Kimi wa Hontouni Boku no Tenshi nano ka – ตอนที่ 1 งานจับมือ

“พรุ่งนี้แล้วสินะ………..ในที่สุด…….”

 

ผมพึมพัมออกมาแล้วจ้องไปที่บัตรจับมือที่ถืออยู่

ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันงานแล้วก็ตามที แต่หัวใจของผมก็ยังเต้นแรงรวมถึงมือของผมเองก็สั่นเทิ้มไปหมดเมื่อได้หยิบตั๋วจับมือขึ้นมา

รู้สึกประหม่าจัง……..

และจากแท็บเล็ตที่วางอยู่บนตรงของผม ผมได้ยินสตรีมสดของเซย์ไซ อากิระ

 

“ไอดอลสุดเพอร์เฟ็ค เซย์ไซ อากิระ ………..งานจับมือครั้งแรกในฐานะของศิลปินเดี่ยว”

 

ผมบ่นพึมพัมออกมาอย่างเหม่อลอยแล้วผมก็สูดหายใจเข้าแล้วก็ถอนหายใจออกอย่างช้าๆและผมก็เอาบัตรจับมือเก็บเข้ากระเป๋าของผมอย่างระมัดระวังพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา

มันจะเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เข้าร่วมงานอีเว้นท์จับมือ

ตอนอยู่ชั้น ป.3 มันคือช่วงที่ผมได้สัมผัสกับวัฒนธรรมไอดอลเป็นครั้งแรกแล้วก็ได้หลงไหลไปกับมันนับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาและเวลาก็ล่วงเลยไปนานซะจนตอนนี้ผมก็พบว่าตัวเองก็ปาไปมหาลัยปี 2 เข้าไปแล้วถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะยังเป็นโอตะที่คอยตามไอดอลมาเป็นเวลาช้านานแต่จริงๆแล้วผมไม่เคยได้เข้าร่วมจับมือไอดอลเลยเนื่องจากเหตุผลเฉพาะบางอย่าง…….

แต่ครั้งนี้มันพิเศษออกไป

เพราะนี่เป็นงานจับมือเดี่ยวๆครั้งแรกของเซย์ไซ อากิระ

ผมคิดว่ามันคุ้มค่าแม้ว่าจะต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะได้ไปงานนี้ให้ได้

หลังจากประสบพบเจอกับปัญหาการอำลาวงการของไอดอลที่ผมโอชิมาหลายต่อหลายคนผมก็เกือบจะตัดสินใจอะไรเศร้าๆอย่างการก้าวเท้าออกจากโลกของไอดอลไปเสียแล้ว

เซย์ไซ อากิระ เธอปรากฏตัวออกมาราวกับดาวตกในโลกของไอดอลและสร้างชื่อเสียงให้กับตัวของเธอเอง

รอยยิ้มของเธอนั้นมีความเป็นมืออาชีพอยู่เสมอ

เหตุผลที่ทำให้เธอโด่งดังเป็นพลุแตกก็คือการที่เธอให้เซอร์วิสกับแฟนๆได้อย่างล้นหลามและการควบคุมอารมณ์ของตัวเธอเองที่แสดงออกมาให้กับเหล่าแฟนๆได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ไม่วางตัวเข้าใกล้ชิดแฟนๆมากจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้กีดกันพวกเขาด้วยเช่นกัน

ผมค่อยๆวาดความเป็นมืออาชีพของเธอในขณะที่เธอเองก็กำลังพยายามรักษาสมดุลที่แสนละเอียดอ่อนนี้ไว้อยู่

ตอนนี้ผมโดนไอดอลอย่างเซย์ไซ อากิระคนนี้ตกเข้าให้แล้ว

นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ผมจะตามเชียร์ไอดอล

ผมตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว

ถ้าหากว่าอากิระจบการศึกษาอย่างกระทันหันหรือเข้าไปมีส่วนเอี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวใดๆ ผมก็จะไม่ขอเพ้อฝันถึงไอดอลอีกเลย

ผมหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาจากโต๊ะและมองดู

บนหน้าจอแท็บเล็ตอากิระกำลังกระโดดโลดเต้นไปมาอย่างอิสระ

การเต้นของเธอมันช่างโดดเด่นพอจะเอาไปเทียบกับพวกไอดอลคนท็อปๆคนวงการ

และการร้องเพลงขณะที่เธอกำลังเต้นอยู่ของเธอก็ยังได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากอีกด้วย

