บทที่ 322 – ด้วยพลังของตัวนายเอง (2)
“คังชินเป็นไงบ้าง!?”
“ไว้ค่อยคุยนะ”
ฉันได้ตอบกลับไปอย่างไม่เต็มใจและชี้ไปในจุดที่วงเวทย์ได้หายไปหมดแล้ว เมื่อพวกปีศาจที่รอดอยู่รู้ได้ถึงพลังงานปีศาจที่สงบลงไปแล้ว พวกมันก็ได้เริ่มร่ายเวทย์ขึ้นมาทั้งๆที่ยังสับสนอยู่
“สำหรับที่กรีนแลนด์ก็เรียบร้อยแล้ว”
ลากิได้ค่อยๆลดระดับความสูงลงมา ลูน่าที่รู้สึกได้ถึงพลังไฟรอบๆปากของลากิทำให้ลูน่าได้ส่งเสียงน่ารักและกระพือปีกเสริมพลังให้กับลากิ ยุยให้สั่งให้ตั๊กแตนกลับมาอย่างรวดเร็ว น่าทึ่งมากที่ตั๊กแตนพวกนี้ยังคงสู้กับปีศาจอยู่
“แทบจะไม่มีสัญญาชีวิตเหลืออยู่บนพื้นแล้ว… จบมันในทีเดียวเลยลากิ”
[ก๊าซซซซซซซซซซ!]
ลากิได้คำรามออกมาพร้อมกับความต้องการที่จะย่างปีศาจทุกๆตัวบนพื้นดิน ในเวลาเดียวกันปากของลากิก็เปิดกว้างขึ้น
เพลิงที่รุนแรงได้ถูกพ่นลงไปข้างหน้าในทันที พวกปีศาจได้พยายามที่จะยิงพลังเวทย์เข้าใสไฟอย่างเต็มกำลัง แต่ว่านี่มันเทียบไม่ได้กับราชาแห่งเพลิงเลย
หนึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเราก็ได้กระโดดลงมาบนพื้นที่ร้อนอยู่อย่างยินดี
“หืม นี่ไม่มีอะไรเหลือรอดอยู่บนพื้นแล้ว”
ฉันได้มองไปรอบๆพร้อมพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มแห้งๆ จากนั้นเดซี่ก็เข้ามาต่อว่าฉัน
“ดูให้ละเอียด พลังของโลกกับปีศาจ ถ้ามีเหลือพวกมันจะเกิดเพิ่มอีก”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีพวกปีศาจเหลืออยู่ในกรีนแลนด์แล้ว”
“…กรีนแลนด์เล็ก?”
“ไม่หรอก ที่นี่ใหญ่กว่าเกาหลี 21 เท่าเลยล่ะ”
“ถ้างั้นนายรู้ได้ยังไง”
เดซี่ได้ถามออกมา แต่ว่าฉันเองก็สงสัยเหมือนกัน
“อ่า ฉันรู้ได้ยังไงน่ะหรอ?”
“นายไม่ควรมาถามฉันนะ”
จากนั้นเยอึนก็เข้ามาแทรก
“บางทีจู่ๆความสามารถของชินก็เพิ่มล่ะมั้ง?”
“ไม่หรอก ฉันกำลังพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าระยะตรวจจับของฉันก่อนหน้านี้มีแค่เท่าเกาหลีเอง แต่จู่ๆมันกลับเพิ่มขึ้นมากกว่า 20 เท่าซะอีก”
“ฉันคิดว่าแค่นั้นก็น่าทึ่งแล้ว..”
แน่นอนว่าความต่างเดียวที่น่าจะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจะต้องเป็นเพราะที่ฉันใส่อยู่
“เข้าใจแล้ว เกราะนี่น่าจะช่วยเพิ่มระยะตรวจจับของฉันล่ะมั้ง?”
ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ตอนนี้ฉันก็ได้ยืนยันแล้วว่าไม่มีปีศาจเหลืออยู่ที่กรีนแลนด์อีก ถ้าหากว่ายังมีแล้วฉันตรวจไม่พบ นั่นก็คงจะเป็นปีศาจที่เป็นเดม่อนลอร์ดแน่
จากนั้นเดซี่ก็เอียงหัวสงสัยถามกับฉัน
“โดยการลดพลังป้องกัน?”
