์ลอร์ดได้ถูกส่งเข้าไปในวังวนนี้ทั้งหมด ในเวลาเดียวกันวังวนนี้ก็ได้ดึงมานาที่สร้างโลกนี้ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง มานาอินิกม่าได้เพิ่มขนาดไปเรื่อยๆ
[คุคุคุ มนุษย์เจ้าอยากจะกินมานาของข้า?]
“ฉันบอกให้แกสนใจฉันไง!”
ฮวาหยาได้ตะโกนออกมา เพลิงที่อยู่รอบตัวเธอได้เริ่มดูโปร่งแสงไปอย่างน่าทึ่ง
“ฉันจะไม่ยอมให้แกได้ไปสะกิดโดนเขาแน่!”
[อึก!?]
ราชาแห่งความกลัวได้ผงะไปเพราะความตกใจในเพลิงของฮวาหยา ฉันได้เริ่มจัดการหน้าที่ฉันต่อทันที ต้องขอบคุณไกอา บัสเตอร์กับวังวนขนาดใหญ่นี้ทำให้ร่างโคลนของราชาแห่งความกลัวจำนวนนับไม่ถ้วนทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้มันถึงเวลาที่จะโจมตีร่างหลักของมันแล้ว
“ภูติธาตุ มันถึงเวลาจัดปาร์ตี้แล้ว”
[เย้!]
[วู้ว มันคุ้มค่าการรอคอยจริงๆเลย!]
[ฉันด้วยๆ]
[อู วันนี้คงไม่ใช่รถไฟเหาะนะ ใช่ไหม?]
[ทำไมเขามาแล้วล่ะ?]
ฉันไม่ได้ไปเข้าใกล้มันเลย ฉันทำแค่ยืนอยู่นิ่งๆกับที่และชักหอกไปด้านหลัง ในตอนนี้ใบมีดหอกของฉันได้ยาวขึ้นไปเรื่อยๆและมันก็แตะถึงคววามยาวเกือบ 70 เมตร ภูติธาตุจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังโดดเข้ามาในหอกของฉัน วังวนของฉันได้เริ่มขยับไปล้อมหอกและหมุนวนอย่างรุนแรง
[โอ้วววววววว!]
[อ๊าาาาาาาาาาา!]
[นี้มันจะต้องเป็นเครื่องทำความสะอาดวิญญาณ]
ขอโทษนะแต่ไม่ใช่แบบนั้น
[อ๊า ฉันกำลังแปลงร่าง]
[นี้คือพลังของเจ้าชาย พลังที่จะพัฒนาเรา]
[ฉันรู้สึกว่าฉันตัวสูงขึ้นอะ!]
มานาอินิกม่าได้ทำให้ภูติธาตุเริ่มวิวัฒนาการขึ้น แน่นอนว่าฉันก็ไม่ได้มองเห็นการวิวัฒนาการของพวกเขาจริงๆเพราะว่าคลื่นความถี่ของฉันไม่ได้ตรงกับของพวกเขา แต่ว่าอย่างน้อยฉันก็ยังเห็นได้ว่าแสงของพวกเขากำลังเปล่งสว่างขึ้นในขณะที่หมุนไปรอบๆวังวนอินิกม่า และเพราะการที่พวกเขาพัฒนานี้ก็ทำให้พลังของทักษะฉันเพิ่มขึ้นไปอีก
“ฮวาหยาหยุดมันไว้หน่อย!”
“ฉันไม่ได้คิดว่าจะทำแค่หยุดมันไว้นะ!”
หลังจากฮวาหยาได้ตะโกนออกมาอย่างมั่นใจ เธอก็ยิงเพลิงออกไปจากฝ่ามือเข้าใส่ราชาแห่งความกลัว เพลิงของฮวาหยาได้กลืนกินมานาในอากาศและบิดตัวขึ้นเหมือนกับห่วงโซ่เพลิง เพลิงของฮวาหยาได้พุ่งเข้าไปมัดตัวราชาเพลิงเอาไว้และในตอนนี้เอง…..
[เยี่ยมมนุษย์ ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสพลังของราชาแห่งความกลัว]
ร่างกายของราชาแห่งความกลัวที่ถูกโซ่เพลิงของฮวาหยาหยุดเอาไว้อยู่ๆก็แยกออกมาครึ่งหนึ่งเหมือนกับถูกตัดด้วยมืด จากนั้นหลุมความว่างเปล่าที่ไม่สิ้นสุดก็ถูกเปิดขึ้นมาซึ่งนั่นก็คือดวงตาแห่งความกลัว
ถ้าหากว่าการมีอยู่ของมันคือการปลูกฝังความกลัวเขาไปใส่คนและร่างโคลนของมันก็คือการนำความกลัวนั้นมาให้เป็นจริง ถ้างั้นดวงตาของมันก็ควรการฉายภาพในสิ่งที่คนๆนั้นหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าตาย มันจะนำปประสบการณ์แย่ๆของคนๆนั้นออกมาและจารึกมันให้ฝังแน่นในใจของเขา จริงๆแล้วมันกระทั่งบิดเบือนและขยายประสบการณ์เหล่านั้นอีกด้วย เมื่อคนๆนั้นปฏิเสธต่อการมีอยู่ของตัวเองสิ่งเดียวที่จะเหลืออยู่ก็คือความตาย
ฉันได้ตระหนักได้ว่าดวงตาของมันก็เป็นดวงตามารชนิดหนึ่ง
“พายุธาตุ!”