และ…….สิ่งที่ดึงดูดผมให้โดนเธอตกนั่นก็คือรอยยิ้มของตัวเธอเอง

รอยยิ้มของเธอเผยให้เห็นว่าเธอกำลังสนุกกับการแสดงให้กับเหล่าแฟนๆของเธอจริงๆ

ทำให้พวกเราทุกๆคนรวมถึงตัวผมด้วยต่างพากันหลงไหล

บางครั้งก็ไร้เดียงสา บางครั้งก็ไม่ยำเกรง บางครั้งก็น่ากลัว

รอยยิ้มของเธอมีเสน่ห์บางอย่างที่ไม่อาจจะพูดอธิบายออกมาได้ แต่เมื่อคุณได้เห็นรอยยิ้มของเธอ คุณก็จะไม่สามารถนำภาพนั้นออกจากใจของคุณได้เลย

ผมจะได้ไปเจอเธอตัวเป็นๆ

ผมรู้สึกได้ถึงเหงื่อจากตรงหลังของผมจากการที่ผมจินตนาการถึงสถานการณ์นั้น

 

“ชั้นจะได้จับมือ…….กับอากิระในวันพรุ่งนี้……แล้วจากนั้นจะพูดอะไรอีกสักสองสามคำดีนะ………”

 

ลำบากใจจังรู้สึกเหมือนมันไม่ใช่เรื่องจริงเลยพอผมได้พูดออกไปอย่างนั้น

ร่างกายของผมก็รู้สึกว่ามันกำลังล่องลอยไป

ผมเอนหลังพิงโซฟาและอยู่นิ่งๆไปชั่วขณะหนึ่ง

 

“ชั้นจะต้องตัดสินใจให้ได้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี!!”

 

ผมลุกขึ้นมาจากโซฟาแล้วไปเอาสมุดจดออกมาจากนั้นก็ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรกับเธอดี

ผมตื่นเต้นมากจริงๆที่จะได้เจอกับอากิระตัวเป็นๆ

มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข,ความกลัวและความประหม่าที่เติมเต็มอยู่ภายในหัวใจของผม

เมื่อรู้สึกได้ถึงความร้อนรุ่มภายในร่างกาย ผมก็เริ่มตวัดปากกาเขียนลงบนแผ่นจดบันทึกจากนั้นก็ฉีกมันออกมาแล้วโยนทิ้งไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

มันเป็นความรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

แล้วค่ำคืนก่อนที่จะถึงวันงานจับมือก็ค่อยๆมืดลง

หลังจากความรู้สึกตื่นเต้นทั้งหมดนั้น ผมก็เข้าไปซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มและนอนหลับไป

และเรื่องต่อไปที่ผมรู้นั่นก็คือตอนนี้มันก็เช้าแล้ว

วันนี้คือวันงานอีเว้นท์จับมือ

ผมเปิดตู้เสื้อผ้าด้วยความรู้สึกผ่อนคลายและหยิบเอาเสื้อผ้าที่ดูสะอาดสะอ้านที่สุดออกมาแล้วก็สวมใส่มัน

 ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เสื้อผ้าที่ตามเทรนด์อะไรกับชาวบ้านชาวช่องเขาก็เถอะนะ

ผมหันหน้าเข้าหากระจกจัดแต่งทรงผมของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมค่อยจัดผมหน้าม้าอย่างระมัดระวังโดยไม่รู้ว่ามันจะเสียทรงตอนไหนในตอนที่ผมกำลังเดินๆอยู่

วันนี้อากิระจะจับมือกับเหล่าแฟนๆโอตะจำนวนมากซึ่งผมก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะจำหน้าพวกเขาได้ทั้งหมด แต่ผมก็ยังรู้สึกอายอยู่หน่อยๆกับพฤติกรรมการแต่งตัวของตัวเองเพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความรู้สึกในแง่ลบ

ผมสงสัยจังว่าพวกคู่รักทั้งหลายพวกเขาตื่นเต้นเวลาที่จะได้เจอหน้าคนรักของตัวเองอยู่ตลอดเลยรึเปล่า? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆผมก็คงต้องขอชมพวกเขาล่ะนะ 

ผมคิดว่ามันคงจะดีถ้าหากว่าตัวผมเองได้รู้สึกแบบนั้นบ้างสักสองสามครั้งในชีวิตหรือจะแค่หนเดียวก็ยังดี

หลังจากที่ใช้เวลาเตรียมตัวนานที่สุดในชีวิตแล้ว ผมก็ออกจากบ้านไป

ผมขึ้นรถไฟได้ทันเวลาพอดี ผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่าจะเดินไปสถานีไหนดีถึงจะใกล้ที่สุดเพราะตลอดเวลาที่ผมเดินไปตามทาง หัวของผมก็เอาแต่คิดเรื่องของอากิระอยู่ตลอดเวลา