“แน่นอนว่าไม่ ฉันคิดว่า…”
ฉันได้ปฏิเสธออกไป ไม่ว่าเกราะนี่จะเพิ่มระยะตรวจจับค้นหาของฉันยังไง แต่หากมันเสียพลังในการป้องกันไปมันจะไร้ค่าแน่นอน จากนั้นเยอึนก็ชูมีดสั้นของเธอขึ้นมา
“ชิน เราควรจะทดสอบดูไหม?”
“…ทดสอบหรอ?”
ถึงฉันจะกังวลนิดๆ แต่ว่ามันก็จริงที่ฉันจะต้องทดสอบในการป้องกันของเกราะ ฉันได้ยื่นแขนออกไปแบบกังวลนิดๆ
“เอาเลย”
“อื้อ ย่ะห์! กรี๊ด!”
หลังจากเยอึนฟันลงมาสุดแรง จู่ๆเธอก็ร้องออกมาพร้อมทั้งกระเด็นถอยออกไป ฉันได้รีบพุ่งไปด้านหน้าคว้าเธอเอาไว้ก่อนจะล้มทันที
ยังไงก็ตามแรงสะท้อนที่เธอได้รับมันมากกวาที่ฉันคิด พูดง่ายๆคือถ้าฉันไม่ระวังฉันก็จะกระเด็นไปด้วยกับเธอ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ตอนฉันโจมตีไปฉันถูกดีดกลับมา โอ้ยย มันเจ็บ!”
“เจ็บหรอ?”
เป็นไปได้ด้วยหรอ…? ฉันได้มองลงไปที่แขนของเยอึนที่โจมตีมาที่ฉัน อย่างที่คิดไว้คือยังไม่หัก แล้วก็ไม่มีแผลเลยสักนิด ขนาดฉันสัมผัสแล้วฉันก็ยังไม่รู้สึกอะไรเลย
“มันดูเหมือนจะสะท้อนการโจมตีกลับเหมือนกัน…”
แน่นอนว่าส่วนที่สำคัญคือเกราะนี่สะท้อนการโจมตีกลับไปได้มากแค่ไหน ในเวลาแบบนี้มีเพียงคนๆเดียวเท่านั้นที่จะให้คำตอบฉันได้! ภาพของมนุษย์มังกรที่ชูนิ้วโม้งได้ปรากฏขึ้นมาในหัวของฉัน
ไม่ ตอนที่ฉันคิดถึงมันไม่ใช่นิ้วโป้งสิ มันเป็นนิ้วกลางต่างหาก
“แล้วเกราะนี่นายจะถอดยังไง”
“นั่นสินะ…”
ฉันได้ถูกเกราะหุ้มเอาไว้ทั้งตัว ตรงข้อต่อก็ยังไม่มีรอยแยกอะไรเลย ถึงมันจะดูสมบูรณ์แบบมากในทางป้องกัน แต่ในเวลาเดียวกันการจะถอดออกมาก็ต้องลำบากมากแน่ๆ การใส่มันไว้ตลอดก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกแต่แค่มันน่าอายไปหน่อยไหมเนี้ย!?
ในเวลานี้ เวลาที่ฉันตรวจพบว่ามานาของฉันได้กลับมาสู่สถานะที่ไม่ใช่การต่อสู้ ตัวเกราะนี้ก็ได้เปล่งแสงออกมา จากนั้นก็เริ่มขยับเหมือนกันดินน้ำมันบนร่างกายของฉันโดยที่เริ่มขึ้นจากรองเท้า
“ว้าว ชิน นี่เหมือนสไลม์เลย”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ!”
จากนั้นเขาของฉันก็ส่งแสงอ่อนๆออกมา เหมือกคล้ายดินน้ำมันนี้ก็ตอบสนองต่อแสงและถูกเขาดูดเข้าไป ไม่นานนักเกราะที่ปกคลุมทั้งตัวของฉันก็ได้หายไปจนหมด และฉันก็ยังรู้สึกได้ว่ามันอยู่ภายในเขาของฉัน
“อืมม ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันรู้แล้ว…”
“เกราะอะไรเนี้ยน่าขนลุกจัง!”
