บทที่ 337 – คลื่นลูกสุดท้าย (7)
หลังจากจัดการวิกฤติที่ญี่ปุ่นเสร็จแล้ว เราได้รีบกลับไปที่เกาหลี ในระหว่างกำลังเกิดการเคลื่อนย้ายดินแดนอยู่นี้ พวกเราไม่รู้เลยว่าที่ไหนจะเป็นที่ถัดไป
เมื่อสิ่งต่างๆได้เกิดขึ้นตามที่กิลด์รีไววอร์ลได้พูดเอาไว้ ผู้คนส่วนน้อยที่ในตอนแรกยังมีความสงสัยอยู่ได้เริ่มอพยพด้วยความตื่นตระหนก และการอพยพได้เริ่มดำเนินการกันอย่างเร่งด่วนยิ่งขึ้น
ในเวลาเดียวกันภาพการสังหารหมู่ที่ญี่ปุ่นและการกวาดล้างของรีไววอร์ลได้แพร่กระจายออกไปทำให้มีคนพูดถึงฉันกันมากยิ่งขึ้้น ไม่ใช่มีแค่ฉันเท่านั้น แต่รวมถึงทุกๆคนด้วยที่ถูกพูดถึง
ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือวงแหวนแสงที่หมุนวนอยู่รอบๆเขาของฉัน ยิ่งเวลาผ่านไปมันก็ยิ่งมันคงสเถียรมากขึ้น ฮวาหยาได้ชี้ไปที่วงแหวนแสงนี้และถามออกมา
“นายเคยได้ยินเรื่อง Halo(วงแหวนเทวดา) ไหม?”
ฉันได้ตอบกลับไปขำๆ
“ฉันเคยได้ยิน แต่ว่ายังไม่ได้เล่น”
“ไม่ได้หมายถึงเกมส์”
ฉันได้ยิ้มออกไปและส่ายหัวออกมา แน่นอนว่าฉันรู้ว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร
“อย่ามาไร้สาระน่า ฉันไม่ใช่เทวดาหรือนักบุญอะไรซักหน่อย ทำไมเจ้านี่ถึงได้จะเป็นวงแหวนเทวดาล่ะ?”
“ถ้างั้นจะเป็นอะไรไปได้อีก?”
“…”
ฉันได้แตะไปที่เขาโดยที่ไม่มีอะไรจะพูดได้อีก ฉันสามารถจะสัมผัสได้ก็แต่ความอบอุ่นเล็กๆเท่านั้น ฉันไม่ได้รู้สึกถึงตัววงแหวนบนหัวเลย
ฉันได้หลับตาลงตั้งสมาธิไปอยู่ที่ขา อย่างที่คิดเลยมันไม่ได้ให้ความรู้สึกต่างไปจากเดิมเลย ฉันได้หยักไหล่ถามฮวาหยาออกไป
“ฮวาหยา ฉันดูเป็นยังไงบ้าง?”
“หนุ่มรูปหล่อที่มีเขากับวงแหวน”
“ไม่ใช่แบบนั้น ฉันดูต่างจากเดิมไหม?”
“ใช่แล้ว ต่างจากเดิม”
ฮวาหยาได้ตอบกลับมาในทันที
“ก็พูดยากนะ มันรู้สึกเหมือนว่าจะเข้าถึงได้ยาก ต่อให้ฉันอยากจะกอดชิน แต่ก่อนที่จะทำแบบนั้นฉันก็รู้สึกลังเล มันเหมือนกับความชื่นชม… ล่ะมั้ง… ชินรู้ใช่ไหมว่าเวทย์จิตใจส่วนใหญ่มันไม่ได้ผลกับฉัน แต่ว่านี่มันกลับส่งผลต่อฉัน”
“ให้ตายสิ”
หากฮวาหยาบอกแบบนี้ก็แน่ใจได้เลยว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายฉันอย่างแน่นอน
แต่ว่าฉันไม่เห็นจะรู้สึกถึงความต่างๆใดๆเลย ถึงแม้ว่าฉันจะได้เรียนรู้การควบคุมพลังในร่างมากแล้ว แต่ฉันไม่อาจจะทำอะไรกับวงแหวนนี่ได้เลย
หลังจากแตะเขาดูและพยายามจะควบคุมแสงมาหลายนาที สุดท้ายฉันก็ยอมแพ้และทิ้งตัวลงไปบนโซฟา
“นี่มันดีไหมนะ?”
