“ใกล้จะถึงวันเกิดเจ้าแล้วใช่หรือไม่”
ได้ยินดังนั้นแพทริเซียก็ยิ้มน้อยๆ พลางถาม
“เหตุใดจู่ๆ ตรัสถึงเรื่องนั้นหรือเพคะ”
“ไม่มีอะไรที่อยากได้หรือ”
“เห็นแบบนี้หม่อมฉันก็เป็นจักรพรรดินีนะเพคะ พวกของนอกกายหม่อมฉันมีหมดแล้วเพคะ”
ครู่ต่อมาแพทริเซียก็พูดต่อพร้อมรอยยิ้มเอียงอาย “เพราะฉะนั้น สิ่งที่หม่อมฉันคาดหวังจากฝ่าบาทคงมีเพียงสิ่งที่เป็นนามธรรมเท่านั้น เช่นความรักของพระองค์ การให้เกียรติกันในฐานะคู่ชีวิต อะไรทำนองนี้เพคะ”
“แย่จริง”
ลูซิโอถามด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย “เราพยายามให้เกียรติเจ้าและรักเพียงแต่เจ้ามาทั้งชีวิตแล้ว… หรือเจ้ารู้สึกว่ายังไม่พอ?”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ”
แพทริเซียรู้ถึงความจริงใจของสามีดีกว่าใคร เพราะตั้งแต่ที่ทั้งคู่กลายเป็น ‘สามีภรรยากันจริงๆ’ เขาก็ไม่เคยทำให้นางเสียใจเลยสักครั้ง ใช่ว่าแพทริเซียจะไม่รู้ว่าการรักษาความประพฤติเช่นนั้นไว้ชั่วชีวิตมิใช่เรื่องง่าย แพทริเซียจึงรู้สึกขอบคุณเขาเสมอ และตัวนางเองก็พยายามจะเป็นภรรยาที่ซื่อสัตย์และภักดีของเขาเช่นกัน
“ฝ่าบาททรงเป็นสามีที่ดีเพคะ พระองค์ทรงรักและห่วงใยหม่อมฉันไม่แปรเปลี่ยนเลยมิใช่หรือ”
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้ทำเพราะเราเป็นคนดีหรอกนะ”
“ในประวัติศาสตร์มีจักรพรรดิที่มิอาจทำเช่นนั้นได้อยู่ถมไปนี่เพคะ”
พูดจบ แพทริเซียก็กุมมือลูซิโอเบาๆ ไม่ทันไรทั้งคู่ก็แต่งงานกันมากว่ายี่สิบปีแล้ว แต่ก็ยังคงสร้างบรรยากาศกระชุ่มกระชวยเหมือนเพิ่งรักกันใหม่ๆ เช่นนี้อยู่เนืองๆ
“คงไม่มีจักรพรรดิพระองค์ใดในประวัติศาสตร์ที่ทรงปฏิบัติต่อจักรพรรดินีได้ดีเท่าฝ่าบาทอีกแล้วเพคะ หม่อมฉันรับรองได้” แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ช่างเป็นเกียรติจริงๆ หวังว่าดีแลนจะทำลายสถิตินั้นได้นะ”
“ฮ่าๆ”
สีหน้าของแพทริเซียพลันสดใสขึ้นเมื่อจู่ๆ เขาก็พูดถึงลูกๆ
“ไม่รู้ว่าหม่อมฉันคลอดลูกชายอย่างดีแลนออกมาได้อย่างไรนะเพคะ นานวันยิ่งรูปงาม เฉลียวฉลาด ทั้งยังใช้ดาบเก่ง… เหมือนฝ่าบาททุกกระเบียดนิ้วเลยเพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเบิกบาน
“พูดอะไรน่ะ ริซซี่ ดีลเหมือนเจ้าทุกกระเบียดนิ้วต่างหาก ทั้งหน้าตา ความฉลาด พละกำลัง ทั้งหมดเลย”
พูดจบ ลูซิโอก็ถามแพทริเซียด้วยสีหน้าหึงหวง “เจ้าคงไม่ได้ชอบดีแลนมากกว่าข้าใช่ไหม”
“ฝ่าบาทนี่ล่ะก็ คราวนี้หึงแม้กระทั่งดีลหรือเพคะ”
กู่ไม่กลับจริงๆ