“ไม่!”
แทนที่จะเรียกมันว่าเกราะ มันกลับเหมือนก้อนพลังงานที่มีสติปัญญาคอยปกป้องเจ้าของมากกว่าอีก ตัวเกราะนี้ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเชอราฟิน่าถึงมองไม่ออก
องค์ประกอบขอเกราะตัวนี้มีพลังปีศาจที่ลบล้างพลังของดันเจี้ยน แล้วก็ยังมีมานาจำนวนมหาศาลกับพลังปีศาจด้วย มันมีกระทั่งพลังดั้งเดิมของเกราะความปรารถนาทมิฬ แล้วก็ยังมีพลังของโลกที่เอลีนเคยใช้มาก่อนด้วย เพราะแบบนี้มันจึงเป็นวัตถุที่ดันเจี้ยนไม่อาจจะแทรกแซงได้เลย
เกราะความปรารถนาที่ทมิฬเป็นไอเทมที่หลินได้ใช้วัตถุดิบที่ฉันซื้อมาทำขึ้น เนื่องจากว่าหลินต้องการที่จะหลีกหนีจากอิทธิพลของดันเจี้ยนทำให้ไม่แปลกเลยที่เกราะความปรารถนาทมิฬจะวิวัฒนาการมาเป็นแบบนี้
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดูข้อมูลของเกราะตัวนี้ ในเมื่อเชอราฟิน่าดูไม่นอกดังนั้นก็จะไม่มีทั้งค่าสเตตัสหรือสกิลอะไรทั้งนั้น
และในเมื่อสเตตัสเสริมจากเกราะความปรารถนาทมิฬได้หายไปเพราะกฏของระบบดันเจี้ยนทำให้นี่มันนับได้ว่าฉันได้สูญเสียไปอย่างมาก แต่ยังไงก็ตามฉันกลับไม่คิดแบบนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่จุดยืนของดันเจี้ยนยังไม่ชัดเจน การได้แยกตัวออกมาจากดันเจี้ยนนี้เป็นสิ่งที่ดี ต่อให้ไม่มีค่าสเตตัสเสริม ฉันก็รู้ถึงปริมาณมานาที่น่ากลัวที่เกราะครอบครองอยู่ และฉันก็รู้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ปกป้องฉันได้
ต่อให้มีมอนสเตอร์ที่ไม่ได้ผลกระทบจากพลังของดันเจี้ยนปรากฏตัวออกมา มันก็ไม่อาจจะลดพลังของเกราะนี้ได้ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันพอใจมาก
แบบนี้เราก็ได้จัดการกรีนแลนด์ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ฉันได้เคยสู้กกับราชา ดยุคหรืออะไรก็ตามในที่ที่ฉันต้องไปจัดการกวาดล้าง แต่ว่าในตอนนี้พวกเราทุกคนก็เกือบจะถูกฆ่า
เพราะคำพูดของดยุคนั่นที่บอกว่าอีกไม่นานฉันจะได้พบกับเดม่อนลอร์ดในอีกไม่นานทำให้ฉันจะต้องรีบจัดการทำสิ่งที่ทำได้ในดันเจี้ยนให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ลางสังหรณ์ของฉันได้กระตุ้นฉันแล้ว
***
“นี่คือผลของการวิวัฒนาการสินะ?”
“นายก็ดูสิ”
หลินได้ตรวจดูเกราะที่ปกคลุมร่างฉันอยู่และแสยะยิ้มออกมา
“ฉันควรจะเรียกนายว่าคาเมนไรเดอร์ป่ะ?”
