การพบกันอีกครั้งเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเย็นเยียบ
“ไม่ได้พบกันนานเลยนะเพคะ ฝ่าบาท”
ใบหน้าของเปโตรนิยาประดับด้วยรอยยิ้มงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ขณะเอ่ยต้อนรับลูซิโอ ลูซิโอรู้ว่านี่คือความฝัน แต่ทันทีเห็นเปโตรนิยา บรรยากาศที่น่าขนลุกกลับแจ่มชัดจนยากจะคิดว่าเป็นความฝัน เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เปโตรนิยาเห็นดังนั้นก็ยิ่งเผยยิ้มกว้างขึ้น และเอ่ยปาก
“นั่งก่อนสิเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
ลูซิโอไม่สามารถปฏิเสธคำขอของผู้ตายได้ โดยเฉพาะคำขอของผู้ที่ตายด้วยน้ำมือของเขาเอง
“ทรงพระเกษมสำราญดีหรือไม่เพคะ”
ครั้นได้ฟังคำถามนั้น ลูซิโอก็นึกสงสัยว่าคนตรงหน้าใช่จักรพรรดินี ไม่สิ อดีตจักรพรรดินีที่ตนรู้จักจริงหรือ? เปโตรนิยาที่เขารู้จักไม่ใช่คนที่จะมาตั้งคำถามอย่างสงบเยือกเย็นและสง่างามกับเขาซึ่งเป็นคนที่ฆ่านางเช่นนี้ เขาเคยคิดไว้ว่านางต้องปรี่เข้ามาฉีกกระชากเขาทันทีที่เห็น และเขาเองก็พร้อมจะให้นางฉีกกระชากด้วยความเต็มใจ แต่ไม่ใช่แบบนี้ เขาคาดการณ์ถึงปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไว้หลายแบบ แต่ไม่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ ลูซิโอทำตัวไม่ถูก
“เหตุใด…จึงถามเช่นนั้น” เขาถามกลับ
“หม่อมฉันสงสัยเพราะหม่อมฉันรักฝ่าบาทน่ะสิเพคะ” เปโตรนิยายิ้มน้อยๆ “หม่อมฉันสงสัยมากเหลือเกิน ทั้งสองพระองค์ต่างเห็นหม่อมฉันเป็นหนามยอกอก ดังนั้น ขอเพียงไม่มีหม่อมฉันแล้ว ฝ่าบาทย่อมต้องมีความสุขเป็นแน่”
“…”
“แล้วตอนนี้มีความสุขหรือไม่เพคะ?”
“…อืม” ลูซิโอพูดอย่างตรงไปตรงมา “มีความสุขสิ…ในตอนนี้”
“อย่างนั้นหรือเพคะ”
เปโตรนิยาคลี่ยิ้มบางๆ
“เรารู้สึกผิดต่อเจ้า” ลูซิโอกล่าว
“…”
“ต่อให้เราพูดอะไรไปก็คงดูเป็นการเสแสร้ง หากเรามิได้พบกันด้วยความสัมพันธ์เช่นนี้ เจ้าก็คง…”
“หุบปากเถิดเพคะ”
หญิงสาวโพล่งคำนั้นออกมาในทันใด รอยยิ้มของเปโตรนิยาที่เคยอ่อนโยนพลันเปลี่ยนเป็นชั่วร้ายราวกับสิ่งที่เห็นก่อนหน้านี้ไม่มีอยู่จริง บรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันทำให้ลูซิโอสับสน เขาปิดปากแน่นโดยไม่รู้ตัว
“ในเมื่อรู้ว่ามันดูเสแสร้งก็หุบปาก” เปโตรนิยาเอ่ยเสียงเย็นด้วยสีหน้าน่ากลัว
“…จักรพรรดินี”
“ไม่…ไม่ใช่” เปโตรนิยาว่าพลางแสยะยิ้มน่าขนลุก “ข้าไม่ใช่จักรพรรดินี จริงไหม?”
“…”
“ท่านปลดข้าออกจากตำแหน่งแล้ว ท่านกล้า…กล้าดีอย่างไร…!”
