บทที่ 309 – ทะลวงผ่าน (2)
แน่นอนว่าฉันไม่ได้กลับไปในดันเจี้ยนทันที ฉันได้เรียนรู้เทคนิคในการควบคุมเสน่ห์ของฉันได้ดียิ่งขึ้นจากซัคคิวบิก่อน
ในการทำแบบนี้ฉันได้ใช้เวลาไปหลายชั่วโมงและในขณะนั้นฉันก็ยังเชี่ยวชาญในการใช้พลังของนรกสีชาดแล้ว เนื่องจากว่าฉันกลับมายังโลกฉันก็ยังต้องไปดูวงจรเพรูต้าของสมาชิกรีไวเวิร์ลคนอื่นๆและฝึกหอกกลับสุมิเระอีกด้วย เนื่องจากว่าสุมิเระกำลังตั้งใจรวมพลังของเธอไปในจุดๆเดียวอยู่ทำให้ฉันได้แสดงให้เธอหลายครั้ง
“อูวว หนูทำมันได้ไม่ดีเลย”
“ไม่ต้องห่วง ฉันก็ยังไม่สมบูรณ์เหมือนกัน?”
“มีสิ่งที่คุณชินทำไม่ได้ด้วยหรอ?”
สุมิเระได้ถามฉันอย่างสงสัยและฉันก็ดีดหน้าผากของเธอไปด้วยรอยยิ้ม
“เธอยังไม่เห็นอีกหรอ? ฉันยังต้องฝึกเทคนิคนี้อีก”
“อ่า….”
สุมิเระได้ลูบหน้าผากของเธอ
“โอ้ ขอโทษนะ มันเจ็บหรอ? ฉันแค่จะดีดเบาๆนะ”
“มะ ไม่ มันไม่เจ็บเลยสักนิด หุหุ… ช่วยทำให้หนูดีอีกครั้งทีสิค่ะ! ไม่ใช่ดีดหน้าผากนะ แต่เป็นการแทงหอก!”
“ด้วยความยินดี”
หลังจากสอนสุมิเระแล้วฉันก็ยังไปสอนเคียร่าที่ฉันไม่ได้สนใจเธอมาสักพักแล้ว พลังของเธอได้พัฒนาขึ้นอย่างมากหลังจากที่ดวงตามารของเธอตื่นขึ้น แต่ว่าสิ่งสำคัญก็คือเธอได้รู้วิธีในการควบคุมมานาของเธอด้วย อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้ฉันอยากจะให้เธอรู้ว่าเมื่อไหร่และที่ไหร่ที่เดม่อนลอร์ดจะมา
“วงจรเพรูต้านี่มันคือเทคนิคเก่าของท่านฮีโร่”
“ถ้าเธอไม่มีพรสวรรค์มากเธอ มันจะเป็นเรื่องยากต่อให้เป็นของเก่า ดังนั้นตั้งสมาธิและทำให้ดีที่สุด””
“ค่ะ ท่านฮีโร่”
ฉันรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นแบบนี้ แต่ว่าเธอมีพรสวรรค์มากจริงๆ เคียร่าที่ได้เรียนรู้วงจรเพรูต้าไปจากฉันเพียงครั้งเดียวก็เข้าใจส่วนใหญ่ได้แล้ว ในแง่ของเลเวลสกิล วงจรเพรูต้าของเธอได้อยู่ที่เลเวล 4 แล้ง
“อ่า ท่านฮีโร่ อนาคต….”
“มีเรื่องสำคัญหรอ?”
“ใช่ มากๆ”
ฉันได้กลืนน้ำลายลงไป ตัวฉันนำโชคร้ายมาหรอ? หรือว่าเธอจะเพิ่งได้รู้ว่าเมื่อไหร่เดม่อนลอร์ดจะลงมา? ฉันได้ถามออกไปอย่างกังวล
“ฉันพร้อมแล้ว บอกมาเลย”
“ค่ะท่านฮีโร่ มันดูเหมือน… ในอีกสามปีฮีโร่จะมีภรรยาคนที่ 17 อ่า ฉันก็เป็นหนึ่งในภรรยาทั้ง 17 คนนั้นด้วย นี่มันเยี่ยมไปเลย!”
“มันจะไม่มีอาหารเย็นสำหรับเธอในคืนนี้”
“แต่ว่าฉันก็แค่บอกในสิ่งที่เห็นเองนะคะ?”