“นี่คือความคิดของนายในตอนที่มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นกับร่างกายนายเนี้ยนะ?”
ฮวาหยาได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มแปลกๆ
“ฉันคิดว่านายไปไกลมากแล้วนะ แต่ว่านายก็ยังคงเป็นชินคนเดิมที่ฉันรู้จักเป็นอย่างดี”
“ไปไกลนี่เธอหมายความว่ายังไง ถ้าจะมีอะไรก็คงจะเป็นฉันได้ใกล้ชิดกับเธอมากกว่าเก่ามากกว่านะ”
“หากว่าสามีนายมีหลอดไฟอยู่บนหน้าผาก ฉันมั่นใจเลยว่านายจะต้องกลัวเหมือนฉันนั่นแหละ”
ฉันอดไม่ได้ที่จะต้องหัวเราะออกมากับคำพูดของเธอ
“กลัว? ฉันเนี้ยนะ?”
“ฉันอาจจะไม่กลัวเรื่องอื่น แต่เมื่อคิดว่าหากมีเรื่องแย่ๆเกิดขึ้นกับนายหรือแม่ของฉันก็ทำให้ฉันกลัวทบบ้าแล้ว เพราะงั้นอย่ามาขำนะ”
ฮวาหยาได้ขมวดคิ้วขึ้นมา และมีบอลเพลิงปรากฏขึ้น นี่คือเทคนิคที่เธอได้เรียนรู้หลังจากที่เธอได้รับนัยน์ตาปีศาจและความสามารถในการใช้เพลิงของเธอได้ถูกเพิ่มพลังขึ้น ฉันได้ตัดสินใจทันทีที่ว่าฉันจะต้องพูดสิ่งจำเป็นออกไป
“ไม่ต้องห่วงฮวาหยา ฉันจะอยู่กับเธอตลอดไป”
“ในเมื่อพูดมาแล้วก็อย่าได้ถูกเดม่อนลอร์ดฆ่าไปเชียวนะ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ตายหรอกน่า สิ่งที่จะฆ่าฉันได้มีแค่ตัวฉันเองเท่านั้นแหละ”
“แล้วก็ห้ามอยู่ๆพูดขึ้นมาว่าเบื่อโลกมนุษย์และไปสวรรค์เชียวนะ”
“บ้าอะไรล่ะนั่น ไม่ว่ายังไงก็ยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่ฉันยังทำไม่สำเร็จ เพราะงั้นเป็นห่วงเรื่องพวกนั้นก่อนดีกว่า มานี่มา”
ในเมื่อฉันไม่รู้ว่าจะมีเรื่องยุ่งอะไรเข้ามาอีก เพราะงั้นฉันจะต้องดูแลเธอในตอนที่ยังทำได้ เมื่อฉันได้ดึงฮวาหยาเข้ามากอด เธอก็ไม่ได้ต่อต้านใดๆ
“เยี่ยมมาก 99 แต้ม”
“แล้วอีกแต้มล่ะ”
“นายรู้อยู่แล้ว”
ฮวาหยาได้มองตาฉันด้วยรอยยิ้มเขินอาย เพราะรอยยิ้มนี้ของเธอทำให้ฉันลืมเรื่องวงแหวนหรือเทวดาอะไรนั่นไปอย่างสิ้นเชิง
ในคราวก่อนวอร์คเกอร์ได้มาขัดจังหวะเราเอาไว้ โชคดีที่ในคราวนี้ไม่มีใครมาขัดจังหวะอีกแล้วทำให้ฉันได้มีเวลาที่จะรับแต้มสุดท้ายมา
****
จากการเริ่มเคลื่อนย้ายดินแดนที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันในญี่ปุ่นได้ทำให้ชาวโลกได้ตื่นตัวกันขึ้นมา เหล่าคนที่ทำงานด้วยผลประโยชน์แอบแฝงในสถานการณ์นี้ได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์ และทำให้การอพยพทั่วทั้งโลกถูกเร่งให้เร็วยิ่งขึ้น
ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกแล้วว่าผู้คนได้มองฉันเป็นเหมือนตัวตนที่เหนือมนุษย์ไปแล้ว
ในอดีตฉันยังคงทำตัวเหมือนมนุษย์อยู่ แต่ในตอนนี้ฉันอยู่ในระดับที่สูงไปแล้ว นี่มันให้ความรู้สึกแปลกๆแหะ
[หัวหน้ากิลด์รีไววอร์ล คังชิน ได้มาที่บนโลกในปี XXXX ที่โรงพยาบาลในกรุงโซล…]
“โอ้ นี่มันเรื่องเกี่ยวกับชินล่ะ”
“เยอึน ปิดมันซะ”
ข่าวในทีวีทุกวันนี้มีแต่เรื่่องซุบซิบนินนาของฉันอยู่เต็มไปหมด เอาสิ ดูสิ ฉันมาที่โลกใบนี้อะไรกัน!?
เยอึนได้เปลื่ยนช่องแทนที่จะปิดทีวี ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่ได้ต่างไปจากเดิมเลย
“ชินดูสิ! นั่นโรงเรียนเราล่ะ!”
เพราะฉันไปสนใจอยู่แต่กับปืนดันเจี้ยนทำให้ฉันแทบจะจำไม่ได้แล้ว เมื่อคิดไปถึงชายที่กำลังพูดอยู่หน้ากล้องอย่างตื่นเต้นทำให้ฉันนึกได้ว่าเขาน่าจะเป็นศาสตราจารย์แผนกธุรกิจ
“ทำไมศาตราจารย์ที่ฉันจำไม่ได้ถึงกำลังพูดถึงฉันได้ล่ะ?”
[เขาเป็นนักเรียนที่พิเศษมากๆ เขาแทบจะไม่มาโรงเรียนเลย แต่ว่าเกรดและประสิทธิภาพในการทำงานของเขายอดเยี่ยมมาก ผมน่าจะรู้ได้แล้วตั้งแต่ตอนนั้น… มีผู้หญิงมากมายที่ตกหลุมรักเขา แค่ผมมองไปที่เขาก็ทำให้ผมรู้ได้เลยว่าเขาไม่ใช่เด็กธรรมดา]
เขากำลังแต่งนิยายแน่ๆเลย นอกจากนี้เพราะเขาได้พูดถึงนักเรียนหญิงได้ทำให้หญิงสาวทุกคนในบ้านกิลด์ได้มองมาที่ฉันจนทำให้ฉันดูตลกไปเลย ฉันได้ปิดทีวีและสาบานว่าแค้นนี้ต้องชำระแน่นอน
ปัญหาที่ยิ่งกว่านั้นก็คือเรื่องแบบนี้ได้เกิดขึ้นในทุกๆวัน และในที่สุดภูเขาไฟที่หลบไหลมานานก็ประทุขึ้นมา
“ถ้าเป็นแบบนี้ได้มีลัทธิคังชินแน่ๆ”
“ฉันกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆน่ะจริง อย่าไปพูดถึงมันเลยนะวอร์คเกอร์”
“หากว่ามันไม่เกิดขึ้นก็คงน่าแปลกใจมากกว่าอีกนะ”
ในอีกด้านหนึ่ง รูเดียได้ทำตัวเหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ ในเรื่องนี้เธอได้เป็นเช่นเดียวกับเคียร่า