ทั้งที่มันควรจะเป็นการนั่งรถไฟไปแบบยาวๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มาถึงสถานีที่เป็นสถานที่จัดงานอีเว้นท์เร็วกว่าที่ผมคาดไว้

ผมคิดว่าผมไม่เคยรู้สึกว้าวุ่นขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิตนี้

พอผมเดินผ่านประตูตรวจตั๋วและออกจากสถานีผมก็ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า

ผมจะได้เจออากิระตัวเป็นๆแล้ว

พวกเราจะจับมือกันและพูดคุยแลกเปลี่ยนกันสักสองสามคำ

และทุกครั้งที่ผมนึกถึงเรื่องนั้นผมก็เหงื่อตก

มันเป็นไปได้จริงๆเหรอ? ตัวผมน่ะทำแบบนั้นได้จริงๆอย่างนั้นหรอกเหรอ?

ขณะที่ผมกำลังเดินไปตามทางผมก็ประหม่าและเคว้งคว้างแต่ทันใดนั้น

พลั่ก!!

 มีบางอย่างมากระแทกไหล่ของผมจากทางด้านหลังและผมก็เซไปด้านหน้า

 

“อูยยย…….”

“อ๊ะ! ขอโทษด้วยนะคะ!”

 

คนที่เข้ามาชนผมคือผู้หญิงที่ใส่ชุดสูท

เธออาจจะกำลังรีบอยู่หรือไม่ก็เธออาจจะพยายามจะเดินแซงหน้าผมก็เลยเผลอเข้ามาชนผม

 

“อ๊ะ!”

 

ทันทีที่ผมรู้สึกตัวว่าเธอคือผู้หญิงผมก็ชะงักไป

ผมอยากจะบอกว่าผมน่ะไม่เป็นอะไรหรอกนะ แต่คำพูดนั้นมันยังติดอยู่ในลำคอ

เมื่อผมเอาแต่อ้าปากแล้วก็หุบปากพะงาบๆอยู่อย่างนั้น

ผู้หญิงคนนั้นก็เดินเข้ามาหาผมด้วยสีหน้ากังวลใจ

 

“เป็นอะไรรึเปล่าคะ?…….บาดเจ็บตรงไหนไหมคะ?……”

“ผะ-ผะ ผมไม่เป็นไรครับ!! 

 

พอผมพยายามเค้นเสียงออกมาจากลำคอ มันก็ออกมาดังกว่าที่ผมคาดไว้…..

และผู้หญิงคนนั้นก็ไหล่สั่นเทิ้มราวกับสะดุ้ง

ผมเหงื่อไหลออกมาอย่างบ้าคลั่งและก็ส่ายหัว

 

“จริงๆนะครับ ไม่เป็นอะไรครับ……..ผมเองก็ต้อง….ขอโทษด้วยนะครับ”

“ยะ-อย่างนั้นเหรอคะ ถ้างั้นชั้นเองก็ดีใจค่ะที่คุณไม่ได้เป็นอะไร”

 

เธอมองมาที่ผมราวกับว่าเธอได้เห็นอะไรแปลกๆแล้วเธอก็โค้งคำนับเล็กน้อยและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อผมจ้องมองแผ่นหลังของเธอขณะที่เธอเดินจากไป ผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ

ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแฮะ

 

“เฮ้อ…….หรือว่าบางทีเราไม่ควรไปกันนะ………”

 

ผมบ่นพึมพัมออกมาเบาๆระดับที่ไม่มีใครได้ยินผมและเอนตัวเข้าไปพิงกำแพงที่อยู่ใกล้ๆ

คนที่เดินสัญจรไปมาก็ชำเลืองมองผม

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆสองสามรอบและในที่สุดอัตราการเต้นของหัวใจที่เต้นรัวนั้นก็สงบลง

ผมกลัวผู้หญิง

ตอนที่ผมอยู่ชั้นประถมผมเคยมีประสบการณ์ที่เลวร้ายกับเด็กผู้หญิงที่ผมสนิทด้วย

และนั่นคือตอนที่โรค gynophobia ของผมเริ่มกำเริบขึ้นมา

(TL NOTE : gynophobia คือโรคกลัวสตรี เป็นอาการกลัวที่ไม่ใช่อาการเชิงรังเกียจ แต่เป็นในเชิงอาการหวาดกลัวต่อเพศสภาพภายนอกที่ดูเป็นผู้หญิง)