จริงๆแล้วอนาคตของเคียร่าที่บอกมามันก็สำคัญ ไม่สิ นั่นมันไม่ได้ต้องไปสนในเรื่องจำนวนภรรยาของฉันเลย แต่ว่าเธอมองไปไกลถึงสามปีได้แล้วงั้นสินะ
จนกระทั่งตอนนี้เธอไม่สามารถจะมองเห็นอนาคตที่ไกลมากๆได้ ในอนาคตเธอจะต้องได้เห็นเดม่อนลอร์ดที่จะมาแน่ แต่ว่าสำหรับครั้งนี้มันเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นในสามปีข้างหน้า
แน่นอนว่าอนาคตของเธอก็ไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน ยังไงก็ตามมันก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ นี่มันหมายความว่าพวกเราได้เอาชนะเดม่อนลอร์ดและสิ่งมีชีวิตที่ควบคุมห้าราชาสำเร็จ ยังไงก็ตามฉันได้ตัดสินใจที่จะไม่ยกข่าวนี้ไปบอกกับคนอื่น แน่นอนว่ามันไม่ใช่เพราะฉันกลัวว่าพวกเธอจะยินดีหรือโกรธที่รู้ว่าฉันมีภรรยา 17 คนนะ
ในเมื่อฉันได้มาที่นี่แล้วฉันก็อยากจะเห็นหน้าของเคนก่อนที่จะกลับเข้าไปในดันเจี้ยน แต่ว่าน่าตกใจที่เขาดูเหมือนจะอยู่ในดันเจี้ยนด้วย มันปรากฏว่าในตอนนี้เขากำลังท้าทายชั้นที่ 92 ที่เขาผ่านไม่ได้มานานแล้วอยู่ ชั้นที่ 92 มันจะต้องไม่ง่ายแน่ๆ ฉันได้คิดว่าฉันจะไม่ได้เจอหน้าเขาไปอีกซักพักและในที่สุดฉันก็กลับเข้าไปในดันเจี้ยน ฉันได้คิดที่จะไปหาหลินและลีออนแต่แล้วก็ตัดสินใจหยุดก่อนเพราะฉันคงช่วยอะไรไม่ได้มากนะ
“แล้วคุณจะกลับมาในอีกสองวัน?”
“ใช่ ฉันอยากจะมีสามร่างกายจริงๆ”
โรเล็ตต้าที่รอฉันอยู่ที่ร้านขายของชั้นที่ 85 ดูเหมือนจะตกใจกับการที่ฉันควบคุมเสน่ห์ได้แล้ว
“ชิน ฉันรู้ว่าฉันบอกเรื่องนี้ไปเสมอนะ แต่ว่าการเร่งทำอะไรเกินไปมันจะพลาดเอานะ ชินจะต้องมีเวลาพักบ้าง”
“ถ้าฉันเหนื่อย ฉันก็จะมาหาโรเล็ตต้าให้เธอนวดไง”
หูของโรเล็ตต้าได้กระพือขึ้นและเธอก็พูดออกมาอย่างยินดี
“ฉันควรทำมันตอนนี้เลยไหม?”
“ฉันต้องสู้ มันยังไม่ใช่วันนี้”
“ถ้านักสำรวจทั้งหมดเป็นแบบชิน ดันเจี้ยนนี้ก็คงมีคนพิชิตไปแล้ว”
“ฮ่าฮ่า ฉันสงสัยจังว่าถ้าขยันมันก็พอที่จะพิชิตดันเจี้ยนแล้ว”
“มันเป็นเรื่องดีที่ชินรู้ถึงความพิเศษของชินเอง”
เธอได้ยิ้มและหยักหน้าออกมา จากนั้นเธอก็ทำท่าเรียกฉัน
“ถ้างั้นมารับพรจากฉันก็จะไปสิเร็วเข้า”
“แค่พรใช่ไหม?”
“ฉันจะให้พรในระดับสูงสุดที่ฉันให้ได้เลย!”
“แค่พรระดับสูงก็พอแล้ว”
ฉันได้เรียนรู้จากความดื้อรั้นของเธอมาแล้ว แน่นอนว่าฉันจะไม่ให้มันเป็นไปตามที่เธอต้องการ
“แต่ว่าพรระดับสูงสุดมันดีจริงๆนะ ฉันไม่เคยทำมันมาก่อนเลยด้วย!”
