บทที่ 298 – เข้ามาใกล้ , ออกไปให้ไกล (4)
หลังจากที่เพิ่มจำนวนนักสำรวจแล้ว ฉันคิดว่าการไปพบกับพระสันตะปาปาก็ไม่ได้แย่นัก เขาเป็นหนึ่งในคนที่มีอิทธิพลมากที่สุดและเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดบนโลก และแม้ว่าฉันจะไม่ได้สนใจในคนที่มีอำนาจแต่ว่าการปฏิเสธคำขอร้องที่จริงใจจากคนที่มีคนเคารพกว่า 1.2 ล้านคนมันก็ดูจะไม่สุภาพนัก
ในตอนที่เรื่องราวของกิลด์รีไวเวิร์ลได้พยายามที่จะป้องกันนครวาติกันที่พังลงทำให้พวกเราได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท่น มันไม่ใช่เรื่องแย่เลยที่ได้รับแรงสนับสนรุนจากคนที่พวกเราปกป้อง
ถ้าพวกเราสามารถจะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีนี้ได้จากการไปพบกับพระสันตะปาปา พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องคิดซ้ำแล้ว
เมื่อพวกเราได้ตัดสินใจไปนครวาติกันแล้วฉันก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
“ท่านฮีโร่ ท่านมีเวลาหรือป่าว?”
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะเรียกฉันแบบนี้ ฉันได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยและตอบกลับไป
“เข้ามาเคียร่า”
ไม่นานนักประตูก็ถูกเปิดออกมา ฉันได้ถามออกไปทันที
“บทเรียนวันนี้ของเธอจบแล้วหรอ?”
“มันไม่ได้เกี่ยวกับบทเรียนหรอกท่านฮีโร่ ฉันก็แค่มีบางอย่างอยากจะถาม”
เคียร่าได้เดินเข้ามาใกล้ฉัน
“ฮีโร่มีเหตุผลอะไรที่คุณไม่ได้ทำให้ฉันเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนหรอ?”
“อ่า เรื่องนี้หรอ? เพราะการที่ฉันทำให้แม่ฉันเป็นนักสำรวจงั้นหรอ?”
“ใช่แล้ว มันก็เกี่ยวอยู่ มันยากสำหรับฉันมากที่จะรู้ในสิ่งต่างๆเกี่ยวกับดันเจี้ยน แม้กระทั่งในตอนนี้….!”
เคียร่าได้เม้มริมฝีปากของเธอกับรู้สึกท้อ ไม้กางเขนที่อยู่ในดวงตาเธอก็ยังส่งแสงออกมา
“การคาดการณ์ของฉันถูกปิด เหตุผลที่ฉันไม่สามารถจะรู้อะไรเกี่ยวกับท่านฮีโร่ได้เลยนั่นก็ยังเป็นเพราะดันเจี้ยน ดังนั้นฉันก็คิดว่าถ้าฉันเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนฉันก็น่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับดันเจี้ยนมากขึ้น”
“…แค่นี้หรอ?”
“ไม่หรอก… พูดตรงๆฉันเหงานิดหน่อย”
ฉันตกใจมากที่ได้ยินเธอพูดว่าเธอเหงา เคียร่าได้จ้องมาที่ฉันและถามขึ้นอีกครั้ง
“ฉันอยากจะช่วยท่านฮีโร่มากกว่านี้ ฉันอยากจะพัฒนาพลังของฉัน ท่านฮีโร่ได้โปรดให้ฉันเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนเถอะนะ”
“ฉันทำไม่ได้”
“ท่านฮีโร่”
เธอได้เปลื่ยนไปและดูเหมือนว่าเธอจะเปลื่ยนไปเรื่อยๆ แต่ฉันก็ยังไม่สามารถจะทำให้เธอเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนได้แต่ว่าปัญหาจริงๆไม่ใช่เพราะตัวเธอ”
“หลังจากที่เธอเปิดตาขึ้นมาได้เธอได้เริ่มเห็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับดันเจี้ยนใช่ไหม? พลังของเธอก็ยังพัฒนาอยู่ เธออาจจะผิดพลาดไปในบางครั้งแต่ว่าครั้งต่อไปมันจะไม่เป็นแบบนั้น”
“แต่ว่า…..”
