“อะไรนะเพคะ”
จาเน็ตเผลอถามย้อนด้วยความตกใจ อลิซาชี้ไปที่ลูซิโอที่นอนอยู่ในเปลและพูดอีกครั้งอย่างเรียบเฉย
“ข้าบอกว่าข้าต้องการนำเด็กคนนี้ไปเลี้ยง”
“แต่ว่าฝ่าบาท เด็กคนนี้ยัง…”
“ถึงอย่างไรข้าก็จะรับเขาเป็นลูกบุญธรรมเมื่อเขาโตขึ้นอยู่แล้ว ข้าเพียงแต่ร่นระยะเวลาขึ้นมาเท่านั้น”
“แต่เขายังไม่หย่านมเลยนะเพคะ ฝ่าบาท”
“เจ้าเป็นคนให้นมเองหรือไร เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามีแม่นม แล้วจะต้องมาเดือดร้อนอันใด”
ท่าทีเด็ดขาดของอลิซาทำให้จาเน็ตทำอะไรไม่ถูก นางเคยคาดการณ์ไว้แล้วว่าวันหนึ่งต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเพราะจักรพรรดินีไม่มีลูกชายแท้ๆ แต่ลูซิโอเพิ่งจะลืมตาดูโลกได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น นางยังกอดเขาไว้แนบอกได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ!
“ฝ่าบาท มิใช่ว่าหม่อมฉันจะไม่ยกลูกชายของหม่อมฉันให้ แต่ขอให้เขาได้อยู่กับหม่อมฉันสักหนึ่งปีเถิดเพคะ”จาเน็ตอ้อนวอน
“ลูกชายของเจ้าอย่างนั้นรึ! ระวังปากด้วย” อลิซาพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “ใครเป็นลูกชายของเจ้ากัน”
“ฝ่าบาท…”
“เด็กคนนี้จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นลูกชายของข้า ไม่ใช่ของเจ้า!”
จู่ๆ อลิซาก็ตะเบ็งเสียงดังลั่น จาเน็ตพลันหุบปากฉับ ไม่ใช่แค่จาเน็ต แต่ทุกคนในตำหนักต่างรู้ว่าอลิซาอ่อนไหวต่อเรื่องนี้อย่างมาก ครึ่งปีก่อน นางรู้สึกอึดอัดใจที่ตนไม่ตั้งครรภ์เสียทีจึงเข้ารับการตรวจร่างกาย และผลการตรวจก็ออกมาว่านางเป็นหมัน เพราะเรื่องนั้น หมอหลวงในวังกว่าครึ่งจึงล้มหายตายจาก หลังจากนั้นอุปนิสัยของอลิซาก็โหดร้ายยิ่งขึ้น ความจริงที่ว่านางไม่สามารถให้กำเนิดทายาทของชายอันเป็นที่รักได้ทำให้นางวิปลาส
หากนางให้กำเนิดเองไม่ได้ นางก็ต้องแย่งลูกของคนอื่นมา อลิซาออกคำสั่งกับนางกำนัลตำหนักจักรพรรดินีด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“นำเด็กคนนั้นไปที่ตำหนักจักรพรรดินีเดี๋ยวนี้”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“ฝ่าบาท ได้โปรด…ไม่ได้นะเพคะ”
เมื่อตกอยู่ในยามคับขันที่ลูกที่เพิ่งคลอดกำลังจะถูกชิงตัวไป จาเน็ตจึงคุกเข่าอ้อนวอนอลิซา ทว่า อีกฝ่ายกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและนำตัวเด็กออกจากห้องของจาเน็ตไป
จาเน็ตที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังร่ำไห้ออกมาด้วยความอาดูร อีกฝ่ายคือสตรีที่สูงส่งที่สุดในจักรวรรดิ นางไม่สามารถทำอะไรได้เลย
***
“เด็กโสโครก” อลิซามองลูซิโอที่นอนร้องอ้อแอ้อยู่ในเปลและพึมพำอย่างเย็นชา “สายเลือดของแม่เจ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าเองก็คงไม่ต่างกัน”
เอาเข้าจริงเมื่อเห็นเด็กอยู่ตรงหน้า อลิซากลับรู้สึกสะอิดสะเอียน ขณะที่กำลังจะสั่งให้คนมานำเด็กออกไป นางกำนัลคนหนึ่งก็รีบร้อนเข้ามารายงาน
“ฝ่าบาท จักรพรรดิกำลังเสด็จมาทางนี้เพคะ”
“อะไรนะ?”