เห็นแพทริเซียหัวเราะ ลูซิโอก็ตอบอย่างจริงจัง “ตอนเด็กๆ ที่เขาบอกว่าโตมาจะแต่งงานกับเจ้า ข้าถึงกับใจเสียเลยนะ ต่อให้เป็นลูกชายที่ข้ารักก็แย่งจักรพรรดินีของข้าไปไม่ได้หรอก”
“เดิมทีเด็กวัยนั้นก็พูดแบบนั้นกันทั้งนั้นเพคะ พระองค์ก็ทรงทราบ”
“พวกแฝดไม่ได้พูดนี่”
ลูซิโอพูดต่อด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยว “ทั้งสามคนไม่เห็นพูดเลยว่าโตมาจะแต่งงานกับพ่อ”
พูดให้ถูกก็คือลูกสาวทั้งสามคนล้วนบอกว่าโตขึ้นจะแต่งงานกับท่านแม่ แพทริเซียไม่สามารถลืมสีหน้าของลูซิโอในตอนนั้นได้เลย ลูกชายก็แล้วไปเถอะ ไม่นึกเลยว่ากระทั่งลูกสาวก็อยากแต่งงานกับแม่ด้วย! ชีวิตของลูซิโอในตอนนั้นคล้ายตกอยู่ในสภาวะวิกฤต
“อย่างไรผู้ชนะก็คือข้า เพราะเจ้าเป็นภรรยาตัวจริงหนึ่งคนเดียวของข้า”
“ฮ่ะฮ่าฮ่า”
แพทริเซียมองลูซิโอที่พูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจพลางหัวเราะ บางครั้งเขาก็แสดงมุมน่ารักๆ เช่นนี้ออกมาและทำให้แพทริเซียอารมณ์ดีได้เสมอ นางมองลูซิโอด้วยสายตารักใคร่และกล่าว
“หม่อมฉันก็มีแค่ฝ่าบาทเพคะ”
“หมู่นี้ดูเหมือนเจ้าจะชอบดีแลนหรือไม่ก็สามแฝดมากกว่าข้าเสียอีก”
“ฝ่าบาทนี่ล่ะก็! จะทำตัวเป็นเด็กเช่นนี้อยู่เรื่อยหรือเพคะ พวกเขายังเด็ก หม่อมฉันย่อมต้องมอบความรักให้พวกเขาอยู่แล้ว”
“ข้ารู้สึกว่าความรักที่เจ้ามอบให้ข้ามันลดน้อยถอยลงทุกที ข้าทุกข์ใจยิ่ง”
“โธ่ ฝ่าบาทของหม่อมฉัน”
แพทริเซียหยุดเดินและหันไปสบตากับลูซิโอ นางชอบดวงตาของเขา ดวงตาที่ดูราวกับห้วงลึกที่พร้อมจะดูดกลืนนางเข้าไปในนั้น นางกุมแก้มของลูซิโอด้วยมือขวาแล้วกระซิบ
“หมู่นี้หม่อมฉันละเลยฝ่าบาทมากเกินไปหรือเพคะ ปกติไม่เห็นออดอ้อนเป็นเด็กถึงเพียงนี้”
“เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่รัก ผู้ชายก็กลายเป็นเด็กทั้งนั้นแหละ”
“แต่บนเตียงไม่ได้เป็นนี่เพคะ”
“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว”
ลูซิโอก้มลงประทับจูบที่หน้าผากของแพทริเซียเบาๆ แพทริเซียค่อยๆ หลับตาลงเพื่อซึมซับช่วงเวลานั้นพลางคลี่ยิ้ม นางรู้สึกมีความสุขอย่างมากกับความหวานเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
“จริงสิ พรุ่งนี้เย็นเจ้าว่างหรือไม่”
“ตอนเย็นหรือเพคะ”
“อืม ข้ากำลังคิดว่านานแล้วที่ไม่ได้ทานมื้อค่ำกับเจ้า วันมะรืนเป็นวันเกิดเจ้าก็จริงแต่วันนั้นมีงานเลี้ยง เราคงหาเวลาอยู่ด้วยกันได้ยาก น่าจะถือโอกาสนี้เสียเลย”
อย่างไรวันนั้นก็มีงานเลี้ยง เช่นนั้นคงต้องเป็นอย่างที่เขาว่า แพทริเซียพยักหน้าอย่างยินดี
“ได้เพคะ หม่อมฉันคาดหวังได้ไหมเพคะ”
“ไม่รู้สิ”