“เมตตาฉันเถอะนะ”
ฉันไม่ได้เห็นลีออนที่น่าจะอยู่กับหลินเลย หลินก็ได้พูดออกมาเมื่อเห็นฉันมองไปรอบๆ
“ลีออนไปปีนดันเจี้ยนอยู่ ในทุกครั้งที่เขาได้เรียนรู้จากฉัน ฉันก็จะส่งเขาไปในดันเจี้ยนเพื่อได้รับรู้เองด้วยร่างกายไงล่ะ”
“เข้าใจแล้ว… แล้วเขาเป็นยังไงมั้งล่ะ?”
“ดีทีเดียว”
หลินได้พูออกมาสั้นๆ เขาก็ดูจะคิดว่านี่มันยังอธิบายได้ไม่ดีทำให้เขาพูดเสริมขึ้นมาอีกนิด
“เขาดีกว่าที่ฉันคิดเอาไว้อีก ตัวเขายอดเยี่ยมเลยล่ะ”
“ก็ดีแล้วล่ะนะ”
“แต่แน่นอนว่าถ้าเทียบกับนายแล้วเขายังด้อยกว่า แต่ถึงแบบนั้นเขาก็พอใจ ถ้านายไม่ได้อยู่ด้วย เขาก็น่าจะเป็นฮีโร่ได้เลยล่ะ”
“โอ้หลิน เขาคงดีจนนายอยากจะไปกอดจูบเขาเลยสินะ”
“อะไร? นี่นายกำลังดูถูกการประเมินตรงๆของฉันงั้นหรอ?”
“ไม่ใช่ว่านายซึน… ไม่สิ ชั่งเถอะ”
หลินได้มองมาที่ฉันครู่หนึ่งก่อนจะส่งเสียงหึขึ้นมา
“ยังไงก็ตามมาที่ ฉันจะดูมันใกล้ๆ”
“ขอบคุณนะ ยังมีเรื่องที่ฉันอยากจะขอเป็นพิเศษด้วย นายพอจะรู้ไหมว่าเกราะนี่ยังมีสกิลอยู่ไหม?”
“สกิล? นายไม่ได้สกัดออกมาไว้ง้้นหรอ?”
“พลังนั่นเป็นส่วนหนึ่งของพลังเราะ ฉันก็เลยไม่ได้สกัดเผื่อเอาไว้น่ะ”
“นายนี่นะ”
ฉันได้ยื่นแขนออกไปและหลินได้ใช้ค้อนทุบลงมาเบาๆ จากนั้นเขาก็ต้องอ้าปากค้างเกือบปล่อยค้นออกไป การโจมตีนี้ของเขาได้ถูกสะท้อนกลับมา
“ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ!”
“อื้ม!”
หลังจากนั้นหลินก็เริ่มตรวจสอบเกราะของฉันอีกครั้ง ออร่าสีแดงชาดที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาดูเหมือนจะกำลังเชยชมชุดเกราะนี้ หลังจากเวลาผ่านไปสักพักหลินก็ครางขึ้นมาเบาๆและเก็บออร่ากลับคืนไป
“สัตว์ประหลาดในหมู่สัตว์ประหลาด อุปกรณ์เวทย์… ฉันไม่รู้เลยว่ามันถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นแบบนี้หรือว่าเกิดจากการเปลื่ยนแปลงเพราะถูกใส่พลังของโลกเอลีนเข้าไปหรือเปล่า”
“นายเจออะไรไหมล่ะ?”
“ใช่ อย่างแรกเลยสกิลทั้งหมดหายไปแล้ว”
“บ้าเอ้ย”
อย่างน้อยฉันก็น่าจะสกัดสกิลสังเวยเลือดไว้สิ! หนามปรารถนาที่เสริมพลังโจมตีในการพุ่งของฉันแล้วก็ขโมยพลังชีวิตของศัตรู แล้วก็ยังมีสกิลกลืนกินที่จะขโมยพลังชีวิตของศัตรูในตอนที่พลังชีวิตของฉันต่ำกว่า 10% อีกด้วย แต่ว่าเมื่อเทียบกับสกิลสังเวยเลือดที่จะเพิ่มพลังโจมตีฉันสองเท่าแล้ว สองสกิลก่อนหน้านี้เทียบไม่ได้เลย น่าเสียดายจริงๆเลย
“แต่ว่าฉันก็ถอดรหัสสกิลใหม่มาได้”
“นายควรจะบอกฉันก่อนสิ!”