“ผู้คนบนโลกจำเป็นต้องรู้สึกขอบคุณ โลกส่วนใหญ่ได้ล้มเหลวไปตั้งแต่การต่อสู้ครั้งแรกแล้ว เพราะงั้นฮีโร่ของพวกเขาจึงไม่อาจจะไปถึงจุดสูงสุดของโลกตัวเองได้ต่อให้จะผ่านไปเป็นสิบปีก็ตาม โลกแบบนั้นโดยทั่วไปแล้วมักจะจบลงด้วยการสูญเสียโอกาสในการยืนหยัด แต่ว่าชินได้จัดการพัฒนาตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูงในเวลาแค่ไม่กี่ปี และยังลดความเสียหายจากการที่ถูกสองโลกบุกเข้ามาพร้อมๆกันให้เหลือน้อยที่สุดอีก มันก็คงจะน่าแปลกใจแน่ๆหากไม่มีใครบูชาชิน”
“นั่นมันก็เพราะว่าโลกมีหลายศาสนาอยู่แล้ว นอกไปจากนี้โดยเฉลี่ยแล้วผู้คนบนโลกเราก็มีการศึกษาโดยเฉลี่ยที่มากกว่าต่างโลก พวกเขาคงจะรู้สึกแปลกหากว่าต้องมาบูชาคนที่ยังมีชีวิตอยู่”
“แต่เนื่องจากว่าเราได้มีสัมพันธ์ที่ดีกับนครวาติกันและแสดงท่าทีที่ไม่เคยแพ้ออกไปต่อหน้าทุกคน พวกเราก็เลยได้โค่นล้มความรู้เดิมพวกเขาไป”
“เรื่องพวกนั้นมันไม่ได้สำคัญเลยสักนิด”
ฉันได้ขัดคนอื่นๆที่มัวแต่วิเคราะห์ในเรื่องนี้ออกไป
“แน่นอนว่าถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะให้พวกเขาหยุดทำแบบนั้น แต่ว่าหากนี่มันช่วยให้มีผู้รอดชีวิตมากขึ้น ถ้างั้นตอนนี้ฉันจะปล่อยเอาไว้ก่อน ฉันจะปล่อยเอาไว้จนกว่าฉันจะเอาชนะเดม่อนลอร์ดได้เพราะงั้นนี่มันไม่ได้สำคัญแล้ว”
“คังชิน เครื่องประดับเขานายดูใหญ่ขึ้นนะ”
“อึก อย่าพูดถึงมันสิ ฉันไม่อยากจะคิดถึงเขานี่แล้ว”
วงแหวนแสงสีทองที่วอร์คเกอร์เรียกว่าเครื่องประดับเขา จริงๆแล้วมันกำลังมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ ฉันไม่อยากจะคิดเลยว่าหากคนธรรมดาได้มาเห็นวงแหวนนี่จะคิดกันไปยังไง แน่นอนว่าในตอนนี้ยังมีเรื่องอื่นอีกมากที่ฉันต้องกังวล เพราะงั้นฉันจึงไม่ได้คิดอะไรในเรื่องนี้มานัก
“อะแฮ่ม ยังไงก็ตามสิ่งสำคัญในตอนนี้คือพวกเราจะแบ่งกันยังไง พวกเราทุกคนจะมาอยู่ในบ้านกิลด์ไม่ได้ในเมื่อเราไม่รู้ว่าจะเกิดการเคลื่อนย้ายดินแดนเมื่อไหร่ พวกเรายังมีอีกหลายอย่างที่จะได้รับจากดันเจี้ยน เพราะงั้นพวกเราจะต้องสับเปลื่ยนกัน”
สิ่งสำคัญคือบ้านกิลด์จะต้องไม่ว่างเปล่าเด็ดขาด สมาชิกรีไววอร์ลเต็มไปด้วยผู้ใช้พลังที่แกร่งที่สุด ฉันได้จัดตั้งฐานของทีมที่มีสาชิกที่แข็งแกร่งอยู่บ้างให้พวกเขาอยู่ในบ้านกิลด์เพื่อที่จะจัดแบ่งหน้าที่ให้พวกเขาได้อีกด้วย เพราะแบบนี้คนอื่นๆก็จะได้รับข้อมูลในทันทที่เกิดการเคลื่อนย้ายดินแดนขึ้น