“ฉันไปล่ะ”
“เห้ ไม่ต้องขรึมขนาดนั้นก็ได้… ชินมันเป็นไปได้…”
“นี่มันก็ไม่ได้แปลกนี่”
การให้พรของโรเล็ตต้ามันจะจบลงมากกว่าจำเป็นเสมอ ในท้ายที่สุดฉันก็ได้เก้าเข้าไปในดันเจี้ยนชั้นที่ 86 พร้อมกับพรระดับสูงของราชินีเอลฟ์ ข้อความได้ดังขึ้นในหูของฉันอย่างเคย
[คุณได้เข้าสู้ชั้นที่ 86 ตะโกนว่า ‘เริ่มสำรวจ’ เพื่อทำการเริ่มการสำรวจ]
“หือ แค่เปิดมาสภาพแวดล้อมก็เปลื่ยนไปแล้ว”
ข้างหลังของฉันมันยังเป็นบันไดลงไปชั้นที่ 85 แต่ว่าเมื่อฉันหันกลับมามองชั้นที่ 86 ฉันก็เห็นได้แต่พื้นที่รกร้างที่กว้างใหญ่
“เอาล่ะไปกันดีกว่า เริ่มการสำรวจ”
ในทันทีที่ฉันตะโกนคำนี้ออกไปได้มีบางอย่างลอยตรงเข้ามาหาฉัน ฉันได้ใช้ความเร็วศักดิ์สิทธิ์และหลบออกมาจากทางทันที ตูมมม! เสียงปะทะได้ดังขึ้นมาและเกิดหลุมลึกขึ้นบนพื้น
“…ว้าว”
การที่ฉันได้รับการโจมตีจากระยะไกลนี่มัน… อ่า ยังมีอีกหนึ่งอย่าง
“อย่างน้อยจะไม่พูดทักกันก่อนหน่อยหรอ!?”
แต่มันก็ยังไม่มีใครอยู่ที่นี่ ยังไงก็ตามในตอนนี้ก็ได้มีการโจมตีออกมาจากระยะทางที่ต่างออกไป
“นับตั้งแต่ชั้นที่ 80 จะมีศัตรูเป็นผู้บุกรุก นรกสีชาดมันก็ยังมีตัวอยู่ แต่ในตอนนี้ศัตรูมันไม่มีร่างจริงเลยด้วยซ้ำ… ให้ตายสิ!”
ฉันได้บ่นกับตัวเองในขณะที่ใช้ความเร็วศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว ได้มีเมฆลอยขึ้นมาจากพื้น ก่อนอื่นเลยฉันได้หาตำแหน่งศัตรูและอัญเชิญไพก้ากับดอร์ตูออกมาอย่างรวดเร็ว
“ดอร์ตูคุ้มกันฉัน ไพก้าหาที่อยู่ของศัตรู”
[ข้าดอร์ตู กำลังปกป้องนายท่าน]
[หุหุ ไว้ใจฉันเลยเลย]
ฉันสามารถจะบอกได้ว่าดอร์ตูกำลังคุ้มกันฉันอยู่จากการที่เกราะของฉันมันเปลื่ยนไป แน่นอนมันก็ไม่ได้มีแค่นี้ฉันได้กระจายมานาตรวจจับของฉันออกไปรอบๆและเตรียมตัวขยับอยู่ตลอดเวลา
“เจ้านี่มันจะต้องเป็นอีกหนึ่งศัตรูของโลก”
[ข้าดอร์ตู ดอร์ตูรู้สึกได้ถึงพลังที่คุ้นเคย]
“อะไรนะ?”
ในเวลาเดียวกันนี้เองไพก้าได้ตอบกลับมา
[นายท่านที่นี่ไม่มีใครอื่นนอกจากเราอีก มันมีศัตรูอยู่จริงๆหรอ?]
“เธอหมายความว่ายังไง? พวกเราเพิ่งจะถูกโจมตีเองนะ?… ไม่สิ พวกเรายังถูกโจมตีอยู่เลย!”