“พลังของเธอมันมีคุณค่าและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่ ฉันไม่อยากจะให้ความผิดปกติอื่นๆมันเข้ามาผสมกับพลังของเธอ อย่างที่ฉันเคยบอกมาก่อนว่าศัตรูของเรามันอยู่ไกลเกินกว่าแค่การใช้พลังของดันเจี้ยนจะพอแล้ว เธอเข้าใจสิ่งที่ฉันจะบอกนะ”
“…ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”
ดูเหมืนอว่าเธอจะไม่เข้าใจมันทั้งหมด แต่ว่าฉันก็รู้ว่าเธอก็ยังเด็กเกินไปทำให้ฉันเข้าใจเธอได้ ฉันได้ลูบหัวเธอเบาๆ
“เด็กดี เธอจะอยู่กับพวกเราไปตลอดนี้ ดังนั้นเธอไม่ต้องกังวลมันมากหรอก”
“ค่ะ ท่านฮีโร่!”
หลังจากที่่ฉันลูบหัวเธอครั้งสุดท้ายฉันก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่าลมหายใจของเธอหยาบไปเล็กน้อย ฉันได้ดีดหน้าผากของเธอและมุ่งตรงสู่นครวาติกัน
พระสันตะปาปาได้ทักทายฉันด้วยภาพลักษณ์ที่ไม่เป็นทางการอย่างน่าทึ่ง หลังจากที่ได้รับการตอนรับจากเขาและกินอาหารกลางวันด้วยกัน ฉันก็ได้ตัดสินใจที่จะปฏิเสธข้อเสนอของการไปร่วมพิธีรำลึกถึงคนตายอย่างสุภาพ เพราะแบบนี้การพบกันของเราก็ได้จบลงในที่สุด
แต่ว่ามันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นการเริ่มต้นของธุรกิจอย่างแท้จริง หลังจากที่ฉันกล่างลาและกำลังจะออกไป เจ้าหน้าที่ของวาติกันที่ดูเหมือนอย่างจะมียศสูงก็ได้เข้ามาหยุดฉันไว้
“ผมชื่อไซมอน หลังจากดวงจันทร์แฝดวาติกันกยังได้สร้างแผนกใหม่ขึ้นมาเพื่อสอดส่องการเคลื่อนไหวมอนเตอร์ด้วย ผมเป็นคนรับผิดชอบในเรื่องนี้”
“อ่า”
“ผมไม่ควรจะรั้งฮีโร่ของวาติกันไว้นานเกินไป แต่แม้ว่ามันจะไม่สุภาพผมจะอยู่ตรงนั้นนะครับ”
เขาได้นั่งลงในออฟฟิตของเขาและเสิร์ฟชาให้กับฉัน มันหอกมากๆแต่ฉันก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรของชาเลย แต่เมื่อฉันจิบลงไปมันให้ความรู้สึกที่อร่อยมาก เจ้าหน้าที่ที่มีชื่อว่าไซมอนได้ยิ้มขึ้นอย่างโล่งอกและพูดออกมา
“วันนั้นคุณได้เปลื่ยนถนนส่วนหนึ่งของวาติกันเป็นทองคำ”
“อ่า”
ฉันลืมอีกแล้ว! เมื่อเห็นใบหน้าของฉันแล้วเขาก็ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำให้เขายิ้มออกมาขมๆ
“คุณ…เป็นมนุษย์?”
“ใช่ ฉันคิดแบบนั้น”
“แน่นอนว่าการสร้างปกฏิหาริย์แบบนี้มันไม่ได้ง่ายเกินไป…ใช่ไหม?”
