บทที่ 302 – ลิลิธ (2)
คลื่นเลือดได้กวาดพัดเข้ามาใส่ฉันราวกับว่ามันจะกลบทับให้ฉันหายไป กระจกโลหะได้หมุนวนทำให้คลื่นนี้แข็งอย่างต่อเนื่องในขณะที่ฉันได้เตะลงไปที่คลื่นเพื่อทำลายมัน
แต่ว่ามันก็ยังไม่ใช่การปะทะกันจริงๆ ในตอนที่หอกของฉันได้ยื่นออกไปและพลังของดวงตามารฉันได้ถูกสะท้อนด้วยกระจกของดอร์ตูทำให้นรกสีชาดได้กลายเป็นหินและพังลงไป มันก็ยังรู้ว่ามันไม่สามารถจะเอาชนะฉันได้ด้วยการเผชิญหน้าตรงๆดังนั้นจึงพยายามใช้ในพลังหนึ่งของมันที่ฉันกำลังพยายามต่อต้านมากที่สุด
มันก็คือพลังในการขโมยมานาไปจากฉัน ถึงแม้แต่ในตอนนี้นรกสีชาดก็ยังพยายามอย่างมากในการขโมยมานาไปจากฉันอย่างดีที่สุด
[มาดูกันสิ…. เจ้าจะทนไปได้นานแค่ไหน ข้าสงสัยจริงๆ]
[ฉันก็อยากจะพูดแบบนั้นเหมือนกัน]
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้ตั้งสมาธิไกับวิญญาณสัมบูรณ์มากขนาดนี้ ถ้าหากว่าฉันลดการป้องกันลงสักวินาทีเดียวฉันก็จะต้องถูกขโมยมานาไปแน่นอน มันจะสายเกินไปแน่ ในตอนที่ฉันสู้กับผู้กินมานาระดับ SSS+ ในทวีปพาแนนฉันก็ยังไม่ได้วิญญาณสัมบูรณ์ดังนั้นฉันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยให้มันขโมยมานาไป แต่ยังไงก็ตามในตอนนี้ฉันมีวิธีป้องกันไม่ให้ถูกขโมยมานาแล้วและฉันก็ยังได้เข้าใจถึงมันมากขึ้นเมื่อเวลาได้ผ่านไป
[ดื้อด้าน….!]
[พยามยามให้มากกว่านี้สิ ทำให้ฉันต้องใช้มันมากขึ้น]
[เจ้ากำลังพูดอะไร… เจ้ายังจะพัฒนาอยู่อีก? เจ้า… เจ้ากล้าที่จะลองดีกับข้า!?]
เจ้านี่มันคิดว่าฉันกำลังขู่งั้นหรอ? นรกสีชาดได้ตะโกนเข้าใส่ฉันอย่างเดือนดานและพุ่งตัวเข้ามาหาฉันรุนแรงมากยิ่งขึ้น ในตอนที่ฉันมองลงไปจากด้านบนกลุ่มเลือดของนรกสีชาดได้พุ่งเข้ามาหาฉันเหมือนกับคลื่นสึนามิและขยายขอบเขตการทำลายล้างมากขึ้นไป ฉันได้แทงหอกออกไปพร้อมดวงตาที่เปิดกว้าง
“ดอร์ตู”
[ข้าดอร์ตู กำลังกระจายพลังของนายท่าน]
ระลอกสีเทาได้พุ่งเข้าใส่คลื่นทำให้คลื่นการเป็นหินและแตกกระจายเป็นชิ้นๆ นรกสีชาดก็ยังคงพุ่งเข้ามาหาฉันต่ออย่างไม่ยอมแพ้ ฉันได้ตั้งกำแพงจิตใจเอาไปและปล่อยพลังวิญญาณของฉันออกไปซึ่งมันไม่เพียงแต่ป้องกันฉันเท่านั้นแต่มันยังครอบคลุมมานาภายนอกอีกด้วย
ในตอนแรกที่ฉันได้รับวิญญาณสัมบูรณ์มาฉันก็เชื่อว่าฉันจะต้องฝึกฝนมันให้ดีที่สุด แต่ว่าการคิดแบบนั้นมันไร้เดียงสามาก ในสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้ที่มีเพียงแค่การมีอยู่ของวิญญาณสัมบูรณ์ที่จะช่วยฉันได้ ฉันก็ควรจะทะลายขีดจำกัดของมันไป
[…!]