น้ำเสียงที่เจือด้วยโทสะนั้นทำให้ลูซิโอพูดไม่ออก รู้สึกราวกับถูกรัศมีของอีกฝ่ายกดทับไว้ ไม่สิ เขาเองก็รู้ดี รู้ว่าบาปของเขาเป็นเรื่องจริง และนางมีสิทธิ์ที่จะโกรธ กระนั้นแล้ว ในที่นี้ใครกันแน่ที่เป็นคนชั่ว และใครที่ควรจะโกรธใคร
“กล้าดีอย่างไรมาเรียกข้าว่าจักรพรรดินี”
“…เจ้าต้องการการขอขมาหรือ”
“ขอขมา…” หญิงสาวแค่นหัวเราะ ทำสีหน้าราวกับทุกสิ่งเป็นเรื่องน่าขัน “เช่นนั้นโปรดขอขมาตามที่ข้าต้องการด้วยเถิด พระจักรพรรดิผู้แสนประเสริฐ สุริยันแห่งปวงข้า”
“…”
“ระหว่างเรามิใช่พรหมลิขิตแต่เป็นมารลิขิต มารลิขิตที่อำมหิตหาใดเปรียบ! นอกจากข้าที่ต้องตายเพราะท่าน! แล้ว…แล้วน้องสาวและบิดามารดาที่น่าสงสารของข้าเล่า ท่านจะขออภัยต่อพวกเขาอย่างไร”
เขาไม่รู้จะพูดอะไร เพราะไม่มีวิธีใดที่เขาจะขออภัยต่อคนเหล่านั้นได้ ลูซิโอกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“ท่านถามข้าว่าต้องการการขอขมาหรือไม่” เปโตรนิยายังคงพูดเสียดสีต่อไป
“…”
“ใช่ ข้าต้องการ”
ต้องการอย่างมาก เปโตรนิยาพึมพำ
“การขอขมาสำหรับข้าคือ ‘ความพินาศย่อยยับ’ ของท่านกับโรสมอนด์”
เปโตรนิยาเน้นเสียงคำว่า ‘ความพินาศย่อยยับ’ ลูซิโอมองเปโตรนิยาด้วยดวงตาแดงก่ำ อีกฝ่ายก็กำลังจ้องมองเข้ามาในดวงตาของเขาพร้อมกับสาปแช่งเช่นกัน
“หากพระเจ้าไม่ลงทัณฑ์พวกท่าน ข้าก็จะทำเอง ข้า! เปโตรนิยาคนนี้! จะลงทัณฑ์พวกท่าน! ด้วยตัวเอง!”
ขณะนั้นเอง เปโตรนิยาที่เคยยืนนิ่งก็หายตัวมาโผล่ตรงหน้าลูซิโอในพริบตา หญิงสาวใช้สองมือบีบคอของลูซิโอด้วยแรงอันมหาศาลเกินกว่าจะเป็นแรงของสตรี ลูซิโอลืมสิ้นว่านี่คือความฝันและส่งเสียงร้องอึกอัก
“ตาย! ตาย! ตาย!”
“อึก…จักรพรรดินี ได้โปรด…”
“ตายยย!”
“อ๊ากกก!”
ลูซิโอหวีดร้องและตื่นขึ้น เขาอ้าปากหอบหายใจหนักหน่วง ราวกับได้ประสบเหตุการณ์ในฝันนั้นจริง
“บ้าเอ๊ย…อีกแล้ว”
เขาหอบหายใจหนักและพยายามเรียกสติ ไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่เขาฝันเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา และเขาก็มีปฏิกิริยาแบบเดิม
“ฝ่าบาท เป็นอันใดไปหรือเพคะ!”