ลูซิโอตอบด้วยรอยยิ้มแปลกๆ ก่อนจะจุมพิตที่ปลายจมูกของนาง
“บอกก่อนก็ไม่สนุกสิ”
“เตรียมอะไรไว้จริงๆ สินะเพคะ”
“ความลับ”
เขายกยิ้มมุมปากแล้วเลื่อนริมฝีปากลงมาด้านล่างอีกนิดก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากของนาง จูบที่ต่อเนื่องกันทำให้แพทริเซียอารมณ์ดีและคลี่ยิ้มออกมา
***
เย็นวันต่อมา เหล่านางกำนัลตำหนักจักรพรรดินีถกเถียงกันอย่างจริงจังเรื่อง ‘สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังมื้อค่ำ’
“น่าจะทรงมอบอัญมณีเลอค่าให้ระหว่างเสวยขนมหวานกระมัง”
“ยังมีอัญมณีใดที่พระจักรพรรดินีทรงยังมิได้ครอบครองอีกหรือ ข้าว่าน่าจะเป็นของที่พิเศษกว่านั้นนะ”
“มีของอะไรที่พิเศษกว่าอัญมณีด้วยหรือ? ฉลองพระองค์?”
“นั่นก็ทรงมีอยู่เยอะแล้ว”
“เช่นนั้นเป็นอะไรกันแน่”
“เหตุใดจึงเสียงดังเอะอะเช่นนี้เล่า”
ทันใดนั้นก็มีน้ำเสียงแข็งกระด้างดังแทรกขึ้นมา เหล่านางกำนัลไม่มีทางไม่รู้จักเสียงนี้ เมื่อได้ยินดังนั้นพวกนางก็รีบรักษากิริยาทันที ราฟาเอลาซึ่งตอนนี้มีศักดิ์เป็นเคาน์เตสลาสเซลส์เตือนให้พวกนางระวังกิริยาด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
“ข้าบอกกี่ครั้งแล้วคะว่าฝ่าบาทไม่โปรดความอึกทึกวุ่นวาย แล้วนี่ยังมาพูดคุยเรื่องไร้สาระกันหน้าห้องของพระองค์อีก”
“ขออภัยค่ะ เคาน์เตส”
“ต่อไปพวกเราจะระวังค่ะ”
ได้ยินเหล่านางกำนัลรีบขออภัย ราฟาเอลาก็มองพวกนางด้วยสายตาคมปลาบอีกทีหนึ่งก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเคาะประตูห้องแพทริเซีย
“ฝ่าบาท ราฟาเอลาเพคะ” นางพูดอย่างอ่อนน้อม
“เข้ามาสิ”
เมื่อประตูเปิด ราฟาเอลาก็ก้าวเดินอย่างมั่นคงเข้าไปในห้อง ราฟาเอลารับตำแหน่งหัวหน้านางกำนัลต่อจากมีร์ยาซึ่งกลายไปเป็นแม่นมของดีแลน เมื่ออายุค่อยๆ เพิ่มขึ้น ความขี้เล่นไร้เดียงสาในวัยเยาว์ก็แทบจะหายไปหมดแล้ว
“ถวายบังคมฝ่าบาท จันทราแห่งจักรวรรดิ”
“เอล่า เจ้าเป็นเพื่อนสนิทของข้านะ บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตรองขนาดนี้”
แม้แพทริเซียจะพูดด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ แต่ราฟาเอลาก็ยังขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจนว่านางทำเช่นนั้นไม่ได้
“ตอนนั้นหม่อมฉันเพิ่งเข้าวังยังไม่รู้ความจึงทำตัวเสียมารยาท มาจนถึงตอนนี้หม่อมฉันก็มีอายุพอสมควรแล้วเพคะ ตอนนี้หม่อมฉันจินตนาการไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะทำตัวไม่สุภาพเช่นนั้นกับฝ่าบาทได้อย่างไร”
“ถึงกระนั้นบางทีข้าก็คิดถึงเอล่าในสมัยก่อนเหมือนกันนะ”