ฉันได้พุ่งหอกออกไป
[โอ้วววววววววว!]
[แรงไปแล้ว! ตื่นเต้นจริงๆ]
[อว๊ากกกกกกกกกกกก!]
ภาพที่ฉันเห็นก็คือภูติธาตุจำนวนนับไม่ถ้วนได้เปล่งประกายออกมาท่ามกลางวังวนอินิกม่าจนดูเหมือนกับดวงดาวในกาแลคซี อินิกม่าก็ยังยอมรับในตัวแสงของภูติธาตุและเสริมพลังให้พวกภูติธาตุอีกด้วยซ้ำ
พายุธาตุได้ปะทะเข้ากับดวงตาของราชาแห่งความกลัว
[อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!]
เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความกลัวและความสิ้นหวังได้ดังออกมา ฉันได้รออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับมาตั้งท่าแบบเดิม หลังจากนั้นฉันก็ยืนยันได้ว่าดวงตาของมันได้ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ฉันได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ฟู่วววว อันตรายจริงๆ”
ฉันแทบจะถูกกลืนกินลงไปแล้ว ถึงแม้ว่าวิญญาณสัมบูณณ์จะต่อต้านการโจมตีทางจิตใจได้ แต่ว่าดวงตามารของมันก็ได้ลบล้างพลังของวิญญาณสัมบูรณ์ไปแปปนึง ถ้าหากว่าฉันไม่ได้มีดวงตามารล่ะก็ฉันอาจจะใช้พายุธาตุออกไปไม่ได้เลย
[อ๊าาาาาาาาาาาา!]
[มนุษย์ทำแบบนี้ได้ยังไง….!?]
“ฮวาหยาเธอไม่เป็นไรนะ!?”
ฉันได้หันไปตรวจสอบในความปลอดภัยของเธอทันที เนื่องจากว่าฉันยังตกอยู่ในสภาพแบบนี้ฉันเลยเดาว่าฮวาหยาอาจจะแย่กว่าฉันก็ได้ แต่ยังไงก็ตามเธอไม่ได้ฟังฉันเลย
“แก ตายไปซะ! ตายไปซะ!”
เพลิงโปร่งแสงได้ลุกไหม้อยู่รอบๆตัวเธอ ฉันยังสงสัยเลยว่าเพลิงมันจะไปโปร่งแสงได้ยังไงกันแต่ว่าเนื่องจากฉันได้เห็นมันด้วยตาตัวเองนี้ทำให้ฉันปฏิเสธการมีอยู่ของมันไม่ได้ เธอได้ยิงบอลเพลิงโปร่งแสงเข้าไปในจุดที่ตาของราชาแห่งความกลัวเคยอยู่ซึ่งถูกฉีกออกไปด้วยพายุธาตุ ราชาแห่งความกลัวได้ตะโกนขึ้นมา
[ยอมรับความกลัวซะ! ยอมรับในความสิ้นหวังขอความเป็นจริงที่รอเจ้าอยู่! ในท้ายที่สุดแล้วเจ้าจะต้องได้เผชิญหน้ากับสิ่งนี้!]
ร่างกายของมันที่ไม่มีรูปร่างได้เริ่มงอกแขนออกมา แขนของมันที่ดูเหมือนหนวดปลาหมึกได้พุ่งเข้าไปทางฮวาหยาและพยายามจะโจมตีเธอ แต่ว่าฮวาหยาก็ดูจะโกรธขึ้นจากการที่ถูกความกลัวของดวงตาของมันเข้าให้ทำให้เธอเผาแขนพวกนี้ทั้งหมดและตะโกนขึ้นมาอย่างรุนแรง
“ชินป้องกันฉันที ฉันจะไปฆ่ามันทิ้ง!”
“เข้าใจแล้ว”
ฮวาหยาได้ใช้สิ่งนั้นมาเป็นเชื้อเพลิงความโกรธของเธอแทนที่จะหวาดกลัวและแบบนี้ทำให้พลังเพลิงของเธอรุนแรงขึ้น ดวงตามารของเธอก็ต้องมีส่วนช่วยแน่ๆ แต่ฉันก็ยังคงถึงกับพลังใจของเธอ เธอดูเหมือนว่าจะแข่งขันได้แม้กระทั่งฉันที่มีวิญญาณสัมบูรณ์เลย เอาเถอะ มันก็ดีแล้วที่เธอเป็นแบบนี้….
