ภาคแยก 3 : A Wrong Encounter.
(การพบพานที่ผิดพลาด)
“ได้ยินว่าพระจักรพรรดิที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ทรงมีพระสิริโฉมงดงามมาก”
แม้จะได้ยิน เอเวอรี เพื่อนร่วมงานของตนพูดเช่นนั้น แต่ จาเน็ต ก็ยังคงมีท่าทีเฉยเมย คล้ายกำลังคิดว่า จักรพรรดิคนใหม่มีรูปโฉมงดงามแล้วอย่างไร? เกี่ยวอันใดกับข้า? เอเวอรีเห็นปฏิกิริยาของจาเน็ตก็กล่าวอย่างอัดอั้นตันใจ
“เจ้านี่ช่างไม่มีความทะเยอทะยานเอาเสียเลย ลองถ้าได้ต้องพระทัยฝ่าบาทแล้วกลายเป็นอนุ ก็จะไม่ต้องมีชีวิตเป็นนางกำนัลอีกต่อไป!”
“ฝ่าบาทจะมาต้องพระทัยคนอย่างพวกเราได้อย่างไร ที่นี่หาใช่พระราชวังเสียหน่อย”
จาเน็ตและเอเวอรีต่างเป็นบุตรีจากตระกูลต่ำศักดิ์ และเป็นเพียงหนึ่งในนางกำนัลมากมายที่ประจำอยู่ที่ตำหนักตากอากาศ[1]เท่านั้น ตำหนักตากอากาศมักจะอยู่ในชนบทที่ห่างไกลจากเมืองหลวง ดังนั้น แทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ทั้งสองคนจะได้พบจักรพรรดิ ไม่ต้องพูดถึงโอกาสที่จักรพรรดิจะมาถูกตาต้องใจพวกนาง
“ต่อให้โชคดีต้องพระทัยฝ่าบาท เจ้าคิดว่าพระจักรพรรดินีที่กำลังจะได้รับการแต่งตั้งจะยินดีกับการมีอยู่ของอนุอย่างนั้นหรือ ไม่ถูกกำจัดก็บุญแล้วน่ะสิไม่ว่า” จาเน็ตพูดเสริม
“เจ้านี่จริงๆ เลย เช่นนั้นอนุของจักรพรรดิองค์ก่อนๆ มิตายกันหมดหรือ” เอเวอรียิ้มพรายและพูดเสริม “หากจักรพรรดินีมิอาจให้กำเนิดรัชทายาทเล่า จักรพรรดิเองก็ไม่มีพี่น้องคนอื่น เพราะฉะนั้นบุตรที่เกิดจากอนุอาจได้สืบทอดบัลลังก์ก็เป็นได้”
“เอเวอรี ระวังคำพูดด้วย!”
จาเน็ตพูดอย่างตกตะลึง อีกฝ่ายช่างไม่รู้จักระมัดระวังเอาเสียเลย!
“หากใครมาได้ยินเข้า เจ้ากับข้ามีหวังได้ถูกโบยเป็นแน่ ช่วยระวังคำพูดคำจาด้วยเถอะ!”
“เจ้าระมัดระวังตัวเกินไปแล้ว”
เอเวอรีส่ายศีรษะเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน ตอนนี้ได้เวลาที่ต้องไปแล้ว
“อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ฝ่าบาททรงออกตรวจตราตามพื้นที่ต่างๆ เย็นนี้จึงจะเสด็จมาที่นี่ ลองหาโอกาสดูสักครั้งก็ไม่เสียหาย”
“ตามใจเจ้าแล้วกัน ข้าไม่ห้าม”
จาเน็ตว่าพลางยักไหล่ จากนั้นครู่หนึ่งนางก็โอดครวญ “ว่าแต่ฝ่าบาทจะเสด็จมาเย็นนี้ เช่นนั้นตั้งแต่วันนี้ไปก็อดเข้านอนแต่หัวค่ำแล้วสิ”
“ปกติก็ได้นอนเวลานั้นมาตลอดแท้ๆ”
“นั่นก็จริง”
จาเน็ตตอบพลางยิ้มน้อยๆ แล้วลุกขึ้นเช่นกัน ในตำหนักตากอากาศกำลังเตรียมงานกันให้วุ่นตั้งแต่หลายสัปดาห์ก่อนเพื่อต้อนรับจักรพรรดิที่จะมาถึงในเย็นวันนี้ แน่นอนว่าสองคนนี้ก็มีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน
“ฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่เป็นครั้งแรก การเตรียมการจะผิดพลาดมิได้เด็ดขาด”
ภายใต้การกำกับดูแลของเคาน์เตสอะมอร์ เหล่าข้ารับใช้ทั้งชายและหญิงจึงทำงานกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและราบรื่น ตอนนี้มาถึงการตรวจงานครั้งสุดท้ายแล้ว หลังเสร็จสิ้นการเตรียมการในตำหนักตากอากาศ จาเน็ตและเอเวอรีก็ไปอาบน้ำล้างตัวให้สะอาดเอี่ยมและเปลี่ยนไปสวมชุดเดรสชุดใหม่ จาเน็ตคิดว่าอย่างน้อยการได้รับชุดใหม่ในรอบหลายเดือนก็นับเป็นเรื่องที่ดี
คณะขององค์จักรพรรดิมาถึงตำหนักตากอากาศตอนค่ำ แต่เนื่องจากเอเวอรีและจาเน็ตต้องคอยปรนนิบัติขุนนางคนอื่นๆ ที่ร่วมเดินทางมาด้วย จึงไม่มีโอกาสได้เห็นจักรพรรดิตัวเป็นๆ อีกทั้งงานปรนนิบัติจักรพรรดิเป็นงานสำหรับผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่าพวกนาง เอเวอรีรู้สึกเสียดาย แต่สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจจักรพรรดิมาตั้งแต่แรกอย่างจาเน็ตไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแม้แต่น้อย