ได้ฟังดังนั้น สีหน้าที่เคยเย็นชาของอลิซาก็พลันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นางเรียกนางกำนัลทั้งหมดมาช่วยเปลี่ยนชุด ทำผมใหม่ และฉีดน้ำหอมจนฟุ้ง ทำเอาทั้งเด็กทั้งนางกำนัลพากันไอค่อกแค่ก แต่อลิซาก็ไม่แยแส นางจดจ่ออยู่กับการเตรียมตัวต้อนรับจักรพรรดิเท่านั้น
“พระจักรพรรดิเสด็จ”
และแล้วประตูก็เปิดออก ตามมาด้วยร่างของจักรพรรดิที่เดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อลิซาลุกขึ้นยืนด้วยใจสั่นไหว เวลานี้นางรู้สึกราวกับสาวน้อยที่หลงใหลในรักแรก แต่ในสายตาของจักรพรรดิซึ่งรู้จักตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย นางไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่เข้ามาในห้อง กลิ่นน้ำหอมฉุนกึกก็ทำให้เขารู้สึกอยากจะขย้อนออกมา ก่อนจะต้องผงะตกใจเมื่อหันไปเห็นลูกชายของตนที่มุมหนึ่ง เขาเอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา
“จักรพรรดินี”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“ที่เราเห็นนั่นลูซิโอใช่หรือไม่”
“เพคะ ฝ่าบาท เป็นลูซิโอ”
“เจ้าปล่อยให้เด็กอยู่ในห้องที่ฉุนไปด้วยกลิ่นน้ำหอมเช่นนี้ ยังมีสติอยู่หรือไม่”
“…”
เมื่อถูกต่อว่าอย่างคาดไม่ถึง อลิซาก็ประดักประเดิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกหานางกำนัล นางกำนัลอาวุโสคนหนึ่งจึงมาอุ้มเด็กออกไปตามคำสั่ง เมื่อในห้องเหลืออยู่เพียงสองคน จักรพรรดิก็เปิดปากพูดอีกครั้ง
“ได้ยินว่าเจ้าไปแย่งลูกมาจากบารอนเนสอีวัวร์”
อลิซารู้สึกตกใจที่ประโยคสั้นๆ นั้นทำร้ายความรู้สึกของนางได้ถึงสองเรื่องด้วยกัน
หนึ่ง นางอัดอั้นตันใจอย่างมากที่ผู้หญิงชั้นต่ำที่บังอาจมาเป็นอนุภรรยาของจักรพรรดิคนนั้นได้รับชื่อที่ไพเราะอย่าง ‘บารอนเนสอีวัวร์’
สอง นางมิได้ ‘แย่ง’ เด็กมา เด็กคนนี้เป็นของนางมาตั้งแต่แรก ลูกของจักรพรรดิทุกคนย่อมต้องเป็นลูกของจักรพรรดินีซึ่งเป็นภรรยาหลวง เด็กจะเกิดมาจากท้องใครล้วนไม่สำคัญ แต่นี่เขากลับบอกว่านาง ‘แย่ง’ มาอย่างนั้นหรือ
“ฝ่าบาท เขาเป็นลูกชายของหม่อมฉันเพคะ” นางโต้กลับไปทันที
“…”
“กฎหมายของจักรวรรดิก็บัญญัติไว้ชัดเจน อีกทั้งผู้หญิงคนนั้นก็เป็นแค่อนุของฝ่าบาท เลือดเนื้อเชื้อไขทุกคนของฝ่าบาทย่อมเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของภรรยาหลวงอย่างหม่อมฉันด้วยเช่นกัน หม่อมฉันพูดผิดหรือ”
“นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าจะเลี้ยงเด็กคนนี้เองรึ”
“ฝ่าบาททรงคิดว่าหม่อมฉันจะเลี้ยงเขาได้ไม่ดีหรือเพคะ”
“ถ้าให้พูดตรงๆ ก็ใช่”
“ฝ่าบาท!” อลิซาขึ้นเสียงตัดพ้อ “ช่างน่าน้อยใจนักที่พระองค์ไม่เชื่อใจหม่อมฉันถึงเพียงนี้ หม่อมฉันเสียใจมากเพคะ”
“แค่ดูจากพฤติกรรมในยามปกติของเจ้าก็พอจะคาดเดาได้แล้ว”
“หม่อมฉันมั่นใจว่าเลี้ยงได้เพคะ ฝ่าบาท”
“…”
จักรพรรดิมองอลิซาด้วยสีหน้าไม่พอใจ ต่อให้เป็นจักรพรรดิ แต่หากไม่มีเหตุผลที่ดีพอ เขาก็ไม่สามารถนำเด็กไปคืนให้แม่แท้ๆ ได้ อลิซาพูดถูกทุกอย่าง
หากอลิซาต้องการ ลูซิโอสามารถกลายเป็นลูกของนางได้ทุกเมื่อ หากนางมีบุตรชายที่คลอดมาด้วยตัวเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่นางเป็นหมัน
จักรพรรดิถอนหายใจพลางกล่าว “เราจะแต่งตั้งเด็กคนนี้เป็นรัชทายาท”
“…”
ได้ฟังดังนั้นอลิซาก็ตระหนักได้ถึงความเป็นจริงว่านางไม่มีวันได้ให้กำเนิดรัชทายาทด้วยตัวเอง น้ำตาของอลิซาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่อลิซาก็ยังคงยืนยันคำเดิมโดยไม่ถอดใจ
“หม่อมฉันจะเลี้ยงเขาให้ดีเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
จักรพรรดิจ้องอีกฝ่ายเขม็งก่อนจะหันหลังกลับออกไปอย่างไร้เยื่อใย ใช่แล้ว วันนี้ก็เช่นกัน เขาไม่ได้ที่นี่เพื่อมาหานาง เรื่องนี้ทำให้อลิซาปวดร้าวยิ่งกว่าเรื่องที่นางเป็นหมันเสียอีก จักรพรรดินีที่ไม่ได้รับความรักและไม่อาจให้กำเนิด อลิซารู้สึกว่าสภาพของตนช่างน่าเวทนาเหลือแสน หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งที่ขอบเตียง มือขยุ้มผ้าปูสีขาวแน่นพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
***
หลังจากนั้นไม่นานตำแหน่งบารอนเนสอีวัวร์ของจาเน็ตก็ถูกยึดคืนไปด้วยเหตุผลสะเปะสะปะว่านางล่วงเกินจักรพรรดินี แม้จะมีพยานมากมายออกมาให้ปากคำ แต่พยานเหล่านั้นดูอย่างไรก็รู้ว่าจัดฉากขึ้นมา ทว่า จาเน็ตรู้ดีกว่าใครว่าต่อให้นางเปิดโปงเรื่องนี้ก็ไม่มีประโยชน์ นางปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ที่ต้องเผชิญเพราะอลิซาเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัวเกินจะต่อต้าน