ลึกเข้าไปในตัวฉันได้มีพลังบางอย่างที่นอกเหนือไปจากวงจรเพรูต้าและพลังของฮีโร่ได้ส่องแสงออกมา มันคือแก่นวิญญาณของตัวฉันที่ซึ่งแม้แต่ดันเจี้ยนหรือเชอริฟิน่าก็ไม่สามารถจะสัมผัสได้ ฉันรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันเชื่อมต่อกับมันได้
ด้วยพลังที่มากล้นนี้ฉันได้เลือกจะก้าวไปต่อสู่วิธีที่จะทำให้วิญญาณสัมบูรณ์ไหลผ่านตัวฉัน ววิญญาณสัมบูรณ์ได้ทำกระบวนการสร้างวิญญาณที่สมบูรณ์แบบ แต่ว่ามันก็ยังมีบางอย่างขาดไปเล็กๆ เป็นเวลานานที่ฉันคิดไม่ออกว่ามันคืออะไร
แต่ตอนนี้ฉันมั่นใจแล้ว
บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าฉันได้จ้องมองคิดในเรื่องนี้นานเกินไปทำให้นรกสสีชาดได้ดึงมานาก้อนใหญ่ไปจากฉัน หนึ่งแสน หนึ่งแสนห้า สองแสน… ในตอนนี้ฉันเหลือมานาแค่เพียงสองแสน
[เจ้าจะ..ยอมแพ้ไหม?]
[ไม่มีทาง]
ฉันได้เฝ้าสังเกตุแสงนั้นเสร็จแล้ว ฉันได้รับสิ่งที่ฉันต้องการมาแล้ว
ฉันได้เปิดตากว้างออกมาและแทงหอกออกไปอย่างเต็มแรง วังวนเพลิงสีดำได้ตัดผ่านคลื่นเลือดจนไปถึงระยะไกลหลายร้อยเมตร ฉันได้ใช้มานาของฉันที่มีอยู่ทั้งหมดไปกับการโจมตีครั้งนี้
[ก๊าซซซซซซซซ]
คลื่นสึนามิได้แยกออกเป็นสองฝั่งและได้มีรอยยิ้มปรากฏมาบนหน้าฉัน เลือดได้ไหลลงมาข้างๆเหมือนกับน้ำตกเชื่อมจุดที่ขาดอีกครั้งหนุ่ง
[เจ้าโง่…. การกระทำที่ไร้ประโยชน์…! ตอนนี้เจ้าเป็นของข้า…]
[ฉันไม่คิดงั้นนะ]
ฉันได้ประกาศออกไปด้วยรอยยิ้มเล็กๆ นรกสีชาดได้บินผ่านคลื่นมาด้วยความโลภที่เห็นได้ชัด สิ่งที่ฉันมองไม่เห็นมาก่อนหน้านี้ในตอนนี้ฉันมองเห็นแล้ว มันมีเพียงแค่เหตุผลเดียวเท่านั้นเองในตอนนี้มันอยู่ภายใต้การควบคุมของฉันแล้ว ฉันได้ใช้ตัวเองเพื่อดูดมานาของมันเข้ามา
[อะไรกัน…!?]
[มานาของฉัน ฉันจะเอามันกลับมา]
[คุณเชี่ยวชาญวิญญาณสัมบูรณ์!]
‘ไม่เชอริฟิน่า ฉันยังไม่ได้เชี่ยวชาญมัน’ ฉันได้พึมพัมเบาๆในเสียงที่เธอไม่ได้ยิน ‘เธอคงจะไม่รู้ ไม่เช่นนั้น….’
ฉันมองมันได้ชัดเจนแล้ว วิญญาณสัมบูรณ์เป็นแค่รากฐาน มันก็เหมือนกับโอเวอร์ลอร์ด ทั้งสองอย่างนี้เป็นสกิลที่เกิดขึ้นมาจากนาฬิกาพกพาที่ไม่มีอะไรเลย แต่ว่ามันเป็นเข็มทิศที่จะชี้นำฉันไปในทางที่ถูก ในที่สุดแล้วฉันก็รู้ตัวถึงมันในวันนี้
[มานาของข้า… ได้ยังไง?]
[ระดับของฉันเหนือกว่าแกไงล่ะ?]
ฉันได้ตอบกลับไปตรงๆ มันยอมรับไม่ได้งั้นหรอ? หรือว่ามันกำลังจะทำการดิ้นรนครั้งสุดท้าย? นรกสีชาดที่พยายามจะกลืนกินฉันมาตลอดได้เปลื่ยนไปใช้หนวดที่แหลมคมพุ่งเข้าใส่ฉันแทน
ยังไงก็ตามกระจกของดอร์ตูก็ไม่ได้ปล่อยให้มันผ่านมาได้แม้แต่อันเดียว ด้วยการควบคุมอย่างละเอียดจากดอร์ตูทำให้แสงของดวงตามารฉันได้สะท้อนกับกระจกโลหะนับพันทำให้หนวดได้แข็งตัวและถูกทำลายไป ในที่สุดแล้วนรกสีชาดก็กรีดร้องออกมา
[ข้า ข้าจะไม่ยอมตายแบบนี้… ข้าจะต้องแก้แค้น…!]