หัวหน้านางกำนัลรีบเปิดประตูเข้ามาด้วยคิดว่าอาการชักของจักรพรรดิกำเริบ ครั้นเห็นเหงื่อกาฬไหลโซกบนหน้าผากของลูซิโอ หัวหน้านางกำนัลก็เอ่ยถามด้วยความตกตะลึง
“หะ…ให้หม่อมฉันไปเชิญพระจักรพรรดินีไหมเพคะ”
“ไม่ต้อง เราไม่เป็นไร” ลูซิโอเอ่ยปรามอีกฝ่ายขณะที่ยังหายใจหอบ “วันนี้ไม่ใช่ เราเพียงแต่ฝันแปลกๆ”
“อา…”
“ขอน้ำสักแก้วสิ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
หัวหน้านางกำนัลเดินออกไป เหลือเพียงลูซิโอที่ค่อยๆ ซับเหงื่อบนหน้าผากด้วยผ้าเช็ดหน้าอยู่คนเดียวในห้อง ฝันถึงเรื่องนี้ทีไรเขามักจะรู้สึกแปลกๆ แปลกมากจริงๆ
“คงเป็นเพราะหมู่นี้หักโหมมากเกินไป”
ลูซิโอไม่เห็นเป็นสำคัญ คล้ายว่าเขาไม่นึกอยากจะสนใจว่าคำสาปแช่งของคนตายรุนแรงเพียงใด
***
“ได้ยินว่าหมู่นี้ฝ่าบาทฝันแปลกๆ เพคะ”
ได้ยินคลาราพูดดังนั้นโรสมอนด์ที่กำลังเลือกสร้อยคออยู่ก็เอ่ยถาม
“หมายความว่าอย่างไร ฝันถึงอดีตจักรพรรดินีอลิซารึ”
“ดูเหมือนจะไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันได้ยินนางกำนัลของตำหนักกลางพูดกันว่าหมู่นี้ฝ่าบาทฝันแปลกๆ บ่อยๆ ตอนตื่นบรรทมก็มีเหงื่อไหลท่วมตัวด้วยเพคะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเหตุใดตำหนักกลางไม่ส่งข่าวมาแจ้งทางนี้”
เช่นนี้ก็หมายความว่าไม่ใช่อาการชัก โรสมอนด์เอียงคอสงสัย คลาราที่อยู่ด้านข้างจึงเอ่ยข้อสงสัยขึ้นมาคำหนึ่ง
“ว่าแต่…เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่มีรับสั่งอันใดกับพระองค์เลยเล่า”
“…คงคิดว่าข้าไม่จำเป็นต้องรู้กระมัง”
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผ่านเข้ามาในหัว มีเรื่องหนึ่งที่น่าสงสัย
“อาจเพราะฝ่าบาททรงเป็นห่วงข้า” โรสมอนด์เอ่ยขึ้น
“หมายความว่าอย่างไรหรือเพคะ”
“ก็หมายความว่าข้ารู้ไปก็ไม่มีประโยชน์น่ะสิ” โรสมอนด์ยิ้มอย่างงดงามและกล่าวว่า “ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“แล้วก็เลิกรายงานเรื่องไร้สาระได้แล้ว คลารา แค่นี้ข้าก็มีเรื่องให้คิดมากพออยู่แล้ว…”
“ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท”
ภายนอกคลารากล่าวขออภัยอย่างนอบน้อม แต่ในใจกลับบ่นอุบ
ตัวเองเป็นคนบอกให้รายงานทุกเรื่องแท้ๆ!