อลิซาขัดขวางทุกวิถีทางไม่ให้จาเน็ตและลูซิโอได้พบกัน จาเน็ตจึงไม่ได้พบลูกอีกเลยตั้งแต่เขาอายุได้หนึ่งเดือน นางเพียงแต่ได้ยินข่าวคราวของลูกบ้างเท่านั้น เรื่องที่ลูซิโอได้เป็นรัชทายาทนางก็ได้ฟังมาจากนางกำนัลคนอื่นเช่นกัน
จาเน็ตกลับมาเป็นนางกำนัลตำหนักกลางอีกครั้ง แต่ก็มีเพียงความรักของจักรพรรดิเท่านั้นที่ยังคงเหมือนเดิม อย่างน้อยเรื่องนี้ก็พอจะปลอบประโลมนางได้บ้าง
จาเน็ตคิดว่าในเมื่อถูกจักรพรรดินีแย่งลูกชายที่จะได้สืบทอดบัลลังก์ไปแล้ว เช่นนั้นก็ขอมีลูกสาวอีกสักคนก็แล้วกัน แต่หลังจากที่มีลูซิโอแล้วนางก็ไม่ได้ตั้งครรภ์อีก
มิหนำซ้ำช่วงเวลาที่จาเน็ตต้องอยู่คนเดียวยิ่งยาวนานกว่าเดิมเพราะจักรพรรดิต้องไปออกรบเพื่อขยายอาณาเขต เมื่อต้องทนใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างเปล่าเปลี่ยวไร้ความสำราญใดๆ ไปเรื่อยๆ จาเน็ตก็เริ่มรู้สึกกังขากับชีวิตในวัง นางอยากกลับบ้านเกิด สำหรับนางแล้วพระราชวังที่ไม่มีทั้งคนรักและลูกชายอันเป็นที่รักช่างเป็นสถานที่ที่โหดร้ายเหลือเกิน
‘กลับบ้านดีกว่า ที่นี่ไม่เหมาะกับข้าเอาเสียเลย’
น่าขันที่นางเพิ่งตระหนักได้เมื่อเวลาผ่านไปแล้วถึงยี่สิบปี นางตัดสินใจว่าเมื่อจักรพรรดิกลับมานางจะเดินทางกลับบ้านเกิดทันที
เมื่อสงครามสิ้นสุดลง นางได้รับข่าวว่าจักรพรรดิลั่นกลองแห่งชัยชนะและจะกลับมาถึงวังหลวงในอีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง แค่หนึ่งสัปดาห์นางย่อมทนได้ อย่างไรนางก็ทนมาถึงยี่สิบปีแล้ว จาเน็ตคิดเช่นนั้นขณะเดินไปยังหอสมุด
“ดูนั่นสิ องค์รัชทายาทล่ะ”
คำพูดนั้นทำให้จาเน็ตชะงักฝีเท้า ใจของนางเต้นระรัว นางหันไปมองนางกำนัลที่เป็นต้นเสียงโดยอัตโนมัติ สายตาของเหล่านางกำนัลจดจ่อไปยังจุดเดียวกัน ครั้นมองตามสายตาเหล่านั้นไปนางก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินอยู่จริงๆ
เด็กคนนั้นมองเผินๆ ก็รู้ว่ารูปงาม เรือนผมและนัยน์ตาสีดำซึ่งถอดแบบมาจากบิดานั้นดูโดดเด่นเป็นที่สุด เขาใส่เครื่องแบบพอดีตัวเสริมให้ดูมีอำนาจสมเป็นรัชทายาท สีหน้าเรียบนิ่งไม่ปรากฏรอยยิ้ม และนี่เป็นครั้งแรกที่จาเน็ตได้เห็นลูกชายของตัวเองที่เติบโตขึ้นแล้ว
‘ลูกชายของข้า!’