เมื่อมองไปที่เพลิงของเธอฉันมั่นใจได้เลยว่าเพลิงของเธอได้ก้าวเข้าไปในระดับเดียวกับอินิกม่าไปแล้ว บางทีเธออาจจะใช้มันได้อิสระยิ่งกว่าที่ฉันใช้อินิกม่าด้วยซ้ำไป!
“ตอนนี้ฉันจะไม่แพ้ ฉันแพ้ไม่ได้?”
ฉันได้บ่นเงียบๆและยกหอกขึ้นมา ด้วยกลายเคลื่อนไหวแบบนี้ทำให้วังวนที่ลดลงไปได้เพิ่มขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง วังวนที่ได้สร้างขึ้นจากมานาอย่างเดียวนี้ได้เริ่มหมุนวนอย่างรุนแรง
ที่มันถูกเรียกว่าราชาทั้งห้าเป็นเพราะพวกมันยืนอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ถ้าหากว่าฉันเอาชนะพวกมันไม่ได้ แล้วฉันจะไปสู้กับเดม่อนลอร์ดหรือสิ่งมีชีวิตที่อยู่สูงกว่าเจ้าพวกราชานี้ได้หรอ? ฉันจะไปยุติการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์นี้ได้ยังไง?
ฉันต้องการให้หอกของฉันแหลมคมขึ้น ฉันต้องการมีพลังที่สามารถจะทะลวงได้ทุกๆสิ่ง
“….แต่ว่าที่นี่ฉันจะให้ฮวาหยาจัดการมัน”
ฮวาหยาต้องการแบบนี้ ฉันไม่ได้ปัญญาอ่อนถึงขนาดที่ไปขัดความต้องการแก้แค้นของเธอ
ฉันได้รวบรวมวังวนไว้ในปลายหอกจุดๆเดียว ต่อจากนั้นฉันก็แทงหอกออกไปทันที
“เอาล่ะ ตอนนี้แสดงร่างที่แท้จริงของแกมา!”
[อ๊าา อ๊ากกกกกกกกก!]
หนวดของราชาแห่งความกลัวไม่อาจจะทนต่อเพลิงฮวาหยาได้และหายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่ร่างกายของราชาแห่งความกลัวที่ไม่ได้สัมผัสกับวังวนก็เริมหายไปอย่างช้าๆ
“เยี่ยม ฉันน่าจะตรึงมันไว้ได้ซักเดี๋ยว”
ฉันพอใจเป็นอย่างมากที่ฉันได้ผสมผสานหลายๆอย่างได้แบบนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะการช่วยจากอินิกม่า แต่ไม่ว่ายังไงอินิกม่าก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของฉัน ในเมื่อฉันสามารถจะควบคุมมันได้อย่างอิสระมันก็ไม่มีอะไรที่ฉันจะต้องกลัว
[เจ้ามนุษย์หน้าโง่ เจ้าอยากจะเผชิญหน้ากับข้าจริงๆงั้นหรอ!? อ๊าาาาาาาาาาากกกกก]
ในตอนนี้เองวังวนได้กำจัดร่างกายของราชาแห่งความกลัวทิ้งไป สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาได้ปรากฏตัวขึ้นมาแทนบนท้องฟ้า ในท้ายที่สุดแล้วราชาแห่งความกลัวก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตอยู่ มันไม่ได้เป็นอารมณ์ที่ลบไม่ได้!
“แกมันก็แค่ของปลอม แกไม่เคยเป็นความกลัวเลย!”
ฮวาหยาได้ตะโกนออกไปและยกมือขึ้นมา บนฝ่ามือของเธอได้มีมานาจำนวนมหาศาลมากๆกำลังรวมตัวฉัน
“ต่อให้แกเป็นความกลัวฉันก็จะเผาแกเอง+”
เธอได้กำหมัดแน่นจากนั้นทำให้แสงส่องออกมาถึงขนาดที่ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ฉันก็รู้ว่าการโจมตีนี้ของฮวาหยาแข็งแกร่งแค่ไหน ร่างกายของราชาแห่งความกลัวได้ถูกเผาไปจากเพลิงที่มองไม่เห็นนี้ มันดูเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่ามันไม่ลอยแน่ทำให้มันยอมแพ้ที่จะพยายามทำให้เรากลัวและพึมพัมออกมา
[คุ คุคุ… ในท้ายที่สุดแล้วมันก็ออกมาเป็นเหมือนกับแผนของเขา….! ยอดเยี่ม การเกิดใหม่และ…. กั๊กๆๆ]
“อย่าพูดเรื่องน่ารำคาญเลย ตายไปซะ!”
[นี่คือสิ่งที่ข้าจะมอบให้เจ้า ความกลัวที่แท้จริง….]
เสียงนี้คือเสียงสุดท้ายของมันก็ที่จะถูกเผาจนหายไป
พวกเราได้เอาชนะราชาแห่งความกลัวมาแล้ว