“แทนที่จะเรียกว่าสกิล มันน่าจะเป็นพลังอำนาจมากกว่า ช่วงชิง”
“…บีบคั้น?”
“การสะท้อนพลังโจมตีกลับไปเป็นผลติดตัวจากบีบคั้น มันจะขโมยพลังโจมตีของศัตรูเพื่อโจมตีกลับคือไป ดูเหมือนสกิลของเกราะความปรารถนาทมีฬจะมีผลกับสกิลนี้”
“บีบคั้น… พอมาคิดดูแล้ว ทั้งกลืนกินกับหนามปรารถนาก็ขโมยพลังชีวิตศัตรูเหมือนกัน ถ้างั้นนี่คือการรวมกันแล้วพัฒนาขึ้นมาเป็นสกิลนี้งั้นสิ?”
ฉันได้กำมือและคลายออก พอนึกย้อนกลับไปดูแล้ว ฉันได้เคยมีประสบการณ์กับพลังของบีบคั้นส่วนหนึ่งมาแล้วในตอนที่เกราะนี้สร้างขึ้น มันไม่เพียงแต่จะกลืนกินปีศาจที่เหลืออยู่เท่านั้น แต่ว่ามันยังยึดเอาวงเวทย์มาทำให้เป็นพลังของตัวเอง
มันยังทำให้การระเบิดตัวตายครั้งสุดท้ายที่ดยุคพยายามจะทำไร้ผลไปอีกด้วย ช่วงชิง แน่นอนว่านี่เป็นความสามารถที่เหมาะสมกับเกราะที่เกิดขึ้นมาจากการรวมแก่นแท้ของปีศาจชัดๆ
“เจ้าสิ่งนี้มันเชื่อมต่อกับนายแล้ว มันจะไม่เป็นแค่ของที่จะปกป้องตัวนายเท่านั้น แต่มันจะเป็นส่วนหนึ่งของนาย เข้าใจไหม? ในตอนนี้มันอาจจะดูเหมือนเกราะ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เกราะ การเรียกมันว่าเกราะจะเป็นการดูถูกเกราะทั้งหมดที่ฉันเคยทำขึ้นมา”
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน มันไม่ใช่เกราะ”
“นั่นแหละฉันถึงเรียกมันว่าพลังอำนาจ ช่วงชิงไม่อาจจะใช้กับอะไรหรือใครที่แกร่งกว่านายได้”
“ฮ่าฮ่า ฉันไม่คิดว่ามันจะสะท้อนการโจมตีของเดม่อนลอร์ดได้อยู่แล้ว”
ในตอนนี้เองหลินก็ยื่นหน้าเข้ามาหาฉัน ใบหน้าหล่อๆของเขาได้ขมวดคิ้วขึ้นมา
“นั่นมันอันตรายยิ่งกว่าอีก ยิ่งนายแกร่งขึ้น ช่วงชิงก็จะแกร่งตามไปด้วย นายเข้าใจไหมล่ะว่าทำไมมันถึงถูกเรียกว่าช่วงชิง? นั่นเพราะฉันไม่อาจจะอธิบายมันให้ละเอียดกว่านี้ได้แล้ว ตราบใดที่นายมีพลังนี้ อำนาจนี้จะทำให้นายสามารถขโมยอะไรก็ได้ด้วยวิธีต่างๆ… นี่มันคือขอบเขตของเทพเจ้า”
“ก่อนอื่นนายช่วยเอาหน้าถอยออกไปก่อนได้ไหม?”
ฉันได้จับไหล่ดันเขาถอยออกไป
“เกราะนี้มีพลังของเทพเจ้างั้นหรอ? เหมือนกับนามแห่งเทพงั้นหรอ?”
“มันไม่ใช่เกราะ มันคือนายนั่นแหละคังชิน”
“หา?”
“ฉันบอกไปแล้วไงว่ามันไม่ใช่เกราะ แต่มันคือส่วนหนึ่งของนาย”
หลินได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“นายได้กลายเป็นเทพแล้ว”