“เป็นโลกที่น่าทึ่งมากๆเลย หากว่าเราสามารถรับข้อมูลและมาถึงฐานทัพได้รวดเร็วแบบนี้…”
เคนดูจะประทับใจมากๆกับการดำเนินงานทุกๆอย่างที่ราบรื่น เมื่อเห็นสีหน้าตกใจของเขาเป็นครั้งแรกได้ทำให้ฉันหัวเราะออกมา
“หากว่าไร้พลังมันก็จะไร้ความหมายเช่นเดียวกัน เพราะงั้นฝากด้วยนะเคน”
“ฉันแค่จะทำตามสิ่งที่ฉันได้สัญญาเอาไว้ ตราบใดที่เรายังคงมีสัญญาร่วมกันอยู่ ฉันก็จะทำตามที่นายต้องการ”
ฉันพอใจกับคำตอบที่น่าไว้ใจของเขามา ฉันได้พูดออกไปอีกด้วยรอยยิ้ม
“อย่างที่นายรู้ตอนนี้เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”
“ฉันก็กำลังเฝ้ารอคอยอยู่”
หลังจากผ่านการเคลื่อนย้ายดินแดนในญี่ปุ่นไปแล้วหลายสิ่งๆก็ได้เปลื่ยนไป ยังไงก็ตามสิ่งรอบๆตัวฉันก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
ฉันได้กลับไปมุ่งหน้าสู่ดันเจี้ยนอีกครั้งหนึ่ง ในตอนนี้ฉันอยากที่จะได้เห็นจุดจบของดันเจี้ยนด้วยสายตาของตัวเอง
เป้าหมายถัดไปก็คือชั้นที่ 95 ชั้นของบอส
ความยากลำบากในการผ่านแต่ล่ะชั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ชั้นที่ 91 และในตอนนี้ที่ฉันมาถึงชั้นที่ 94 ฉันก็ต้องใช้เวลาถึงสิบวันเพื่อที่จะผ่านมันไปให้ได้
ฉันยังคงเจอเข้ากับมอนสเตอร์ขนาดยักษ์เหมือนกับในชั้้นที่ 91 มีทั้งโกเลมยักษ์หรือคราเคนเต็มไปหมดให้ฉันต้องทำลาย
ฉันคิดว่าบอสประจำชั้นที่ 95 ก็น่าจะคล้ายๆกัน ห้องบอสประจำชั้นในชั้นที่ 95 ต่างจากห้องบอสในชั้นอื่นๆก็คือของชั้นที่ 95 ทั้งชั้นคือห้องของบอส ในทันทีที่ฉันเข้าไปในชั้นที่ 95 ฉันก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา
[ในที่สุดก็มีมนุษย์เข้ามาถึงตัวฉัน น่าเหลือเชื่อจริงๆ]
“…”
ถึงแม้ว่าฉันจะมองไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยใดๆของเขา แต่ว่าฉันก็ได้ยินเสียงของเขาอย่างชัดเจน
[ฉันขอแสดงความเคารพต่อหนาผู้ท้าชิงที่กำเนิดขึ้นในร่างมนุษย์ แต่ก็ยังพยายามที่จะก้าวข้ามมนุษย์ แต่ว่านะพลังจะอยู่กับผู้ที่เหมาะสมกับมันเท่านั้น]
พื้นที่รอบๆตัวได้เปลื่ยนเป็นดำมืดไปในทันที ฉันรู้เหตุผลได้ในทันที สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์กำลังบดบังแสงของโลกอยู่
[เพราะฉะนั้นฉันจะเป็นคนทดสอบความตั้งใจของนายเอง พร้อมแล้วนะมนุษย์?]
ฉันได้มองขึ้นไปเห็นมังกร