คล้ายว่าโรสมอนด์ในตอนนี้จะระมัดระวังตัวน้อยลงกว่าตอนก่อนจะได้เป็นจักรพรรดินีอย่างเห็นได้ชัด มองในแง่ดีคือนางหาความสงบได้แล้ว แต่มองในแง่ร้ายคือนางอาจตกเป็นเหยื่อของผู้อื่นเมื่อใดก็ได้
“ว่าแต่ลอเรนไปที่ใดเสียล่ะ”
จู่ๆ สะเก็ดไฟ[1]ก็กระเด็นไปที่อื่น คลาราจึงเอ่ยถาม
“ฝ่าบาท เหตุใดจู่ๆ จึงถามหาลอเรนหรือเพคะ”
“ข้าสั่งให้นางไปตามเคาน์เตสแกลบลิซเข้าวังด้วยเรื่องชุดสำหรับออกงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาทน่ะสิ เหตุใดจึงช้าเพียงนี้”
เคาน์เตสแกลบลิซเป็นช่างตัดเสื้ออันดับหนึ่งของจักรวรรดิ ปัญหาคือโรสมอนด์เพิ่งออกคำสั่งกับลอเรนได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ คลารารู้สึกว่าอีกฝ่ายไร้เหตุผลสิ้นดีจึงเอ่ยอย่างสุขุม
“ฝ่าบาท โปรดรออีกสักครู่เถิดเพคะ เลดี้วีเธอร์ฟอร์ดเพิ่งจะไปได้ไม่นานเท่านั้น”
“ข้าเรียกหาก็ต้องรีบมาทันทีสิ! คงไม่ได้ดูหมิ่นว่าข้าเป็นบุตรีของบารอนหรอกนะ”
“ฝ่าบาท ไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอกเพคะ”
ระยะนี้ความกังวลในปมด้อยของโรสมอนด์ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลายคนอาจดูหมิ่นเรื่องชาติกำเนิดของโรสมอนด์อยู่ในใจ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้แสดงออกต่อหน้า เพราะโรสมอนด์ดูแลจัดการงานของฝ่ายในได้ไม่เลว แม้จะฟุ้งเฟ้อไปบ้าง ไม่สิ ไปมาก ก็ตาม
“เลดี้วีเธอร์ฟอร์ดมิได้เป็นคนเช่นนั้นหรอกเพคะ ฝ่าบาททรงเล็งเห็นถึงจุดนั้นจึงรับนางเข้ามารับใช้ข้างกายมิใช่หรือ” คลาราปลอบโยนผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ฝ่าบาท เลดี้ลอเรนมาถึงแล้วเพคะ”
ตอนนั้นเองเสียงของนางกำนัลก็ดังมาจากด้านนอก คลาราถึงกับยิ้มอย่างโล่งใจ มาถึงเร็วทีเดียว! แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ดีต่อทั้งตัวลอเรนและตัวคลาราเอง เพราะนั่นหมายความว่าจะไม่มีเรื่องอะไรให้โรสมอนด์ต้องอารมณ์เสียอีกแล้ว แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด ทั้งที่ได้ยินนางกำนัลกล่าวเช่นนั้นแล้ว โรสมอนด์ก็ยังดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
ทันใดนั้นประตูก็เปิดและลอเรนก็เดินเข้ามา บนใบหน้าที่เรียบเฉยอยู่เสมอของนางประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่ดูเหมือนว่าแม้แต่เรื่องนั้นก็ทำให้โรสมอนด์ไม่ชอบใจ
“ชักช้า” โรสมอนด์พูดด้วยน้ำเสียงเชือดเฉือน
ชั่วขณะหนึ่งลอเรนคิดว่าตนได้ยินผิดไป เพราะเวลาเพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นนับตั้งแต่ที่นางได้รับคำสั่ง ครึ่งชั่วโมงมิใช่เวลาที่ยาวนาน และที่นางพยายามกลับมาให้เร็วเช่นนี้ก็เพื่อมิให้จักรพรรดินีขุ่นเคืองใจ แต่ทว่า…ชักช้ารึ?
“เพคะ?” ลอเรนย้อนถามอย่างลืมตัว
“…นี่เจ้ายอกย้อนข้ารึ”
“หามิได้เพคะ เพียงแต่….ฝ่าบาท หม่อมฉันพยายามที่สุดแล้วเพคะ”
“ปากก็พล่ามไม่หยุดแต่กลับบอกว่าไม่ได้ยอกย้อน เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
โรสมอนด์ถามด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบ ทันใดนั้นลอเรนก็รู้สึกพูดไม่ออก เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีไม่คิดจะฟังคำพูดของนางตั้งแต่แรกแล้ว คิดมาถึงตรงนี้ ลอเรนก็หยุดความปรารถนาในใจและแสดงออกอย่างชาญฉลาด
“…ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท”
“หากเจ้ามิได้ดูหมิ่นว่าข้าไม่ใช่บุตรีดยุก เจ้าจะทำตัวเช่นนี้รึ ลอเรน”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยนะเพคะ”
ไม่ยุติธรรม นี่คือความนัยที่โรสมอนด์ได้ยินจากคำพูดของอีกฝ่าย ทันใดนั้นแววตาของโรสมอนด์ก็เปลี่ยนดุดัน นางกล่าวด้วยน้ำเสียงมาดร้าย
“มารยาสาไถย!”