[…. มาพูดอะไรตอนนี้ล่ะ]
บอสประจำชั้นจนกระทั่งตอนนี้จะใช้มานาของเชอิริฟิน่าเพื่อฟื้นฟูหลังจากมันตาย การฟื้นฟูก็เหมือนกับการชุปชีวิต แต่ว่ามันต่างกันไปโดยสิ้นเชิง การชุปชีวิตมันจะทำให้วิญญาณคงอยู่โดยสมบูรณ์ แต่ว่าการฟื้นฟูกลับมาจะทำให้วิญญาณที่เกิดขึ้นมาต่างไปจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง
คนก่อนหน้านี้และคนที่หลังจากฟื้นฟูขึ้นมาจะเป็นคนๆเดียวกันไหม? ไม่เลย นี่มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ลิโคไรท์ได้เจรจากับเชอริฟิน่าเพื่อที่จะได้รับเหตุการณ์ดันเจี้ยนและเชอริฟิน่าก็ยอมรับในคำขอของลิโคไรท์เพราะลิโคไรท์ไม่ได้มีความใฝ่ในการทำสงคราม
เพราะแบบนี้ถึงมันจะกลับมาเกิดใหม่แต่ว่าก็คงไม่ใช่ตัวตนเดิม แต่ยังไงก็ตามเชอริฟิน่ามีพลังที่จะเอามันกลับมาหรือป่าว?
ฉันได้ถามเชอริฟิน่า
[บอสชั้นที่ 85 จะถูกฟื้นคืนกลับมาไหม?]
[ไม่ เพราะแบบนี้ทำให้เมื่อคุณเคลียร์ไปแล้วคุณจะไม่สามารถท้าทายได้อีกครั้ง นับจากนี้มันจะเป็นแบบนี้ไปตลอด]
อย่างที่ฉันคิดเลย มันดูเหมือนว่าแม้แต่เชอริฟิน่าก็ไม่ได้มีพลังมากพอที่จะทำให้ศัตรูของโลกกลับมาใหม่ได้ การสร้างร่างโคลนมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งแต่ว่ากับร่างจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าหากว่ามีอัจฉริยะคนใหม่ที่มาถึงชั้นนี้อีกเชอริฟิน่าก็จะต้องเตรียมมอนสเตอร์ที่ต่างไป
[ความลับ… ข้าจะบอกความลับกับเจ้า…! เพราะงั้นปล่อยข้า…]
[ไม่ล่ะ ขอบคุณ]
ฉันได้หลับตาลงและเพิ่มความสว่างของดวงวิญญาณฉัน ในตอนที่ฉันได้เพิ่มความเร็วของวงจรเพรูต้าและเสริมการดูดซับมานาของฉัน นรกสีชาดก็ได้อ่อนแอลงและความต้านทานมันก็ได้หายไปโดยสมบูรณ์
[ก๊าซซซซ!]
ในท้ายที่สุดแล้งนรกสีชาดก็ได้พังทลายลงไปพร้อมๆกับเสียงร้องของมัน คลื่นเลือดที่เหลืออยู่ได้ถูกเปลื่ยนให้การเป็นหินสีเทาและตกลงไปกับพื้น ฉันได้เม้มปาก มันตรงข้ามกับที่ฉันคิดเลยมานาเดิมทีที่ฉันมีคือ 700,000 ได้ถูกเพิ่มขึ้นมาจนตอนนี้ถึง 800,000″
“อืมม ฉันคิดว่านี่มันก็ดีแล้วล่ะ”
ในที่สุดฉันก็ยกเลิกการใช้งานลมหายใจแห่งความตาย ในตอนนี้มีเหลือเพียงแค่ฉันคนเดียวที่ยังอยู่ในห้องนี้อย่างโดดเดี่ยว
จากนั้นเองข้อความที่ฉันไม่ได้ยินมานานแล้วก็ดังขึ้น
[คุณได้กลายเป็นเลเวล 85 คุณได้รับโบนัสสเตตัส 5]
[คุณได้รับคุณสมบัติในการท้าทายบียอนชั้นที่ 35]
[คุณได้กลายเป็นระดับแพลตตินัม 6 คุณได้รับคุณสมบัติในการแต่งตั้งนักสำรวจคนใหม่]
[คุณได้เอาชนะนรกสีชาดที่ไม่มีนักสำรวจคนได้เคยทำสำเร็จมาก่อน มันจะไม่เกินเลยไปเลยหากจะเรียกคุณว่าเป็นนักสำรวจที่แข็งแกร่งที่สุด คุณได้รับแต้มทักษะ 5 แต้มเป็นรางวัล แต้มทักษะในปัจจุบัน 29]
[คุณได้รับฉายา ‘ผู้ฆ่านรกสีชาด’ สเตตัสทั้งหมดเพิ่มขึ้น 5 เป็นการถาวร]