นางรู้สึกตื้นตันใจ น้ำตาเอ่อล้นพร้อมจะไหลออกจากเบ้าตา น่าปลาบปลื้มใจยิ่ง ขอบใจจริงๆ ที่แม้จะไปจากอกแม่ แต่เจ้าก็ยังเติบโตขึ้นมาได้ดีเช่นนี้
ตอนนั้นเองจาเน็ตก็ได้สบตากับลูซิโอโดยบังเอิญ วินาทีนั้นจาเน็ตรีบหันหลังเดินหนีไปให้ไกลโดยไม่ต้องมีใครมาสั่ง ลูซิโอเห็นดังนั้นก็เอียงคอสงสัยทีหนึ่งก่อนจะหมดความสนใจและเดินต่อไปตามทางของเขา
จาเน็ตเดินไปได้ครู่ใหญ่ก็หยุดเดินแล้วหันกลับไปมอง แต่ลูซิโอก็เดินจากไปไกลจนนางมองไม่เห็นแล้ว ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นไร อย่างไรนางก็ได้เห็นเขาครั้งหนึ่ง
โชคดีที่ได้พบเขาสักครั้งก่อนจะจากไป จาเน็ตคิดดังนั้นก่อนจะก้าวเดินต่ออย่างเนิบช้า
หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง จักรพรรดิก็กลับมา เขามาหาจาเน็ตด้วยสีหน้ายินดี แต่จาเน็ตกลับบอกเขาว่านางจะออกจากวังและกลับบ้านเกิด จักรพรรดิดูตกใจมากกับสิ่งที่นางบอกกล่าวอย่างกะทันหัน แต่เขาก็ไม่ได้ถามเหตุผล ราวกับเขาได้คาดการณ์ไว้หมดแล้ว เขาเพียงแต่กล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่าเขาเคารพการตัดสินใจของนางเท่านั้น
จักรพรรดิขอให้นางรอจนกว่าเขาจะจัดการให้นางได้กลับไปอยู่ที่บ้านเกิดอย่างสุขสบาย มาถึงขั้นนี้ หากจะปฏิเสธก็คงเป็นการเสียมารยาท จาเน็ตจึงตกลงที่จะรอ ด้วยเหตุนั้น จาเน็ตจึงเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งเดือนก่อนจะได้กลับบ้าน จาเน็ตครุ่นคิดว่าระหว่างนี้นางจะทำอะไรดี ทันใดนั้นนางก็คิดถึงลูกชายที่เพิ่งเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นมา
นางอยากจะมอบของขวัญชิ้นสุดท้ายให้กับเขาแม้ตอนนี้นางจะยังให้ไม่ได้ก็ตาม จาเน็ตเริ่มถักเสื้อตั้งแต่วันนั้น นางไม่รู้ขนาดตัว ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลูซิโอเลย แต่นางก็เริ่มถักจากขนาดที่กะด้วยสายตาจากที่เห็นเมื่อตอนนั้น นางหวังว่าเมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่ เมื่อเขาได้เป็นจักรพรรดิเขาจะได้สวมเสื้อตัวนี้ จาเน็ตอดหลับอดนอนตั้งใจถักเสื้อ
จาเน็ตถักเสื้อเสร็จล่วงหน้าหนึ่งวันก่อนจะต้องจากไปพอดี โล่งอกที่ไม่สายเกินไป นางฝากเสื้อตัวนั้นไว้กับนางกำนัลอายุน้อยคนหนึ่งที่สนิทกัน และขอให้มอบให้ลูซิโอเมื่ออลิซาตายแล้วและเขายอมรับได้กับความจริงเรื่องชาติกำเนิด
คืนนั้นจาเน็ตเข้านอนเร็วกว่าปกติ ทันทีที่ล้มตัวลงนอนบนเตียงนางก็รู้สึกว่าความรู้สึกต่างๆ ประเดประดังเข้ามา นางใช้เตียงนี้มากว่ายี่สิบปีแล้ว จาเน็ตนอนอยู่ในห้องที่เก็บรวบรวมความทรงจำสมัยยังสาวไว้ทั้งหมด และหวนคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา
ตอนที่ได้พบจักรพรรดิครั้งแรก คืนแรกที่นางได้รับความเมตตาจากเขา ตอนที่นางรู้ว่าตนตั้งท้อง ตอนที่คลอดลูซิโอ… เมื่อได้ลองนึกย้อนถึงเรื่องราวตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาอย่างช้าๆ น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของนางโดยไม่รู้ตัว
‘ถึงกระนั้นข้าก็ไม่เสียใจเลย’
แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากแต่นางก็ไม่เสียใจ เพราะไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ลูกชายของนางก็จะได้เป็นจักรพรรดิคนต่อไปของมาวินอส และนางก็รักจักรพรรดิด้วยใจจริง นางเพียงแต่เหนื่อยที่จะทนอยู่ในที่แห่งนี้ต่อไปเท่านั้น นางอยากใช้ชีวิตที่เหลืออย่างเงียบสงบที่บ้านเกิด จาเน็ตยิ้มบางๆ และหลับตาลง
วันนั้นคือหนึ่งวันก่อนวันเกิดปีที่สิบห้าของลูซิโอ
[ภาคแยก 3] A Wrong Encounter. (จบบริบูรณ์)