“…”
“แล้วเคาน์เตสแกลบลิซอยู่ที่ใด”
“…ด้านนอกเพคะ”
“ให้นางเข้ามา ส่วนเจ้าออกไปได้”
ไม่มีทางที่เสียงนี้จะไม่ดังไปถึงด้านนอก เมื่อลอเรนออกมาจากห้องก็พบกับเคาน์เตสแกลบลิซที่มองมาด้วยความเห็นใจ เมื่อเห็นสายตาเช่นนั้นลอเรนก็รู้สึกราวกับเส้นด้ายแห่งสติสัมปชัญญะขาดผึง
‘บังอาจดูหมิ่นข้าอย่างนั้นรึ?’
ไฟโทสะลุกโชนอยู่ภายในใจของลอเรนอย่างเงียบเชียบ การแก้แค้นที่ดีที่สุดที่ลอเรนทำได้ไม่ใช่แค่การปรี่เข้าไปตบโรสมอนด์เดี๋ยวนี้ ลอเรนค่อยๆ คลายโทสะในใจและเดินออกจากพระราชวัง รถม้าที่ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดส่งมาจอดรออยู่หน้าประตูวังแล้ว ลอเรนขึ้นไปนั่งบนรถแล้วบอกจุดหมายด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“คฤหาสน์เอเฟรนี”
อีส เอเฟรนีตกใจกับข่าวการมาเยือนที่ไม่คาดคิด
“เจ้าบอกว่าใครมานะ?” นางถามซ้ำ
“เลดี้ลอเรนขอรับ ดัชเชส”
“เจ้าหมายถึงบุตรีของดยุกวีเธอร์ฟอร์ดน่ะหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ”
“เชิญนางเข้ามา”
ดัชเชสเอเฟรนีไม่มีความเกี่ยวข้องกับลอเรนแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ความสัมพันธ์ของพวกนางก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อถึงขั้นมาเยี่ยมเยียนโดยไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้ แม้สีหน้าจะยังไม่คลายความสงสัย แต่ดัชเชสเอเฟรนีก็หันไปสั่งสาวใช้ให้เตรียมชาและขนม ไม่นานลอเรน วีเธอร์ฟอร์ดรูปโฉมงามสง่าก็ปรากฏตัวและทักทายดัชเชสเอเฟรนีอย่างสุภาพอ่อนน้อม
“ขออภัยที่มาเยือนโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้าค่ะ ดัชเชส”
“ไม่หรอกค่ะ เลดี้ ระหว่างเราไหนเลยจะต้องมาคิดเล็กคิดน้อยเช่นนั้น อย่าใส่ใจเลยค่ะ”
พูดจบ ดัชเชสเอเฟรนีก็จ้องลอเรนเขม็ง ก่อนจะเปิดปากพูดในทันใด
“…ดูจากสีหน้าคล้ายว่าเลดี้มีเรื่องจะกล่าว เช่นนั้นเราไปคุยกันที่ห้องรับรองดีกว่าค่ะ”
“ข้าขอรบกวนเวลาไม่นานค่ะ ดัชเชส”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ดัชเชสเอเฟรนียิ้มน้อยๆ และเดินนำลอเรนไปยังห้องรับรอง เมื่อให้คนรับใช้ออกไปหมดและอยู่กันแค่สองคน ดัชเชสเอเฟรนีก็กล่าวกับลอเรนด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ดูเหมือนเลดี้มีเรื่องสำคัญจะกล่าวจึงได้มาถึงที่นี่ หาไม่แล้วเลดี้คงไม่บุ่มบ่ามมาเยือนเช่นนี้”
“โชคดีจริงๆ ค่ะที่ท่านเข้าใจอะไรง่าย เช่นนั้นเรามาเข้าประเด็นหลักกันเลยดีกว่า”
ลอเรนหัวเราะเสียงกระด้างก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อม
“ดัชเชสคิดอย่างไรกับจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันหรือคะ?”
[1] สะเก็ดไฟ ในที่นี้มีหมายถึงเรื่องร้ายหรือผลกระทบที่ไม่ดีอันเกิดจากเรื่องใดเรื่องหนึ่ง