ฉันได้หลบการโจมตีที่สามและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ฉันมองไม่เห็นแม้แต่เพดาน มันมีเพียงแต่ท้องฟ้าสีแดง ถ้าฉันกระโดดไปเรื่อยๆฉันจะแตะเพดานได้ไหมนะ? ฉันไม่มั่นใจเลยสักนิด
ในสถานการร์ที่ฉันไม่เห็นศัตรูแต่ว่ายังต้องป้องกันการโจมตีด้วยการวิ่งไปข้างหน้ามันคือดีที่สุด หากเป็นนักสำรวจคนอื่นๆจะไม่ใช้วิธีโง่ๆแบบนี้เพราะมันจะทำให้เจอศัตรูมากขึ้นและนำไปสู่ความตาย
ยังไงก็ตามฉันต่างออกไป ด้วยความเร็วศักดิ์สิทธ์แล้วฉันสามารถจะหลบได้อย่างง่ายดายและต่อให้ฉันถูกโจมตีเข้าการโจมตีนี่มันก็ดูไม่น่าจะแข็งแกร่งพอที่จะฆ่าตัวฉันได้ แทนที่จะยืนเฉยแบบคนโง่ๆ ฉันเลือกที่จะวิ่งทำให้ศัตรูต้องเคลื่อนไหวดีกว่า ในตอนที่ฉันขยับพวกมันจะต้องเผยตัวออกมาแน่นอน
[ข้าดอร์ตู พลังที่กำลังลอยมาทางนี้มันไม่ใช่พลังชีวิต]
“ถ้างั้นแล้วมันคืออะไรล่ะ?”
[ข้าดอร์ตู นี่มันคือโลหะที่ถูกอัดด้วยมานา]
อะไรนะ? ในตอนที่ฉันกำลังจะถามดอร์ตูออกไปอีกได้มีบางอย่างลอยเข้ามาหาฉันมากยิ่งขึ้น มันเร็วจนแทบจะพอหลบไปจากสายตาของฉันได้ มันดูเหมือนกับเลเซอร์ที่พุ่งผ่านอากาศไป นั่นมันคือโลหะ? ฉันยังสงสัยอยู่แต่ว่าฉันก็เชื่อในการตัดสินใจของดอร์ตู
ฉันได้ใช้ความเร็วศักดิ์สิทธิและหลบในวัตถุที่ลอยมาและวิ่งต่อไปด้วยความเร็วที่ยอดเยี่ยม
“ไพก้า เธอไม่รู้สึกถึงสิ่งมีชีวิตอะไรเลยจริงๆหรอ?”
[ฉันไม่ได้โกหกนะนายท่าน!]
“ถ้างั้นก็เข้ามาในถุงมือของฉัน! ดอร์ตู นายก็เสริมพลังให้กับถุงมือฉันด้วย”
ฉันได้ดันตัวทีบพื้นพุ่งขึ้นไป วังวนได้โผล่ขึ้นมาล้อมรอบตัวฉันทำให้ตัวฉันพุ่งไปด้านหน้า
ได้มีการโจมตีพุ่งออกมาอีกในทันที ฉันก็ตรวจจับถึงมันได้อย่างรวดเร็วและใช้ความเร็วศักดิ์สิทธิ์ ในอดีตฉันไม่สามารถจะใช้ความเร็วศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างอิสระเนื่องจากว่ามันใช้มานาของฉันถึง 10% แต่ว่าในตอนนี้ฉันเข้าใจในหลักการของมันแล้วทำให้ความเร็วศักดิ์สิทธิ์ที่ฉันใช้อยู่ในตอนนี้มันต่างไปจากสกิลความเร็วศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้่าความเร็วของมันจะเพิ่มไม่ได้ดีนัก แต่ว่ามันก็มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพราะการใช้มานาที่น้อยลงมาก
ต้องขอบคุณความเร็วศักดิ์สิทธิ์นี้ทำให้มันรู้สึกเหมือนกับโลกช้าลงไป ฉันสามารถจะมองเห็นเจ้าสิ่งที่ลอยมาและการเคลื่อนไหวของการโจมตีของศัตรูได้ทีละช็อตเลย ฉันได้ตั้งสมาธิไปกับวัตถุที่ลอยอยู่นั้นและต่อยลงไป
พลังของดอร์ตูได้ทำให้ถุงมือเข้มขึ้นและมีหนามออกมา ในอีกด้านหนึ่งพลังของไพก้าก็ได้สร้างสายฟ้าสีขาวที่น่ากลัวที่ดูจะฉีกได้แม้แต่เกล็ดของมังกรออกมา
การโจมตีของศัตรูที่ฉันคาดเดาระยะทางไว้แล้วและได้ปะทะเข้ากับใจกลางของหมัดฉัน ดวงตาของฉันได้เบิกกว้างขึ้น บางคนอาจจะคิดผิดว่าฉันกำลังใช้ดวงตามารแต่ในความจริงแล้วมันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ดวงตามารของฉันมันใช้ไม่ได้ผลกับวัตถุอยู่แล้ว
แต่ว่าในตอนนี้มันทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นไปได้
ถ้าฉันสามารถใช้พลังของลิลิธได้เต็มที่เหมือนกับการใช้พลังของเขาได้สมบูรณ์มันไม่ใช่ว่าฉันจะทำให้วัตถุที่ไม่มีชีวิตกลายเป็นหินได้หรอกหรอ?