“มันไม่ได้ง่ายซักนิด”
หากฉันพูดออกไปว่ามันง่ายฉันก็จินตนาการได้เลบว่าเขาจะตกใจยังไง ดังนั้นฉันเลยทำแค่หยักหน้าอย่างจริงจัง ไซมอนได้แสดงท่าทางโล่งใจมายกใหญ่เลยทีเดียว
[ข้าดอร์ตู ด้วยมานาข้าสามารถเปลื่ยนอะไรก็ได้ให้เป็นโลหะ]
ดอร์ตูดูเหมือนจะไม่พอใจกับคำพูดของฉันทำให้เขาค้านออกมา โชคดีที่ว่าไซมอนไม่ได้ยินเสียงนี้ เขายังคงพูดต่อไป
“วาติกันไม่ได้อย่างจะยึดสิทธิความเป็นเจ้าของทองนี้ ในระหว่างขั้นตอนการเก็บกู้ผู้เสียชีวิต พวกเรามั่นใจว่าป้องกันไม่ให้คนสัมผัสมัน พระสันตะปาปาก็ยังเข้ามาจัดการด้วยตัวเอง”
“ฉันรู้”
ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้วที่จะยับยั้งความโลภในทอง ยิ่งถนนที่เป็นทองทั้งหมด มันจะไม่แปลกเลยหากมีสงครามปะทุขึ้น แต่ว่าการไม่มีใครมาสัมผัสมันแบบนี้อะไรนะ? เหตุการณ์นี้มันทำให้ฉันตระหนักได้เลยถึงพลังของศาสนา
“ถ้าคุณต้องการเราก็จะช่วยคุณเก็บมัน”
“อืมม… ไม่เป็นไร”
หลังจากคิดเล็กน้อยฉันก็ตอบกลับไป
“ฉันขอยกให้กับวาติกัน คุณจะต้องสูญเสียกับเหตุการณ์ครั้งนี้มากแน่ หวังว่าจะเอาเงินนี้ไปฟื้นฟูส่วนที่หายไปซักเล็กน้อยกลับมาได้นะ”
ไซมอนได้อ้าปากค้างออกมาด้วยความตกตะลึกอยู่พักหนึ่ง
“คุณรู้ไหมว่ามันมูลค่าเท่าไหร่?”
“มันมากหรอ?”
“ความกว้างก็ส่วนหนึ่ง… แต่ความลึกของมันกลับน่าทึ่งมาก พวกเราคาดว่าอย่างน้อยก็หลายสิบตัน”
“….”
มันมากกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก ฉันได้คิดถึงราคาทองคำที่ลดลงทันที แต่แน่นอนว่าฉันก็ไม่ได้เป็นนักคำนวณอะไรพวกนี้เลย ไซมอนได้แสดงความกังวลออกมาและไม่นานก็ถอนหายใจ
“มันมากเกินไปมันไม่ใช่สิ่งที่ผมจะจัดการมันได้ด้วยตัวคนเดียวถึงแม้ว่าจะน่ารำคาญสักนิดแต่คุณช่วยรอเดี๋ยวได้ไหม?”
“ได้สิ แน่นอนเลย”
อย่างที่ฉันมักพูดอกไปตลอด นับตั้งแต่ที่ฉันกลายมาเป็นนักสำรวจฉันก็ไม่เคยขาดเงินเลย ในตอนนี้ฉันมาถึงจุดที่สามารถจะสร้างทองขึ้นมาได้แล้วหากต้องการ ฉันคงจะไม่รู้สึกจนไปชั่วชีวิตอีกแน่นอน แน่นอนว่าฉันก็รู้ว่าการกระจายทองคำไปทั่วโลกมันจะทำให้ระบบเศรษฐกิจแย่ลง
เพราะแบบนี้มันดูเหมือนว่าวาติกันก็รู้สึกได้ว่าการได้รับทองจำนวนมหาศาลแบบนี้มันเป็นภาระ
หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ให้ชื่อถนนนี่ว่า ‘ถนนฮีโร่’ และตัดสินใจจะเก็บมันเอาไว้ นี่พวกเขาคิดที่จะปล่อยทองคำหลายสิบตันนี้ไว้โดยไม่แตะเลบหรอ
หลังจากได้ยืนยันในสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจฉันก็พูดขึ้นทันที
“ฉันจะเอาทองนั่นเอง”
“พวกเราได้ตัดสินใจอภิปรายออกไปแล้ว! เราจะเลือกทางอื่นอีกไม่ได้แล้ว!”
ไซมอนได้โค้งตัวให้กับฉันสุดตัวในขณะที่ร้องออกมา ฉันได้จ้องเขาและถามขึ้น
“ถ้าฉันไปแล้วคุณจะป้องกันมันได้ไหม?”
“แน่นอนสิที่นี่คือวาติกัน”
“แล้วสิ่งที่กำลังบูรณะใหม่ล่ะ?”