นับวันเจ้าโรคนี้มันเริ่มอาการหนักมากขึ้นเรื่อยๆทีละนิดทีละหน่อย

และสุดท้ายพอผมจบ ม.ปลาย ไอ้เจ้าโรคนี้ก็อาการหนักเกินจะรับมือได้

ตอนนี้การพูดคุยกับผู้หญิงในระยะเผาขนก็เพียงพอที่จะทำให้ผมพูดติดๆขัดๆและทำตัวไม่ถูก ไม่จำเป็นที่จะต้องถึงขั้นพูดคุยกับผุ้หญิงหรอกนะ แค่การเดินผ่านกับผู้หญิงก็ทำให้ผมรู้สึกประหม่าได้ระดับหนึ่งแล้ว

มันเป็นเรื่องที่ยากลำบากโครตๆสำหรับผมที่จะต้องทนทุกข์ใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป

แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจพวกเธอนะ ผมเองก็สนใจเพศตรงข้ามมากพอๆกับคนอื่นนั่นแหละ 

ในฐานะที่เป็นชายชาตรีอกสามศอก ผมเองก็มีความต้องการทางเพศเรื่องผู้หญิงอยู่เหมือนกันนะ

นอกจากนั้นแล้ว ผมก็ยังมีความกลัวที่จะได้เข้าไปพัวพันกับพวกผู้หญิงอีกด้วย……..

ผมกลัวที่จะถูกจ้องมองถูกเข้าหาหรือพูดคุยด้วย

นั่นก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมไอดอลคือสิ่งที่ใช่สำหรับผม

เพราะไอดอลน่ะไม่ได้จ้องมองมาที่ผม ผมรู้ว่าพวกเธอกำลังจ้องมองดูเหล่าแฟนๆของพวกเธอทั้งหมดและไม่เคยได้เหลียวมองมาที่ผม

เพราะไอดอลไม่เข้าใกล้ผม ถ้าหากว่าผมไม่เข้าไปหาพวกเธอล่ะก็ พวกเธอก็คงจะไม่มีวันที่จะมาปฏิสัมพันธ์กับผม

เพราะว่าไอดอลไม่คุยกับผม คำพูดที่พวกเธอส่งถึงแฟนๆของพวกเธอทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

สิ่งที่ผมทำก็คือการที่ได้จ้องมองที่ไอดอลเพียงฝ่ายเดียว

และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้ตัวผมรู้สึกดี

ส่วนเหตุผลที่ผมไปงานจับมือของอากิระก็คือผมต้องการให้กำลังใจเธอ

ถึงแม้ว่าผมจะต้องระงับอาการกลัวผู้หญิงนี่ก่อนก็ตามทีเถอะ

แต่นี่ก็เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญครั้งหนึ่งสำหรับผม

ผมเชื่อว่าผมสามารถควบคุมไอ้โรค gynophobia ได้ด้วยความกล้าหาญฮึดสู้

ผมคงจะไม่ติดปัญหาอะไรเลยถ้าหากว่าผมสามารถข่มสิ่งที่ผมมิอาจเอาชนะมันมาก่อนได้ด้วยความกล้าหาญจอมปลอมของตัวผมเอง

 

“ชั้นว่า……ชั้นหยุดดีกว่า……..”

 

ผมทรุดตัวลงขณะที่พูดกับตัวเอง

แต่ผมก็เห็นรอยยิ้มของอากิระผุดขึ้นมาภายในใจแบบทันทีทันใด

เธอพิเศษออกไป

นอกจากนี้ผมไม่ใช่แค่คนๆเดียวที่เธอมอบรอยยิ้มให้

ผมมันก็แค่หนึ่งในบรรดาเหล่าโอตะจำนวนมากมายของเธอที่อยากจะจับมือเธอแค่นั้น

ไม่เห็นที่จะต้องไปกังวลเรื่องความแตกต่างทางเพศสภาพของเราเลยนี่นา

ใช่….. ผมมาไกลขนาดนี้แล้ว

ผมยังคงย้ำกับตัวเองว่าผมจะต้องเดินหน้าต่อไป

และในที่สุดผมก็คิดคำพูดที่จะพูดกับเธอออก

ไม่ว่าคำๆนั้นมันจะสั้นหรือยาวแค่ไหนก็ตาม

 ผมก็คิดว่าผมจะถ่ายทอดคำเหล่านั้นออกไปให้กับเธอแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยกลับบ้าน

Kimi wa Hontouni Boku no Tenshi nano ka

Kimi wa Hontouni Boku no Tenshi nano ka

Comment

Options

not work with dark mode
Reset