ดวงตามารของฉันได้ปล่อยเสน่ห์ผ่านออกมาจากดวงตารและทำให้เป้าหมายของมันเป็นหิน ลิลิธสามารถจะล่อลวงในวัตถุได้ด้วยเสน่ห์ของเธอและถ้าเธอมีดวงตามารแห่งการทำเป็นหิน มันก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอก็น่าจะใช้มันกับวัตถุที่ไม่มีชีวิตได้
ถึงแม้ว่าดอร์ตูจะเปลื่ยนวัตถุที่ไม่มีชีวิตเป็นโลหะได้อยู่แล้ว แต่ว่าเขาจำเป็นต้องใช้เวลาแตกต่างกันไปตามแตกสถานะของวัตถุนั่นๆ แต่ว่าถ้าฉันสามารถทำให้วัตถุที่ไม่มีชีวิตกลายเป็นหินได้ ดอร์ตูก็จะสามารถเปลื่ยนหินนั่นให้กลายเป็นโลหะได้อย่างรวดเร็วแน่นอน
ถ้ามันเป็นไปได้… ว้าว
ตอนนี้ฉันคิดออกแล้ว ฉันได้ตั้งสมาธิไปที่การโจมตีที่ดูเหมือนจะต้องการทะลวงถุงมือฉันเข้ามาและจับมันเอาไว้ เหตุผลที่ฉันเบิกตากว้างขึ้นเพราะมันทำให้มองเห็นการโจมตีที่รอยมาได้ดีกว่า
ฉันได้กระชับมือจับแน่นและต้านแรงการโจมตีกลับไป ประกายสายฟ้าของไพก้าได้สะท้อนลงมา และดอร์ตูก็ได้เพิ่มพลังในกับแรงจับของฉัน ไม่นานนักฉันก็ได้เห็นชัดว่าวัตถุนั่นมันคืออะไร
“…เชอริฟิน่าฉันมีบางอย่างที่ฉันอยากจะถาม”
เมื่อเห็นวัตถุในมือแล้วฉันได้พูดออกมาทื่อๆ ยังไงก็ตามก่อนที่ฉันจะได้รับเสียงตอบกลับอีกการโจมตีหนึ่งก็ลอยเข้ามาด้วยความเร็วมากๆ
“นี่มันคือ… กระสุน”
[ฉันจะอธิบาย]
ไม่นานนักหลังจากที่ฉันรู้ว่ามันคืออะไรเชอริฟิน่าก็พูดออกมา
[ศัตรูของโลกบนชั้นที่ 86 ได้เอาพิชิตโลกเอลพาโต แต่ว่าได้พ่ายแพ้ให้กับฮีโร่ของโลกเซด้าในตอนที่พวกเขาไปบุกรุกพวกนั้น ‘นักกำจัด’ นี้คือศัตรูของโลกที่มีความสามารถในการควบคุมและวิวัฒนาการอาวุธทั้งหมดด้วยมานาของมัน ถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่ได้มีสกิลในการสร้างอาวุธขึ้นมาเอง แต่หากว่าพวกมันมีปืนมันจะน่ากลัวมากๆ]
ฉันได้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าหลบกระสุนที่ลอยเข้ามาและตะโกนขึ้น
“อะไรนะ ที่เซด้ามันไม่ได้มีปืนหรอ?”
[มันคืออย่างนั่นแหละ]
เจ้าฮีโร่ของเซด้า โชคดีเป็นบ้าเลย