“ความมั่งคั่งของวาติกันก็มากพอจะจัดการแล้ว ไม่เช่นนั้นเราคงไม่ตัดสินใจแบบนี้”
“นั่นก็หมายความว่าต่อให้ฉันเอาทองกลับไปพวกนายก็ไม่เป็นไรสิ”
“ขอร้องล่ะครับ”
เขาไม่ได้พูดอะไรมากอีก เขาทำเพียงอ้อนวอน มันดูเกือบจะเหมือนเขากำลังอ้อนวอนต่อพระเจ้า เขาได้รวบมือเข้าด้วยกันและจ้องที่ฉัน ฉันอย่างจะส่งเจ้านี่ไปให้พระสันตะปาปาล้างบาปจริงๆเลย
“แต่แล้วชื่อนั่นล่ะ ถนนของฮีโร่ล่ะ? ถนนของฮีโร่!?”
“นั่นมันก็ยังเป็นกรบอกถึงคุณธรรมของคุณในฐานะนักบุญ แต่….”
“ถ้านายทำแบบนั้น ฉันอาจจะต้องประกาศสงครามกับวาติกันและศาสนจักรแน่”
“นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เราปิดเงียบในทันที”
จริงๆแล้วฉันก็เห็นด้วยกับแผนถนนของฮีโร่นี้ เนื่องจากผลลัพธ์ของมันทำให้ผู้ที่ศรัทฐาในคาทอลิกยินชื่อของฉันอย่างน้อยครั้งหนึ่ง ช่วยวาติกัน สร้างทองหลายสิบตันและทิ้งทุกอย่างไว้ให้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ฉันก็คิดว่านี่มันเหมือนกับตำนานเลย
แต่ว่าเมื่อฮวาหยาได้พบข่าวนี้เธอได้ระเบิดหัวเราะออกมา
“อ๊าาา ท้องฉัน! ชินเป็นนักบุญ”
“ฉันปฏิเสธข้อเสนอนี้นะ!”
“คั๊ก คั๊กคั๊กคั๊ก อย่างน้อยแม่ฉันก็ชอบมันนะ แม่ฉันเป็นคาทอลิก”
“อ๊าาา!”
“อะไร? การที่แม่ชอบนายมันไม่ดีหรอ?!”
“ฉันสาบานได้เลยว่ามันจะต้องมีวันที่เธอถูกเรียกว่านักบุญด้วยแน่ ฉันจะหัวเราะให้ฟันหลุดเลยเตรียมตัวให้ดี”
ฮวาหยาได้ตอบสนองด้วยแค่การหัวเราะอีกครั้งเท่านั้นเอง
“ฟุ ฟุฮ่าฮ่าฮ่า ใช่แล้วเราจะเป็นคู่รักนักบุญด้วยกัน!”
“อ๊ากกกกกก!”
ยังไงก็ตามในวันถัดมาเมื่อที่ข่าวความสำเร็จของสมาชิกรีไวเวิร์ลได้แตกออก คำพูดของเธอก็ได้กลายเป็นจริง ในวิดีโอที่เต็มไปด้วยความตายฮวาหยาได้ปล่อยเพลิงของเธออย่างไม่สิ้นสุดเพื่อที่จะเผาซอมบี้นับไม่ถ้วน ข่าวลือในอินเทอร์เน็ตมากมายได้บอกว่าเธอเป็นนักบุญที่่มาล้างบาปคนตายด้วยเพลิงแดงฉานของเธอ คำอธิบายนี่ได้แพร่กระจ่ายออกไปทั่วสื่อมวลชนและผู้คนเริ่มเรียกเธอในฐานะนักบุญ ใบหน้าของฮวาหยาได้แข็งทื่อชึ้น
“….”
“ท่านนักบุญเพลิงสีชาด! โอ้ยยย!”
“อ๊าาาาาา!”
ราชาแห่งความตายมันได้สร้างรากฐานให้กับรีไวเวิร์ลจนถึงในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ว่าในเวลาเดียวกันนี้มันก็ยังส่งผลให้หัวหน้ากิลด์รีไวเวิร์ลกับรองหัวหน้ากิลด์ได้รับฉายาแปลกๆมาด้วย อย่างที่คิดเลยเจ้านี่ต่อให้ตายไปแล้วมันก็ยังเป็นปัญหา