ครั้นเวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืน จาเน็ตก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่รู้ทำไมนางถึงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
‘ออกไปรับลมสักหน่อยดีไหมนะ’
จาเน็ตคิดดังนั้นก่อนจะออกไปยังสวนที่อยู่นอกตำหนักตากอากาศ สายลมตอนเที่ยงคืนแม้จะเย็นสบายแต่ก็นับว่าหนาวเย็น เวลาผ่านไปห้านาทีจาเน็ตก็หมุนตัวกลับด้วยคิดว่าควรจะรีบกลับเข้าไปข้างในหากไม่อยากเป็นหวัด ในตอนนั้นเองนางก็พบใครบางคน
“อ๊ะ…”
นางเพิ่งเคยพบเขาเป็นครั้งแรกแต่ก็รู้ได้ทันที ผู้ที่ผมสีดำราวกับท้องฟ้ายามเที่ยงคืนและอยู่ในชุดเต็มยศสีทองวิจิตรผู้นี้ย่อมต้องเป็น…
“พระจักรพรรดิ”
จาเน็ตหลุดปากเอ่ยขึ้น อีกฝ่ายได้ยินดังนั้นก็ค่อยๆ หันมามอง วินาทีนั้นหัวใจของจาเน็ตเต้นระรัว
‘ได้ยินว่าพระจักรพรรดิที่เพิ่งเสวยราชสมบัติทรงมีพระสิริโฉมงดงามมาก’
จู่ๆ จาเน็ตก็นึกถึงคำพูดของเอเวอรีขึ้นมา ตอนที่ได้ยินเอเวอรีบอกว่า ‘พระสิริโฉมงดงาม’ จาเน็ตยังไม่เชื่อเพราะเคยได้ยินข่าวลือว่าจักรพรรดิองค์ก่อนมีหน้าตาอัปลักษณ์ แต่นางลืมคิดไปว่าจักรพรรดินีองค์ก่อนได้ชื่อว่างดงามที่สุดในบรรดาจักรพรรดินีที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์
“เจ้าเป็นใคร”
เสียงทุ้มต่ำของเขาช่างมีเสน่ห์ จาเน็ตรีบร้อนค้อมกายเอ่ยตอบ
“หม่อมฉัน…เป็นเพียงนางกำนัลต่ำต้อยเพคะ ฝ่าบาท”
“เราถามชื่อของเจ้า”
“…จาเน็ตเพคะ”
“เป็นชื่อที่ไพเราะ”
จาเน็ตยังคงก้มหน้าอยู่ ในขณะที่หูได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว จักรพรรดิกำลังเดินมาทางนี้ ว่าแต่ทำไมกัน? หรือจะเดินผ่านทางนี้เพื่อกลับเข้าข้างใน?
หญิงสาวกุมอกซ้ายตรงตำแหน่งของหัวใจที่กำลังเต้นรัวและรอให้เขาเดินผ่านไป แต่เสียงฝีเท้ากลับหยุดอยู่ตรงหน้านาง นางเผลอผละจากท่าค้อมตัว เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิยังคงยืนอยู่ตรงหน้า นางก็ค้อมกายลงไปอีกครั้ง
“เงยหน้าขึ้นเถอะ” จักรพรรดิหัวเราะพลางกล่าว
“แต่ว่า…”
“นี่เป็นคำสั่ง เอาล่ะ เร็วเข้า”
สำหรับข้ารับใช้อย่างจาเน็ต คำสั่งของจักรพรรดิย่อมมาก่อนกฎระเบียบ นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีลมพัดมาจากข้างหลังทำเอาร่างบางหนาวสั่นโดยไม่รู้ตัว จักรพรรดิเห็นดังนั้นก็เอ่ยถาม
“หนาวหรือ”
“มะ ไม่เป็นไรเพคะ”
“ไม่เป็นไรที่ไหนกัน”
พูดจบ เขาก็ถอดเสื้อคลุมออก แล้วก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกหนึ่งก้าวเพื่อนำมาคลุมให้จาเน็ต เมื่อรู้ว่าจักรพรรดิกำลังจะทำอะไร จาเน็ตก็สะดุ้งตกใจและกล่าวปฏิเสธ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมิบังอาจ…”
“การมีเมตตาต่อผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นสิ่งที่ผู้นำควรยึดถือและปฏิบัติ เจ้าไม่ต้องเกรงใจ”
“แต่ว่า…”
จาเน็ตมองจักรพรรดิด้วยแววตาสับสนแต่อีกฝ่ายก็ยังคงยืนกรานหนักแน่น ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ จาเน็ตจึงยืนนิ่งไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือของเขา
“เจ้าผอมบางนัก ผอมบางเกินไป” จักรพรรดิกล่าว
“มิใช่ว่าหม่อมฉันไม่กินนะเพคะ…นี่เป็นปกติเพคะ หม่อมฉันผอมเหมือนท่านแม่”
“อย่างนั้นหรือ”
จักรพรรดิยิ้มน้อยๆ และสบตากับจาเน็ต วินาทีนั้นจาเน็ตรู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นแรงว่าเมื่อครู่
‘เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า’
การมีความรู้สึกเช่นนี้กับกษัตริย์ที่ตนรับใช้มิใช่เรื่องดีเอาเสียเลย
[1] พระตำหนักตากอากาศ หรือ พระราชนิเวศน์ คือ สถานที่ประทับของกษัตริย์ มีความสำคัญรองลงมาจากพระราชวัง มักสร้างขึ้นไว้สำหรับพักผ่อน หรือกษัตริย์เปลี่ยนสถานที่อยู่เป็นการชั่วคราว