[คุณได้เอาชนะนรกสีชาดเพียงลำพัง คุณได้รับรอยสักนรกสีชาดเป็นรางวัลพิเศษ]
[คุณได้รับ 1,000,000 ทอง]
[คุณได้รับรางวัลลับที่ซ่อนเอาไว้สำหรับนักสำรวจคนแรก ยินดีด้วยโชคของคุณเพิ่มขึ้น 10]
[ลับ หนังสือเวทย์สุดยอดความโลภ]
ฉันได้แค่ยิ้มออกมา ฉันไม่คิดว่ามันจะสำคัญอีกต่อไปแล้ว นรกสีชาดได้สู้กับฉันอย่างสุดกำลังและมันก็ถูกฉันฆ่าไปแล้ว ฉันได้คิดจะเอาพลังทั้งหมดของมันมาแต่ว่าเชอริฟิน่าได้แทรกแซงและปรับเปลื่ยนให้เป็นในรูปแบบที่เรียนง่ายมากขึ้น นี่มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันได้รับมานาจากมันน้อยมาก นี่คือรางวัลจากดันเจี้ยน
รางวัลลับ รางวัลพิเศษ และรางวัลเหตุการณ์มันก็คือสิ่งที่ดีเพราะมันเป็นสิ่งที่มีเพียงสิ่งเดียวและมีไม่มากนัก ออร์คลอร์ดที่ฉันเคยได้เผชิญหน้าบนฉันที่ 5 จะต้องสู้กับนักสำรวจจำนวนนับไม่ถ้วนและถูกฟื้นขึ้นมาหลายต่อหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน ดังนั้นพลังมันจะยังเหลืออยู่อีกมากงั้นหรอ? เชอริฟิน่าจะต้องใช้พลังอย่างมากของเธอเพื่อคัดลอกในพลังของออร์คลอร์ดและรวมมันด้วยกันแน่ นี้มันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดเซ็ตออร์คลอร์ดและวอคลายขึ้นมา
เพื่อที่จะจำกัดจำนวนไว้ด้วยทำให้เธอจำกัดรางวัลบางส่ววนไว้ให้กับคนที่เอาชนะออร์คลอร์ดเพียงลำพังเท่านั้น เพราะการทำแบบนี้เธอจึงได้เพิ่มคุณค่าและระดับของสกิลไปเรื่อยๆ นี้มันไม่ได้เปลื่ยนไปเลยในชั้นที่สูงขึ้นมา ยิ่งบอสประจำชั้นถูกก็อปน้อยเท่าไหร่ระดับของมันก็จะมากเท่านั้น และเมื่อมันได้มาถึงรางวัลลับ พลังพวกนี้ก็จะใกล้เคียงในของเดิม ฉันจึงคิดว่าการได้พลังแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดา
และในตอนนี้ด้วยปรับจากเชอริฟิน่าด้วยการใช้พลังทั้งหมดของนรกสีชาดทำให้ทั้งรางวัลพิเศษและรางวัลลับต่างก็มีเพียงหนึ่งเดียว และในท้ายที่สุดแล้วฉันก็ได้รับพลังทั้งหมดของนรกสีชาดมาด้วยความช่วยเหลือจากเชอริฟิน่า เดิมทีแล้วรางวัลของดันเจี้ยนจำเป็นต้องใช้เวลานานกว่าที่จะนำไปใช้ได้ แต่ถึงแม้อย่างนั้นก็ยังไม่มีการรับประกันอีกด้วยว่าผู้ใช้จะสามารถดึงพลังออกมาได้โดยสมบูรณ์
“แต่ว่าตอนนี้ฉันต่างออกไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าฉันมีมานาของนรกสีชาด…”
ฉันได้ยิ้มขึ้นมาและรับรอยสักของนรกสีชาด ฉันก็คาดหวังมันเอาไว้แล้วแต่รอยสักได้ปรากฏบนนิ้วของฉัน เมื่อฉันได้มองดูสัญลักษณ์นี้อย่างสบายๆก็ได้มีเสียงดังขึ้นมาอีรก
[คุณได้รับรอยสักของนรกสีชาด! พลังเวทย์เพิ่มขึ้น 20% ในตอนที่โจมตีศัตรูด้วยอาวุธในมือคุณจะสามารถขโมยมานาส่วนหนึ่งจากศัตรูได้]
[คุณมีมานาของนรกสีชาดและสามารถใช้มันได้อย่างอิสระ รอยสักได้กลายเป็นระดับสูงสุด]
ในตอนนี้เชอริฟิน่าก็ได้บอกแล้วว่าฉันสามารถใช้พลังมันได้เต็มที่
ถึงแม้ว่าฉันจะรู้อยู่แล้วก็ตาม