“หม่อมฉันเพียงแต่ให้ความเคารพฝ่าบาทมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตอนนั้น หรือตอนนี้ หม่อมฉันก็ยังคงเป็นหม่อมฉันคนเดิมเพคะ” ราฟาเอลายิ้มและพูดต่อ “พวกนางกำนัลพูดถึงเรื่องที่พระองค์จะไปเสวยพระกระยาหารค่ำกับพระจักรพรรดิกันหนาหูทีเดียว ทุกคนต่างให้ความสนใจว่าพระองค์จะได้รับสิ่งใดเป็นของขวัญวันคล้ายวันพระราชสมภพ”
“ที่จริงข้าก็เดาไม่ออกเหมือนกัน เอล่า เจ้าก็รู้ว่าตอนนี้ข้าไม่ต้องการอะไรแล้ว อัญมณี เสื้อผ้า เงินทอง… ไม่ว่าข้าต้องการสิ่งใด ข้าก็ได้รับมาทั้งหมด”
“หม่อมฉันไม่คิดว่าองค์จักรพรรดิจะพระราชทานของขวัญที่เดาออกง่ายนะเพคะ”
ราฟาเอลายิ้มน้อยๆ พลางเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังแพทริเซีย จากนั้นก็เริ่มจัดแต่งผมให้ด้วยสัมผัสที่นุ่มนวล สัมผัสจากมือของราฟาเอลาทำให้แพทริเซียรู้สึกดีจนง่วงขึ้นมา
“พระจักรพรรดิทรงปฏิบัติกับพระองค์อย่างดีเกินคาดมาเสมอ คราวนี้ก็ลองคาดหวังดูสักหน่อยดีหรือไม่เพคะ”
“ตัวเขาเองก็เป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับข้าอยู่แล้วนะ”
“เฮ้อ จริงๆ เลย แต่งงานกันมาเป็นยี่สิบปีแล้ว เหตุใดยังหวานกันอยู่อีกนะ น่าอิจฉายิ่ง”
“ได้ยินว่าเคานต์ลาสเซลส์ก็หวานกับเจ้าจนน่าขนลุกเลยมิใช่หรือ หรือข้าได้ยินมาผิด?”
“อย่าได้ตรัสถึงเลยเพคะ ฝ่าบาท เขาอ่อนโยนก็จริงแต่บางครั้งหม่อมฉันก็รู้สึกเหมือนเลี้ยงลูกสองคน”
ราฟาเอลาเบะปากบ่นแต่ครู่ต่อมานางก็กลับคำ
“แต่ก็…ในสายตาของหม่อมฉันก็มองว่านั่นเป็นของขวัญที่วิเศษที่สุดอย่างที่พระองค์ว่านั่นแหละเพคะ”
“ฮ่าๆ”
ได้ฟังดังนั้นแพทริเซียก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว พวกนางพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่นางกำนัลคนอื่นๆ จะเริ่มทยอยกันเข้ามาช่วยแพทริเซียเตรียมตัว เครื่องแต่งกายของนางในวันนี้เป็นชุดเดรสสีทองหรูหราเข้าคู่กับสร้อยเพชรที่ส่องประกายระยิบระยับ แม้แพทริเซียจะรู้สึกว่ามันเกินไปหน่อย แต่นางกำนัลกลับยืนกรานเสียงเข้มว่า ‘นานๆ จะได้เสวยพระกระยาหารค่ำร่วมกับพระจักรพรรดิทั้งที ต้องแต่งแบบนี้แหละเพคะ’ สุดท้ายแพทริเซียก็ต้องทำตามที่พวกนางว่า
“ฝ่าบาท พระจักรพรรดิเสด็จเพคะ”
ตอนนั้นเองเสียงของนางกำนัลก็ดังมาจากด้านนอก ให้ตายเถอะ รอสักประเดี๋ยวไม่ได้หรือไร ต้องมาหาถึงนี่เชียวหรือ แพทริเซียกะพริบตาปริบๆ ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไป
“เชิญเสด็จ”
ไม่นานประตูก็เปิดออกเผยให้เห็นลูซิโอที่อยู่ในชุดเครื่องแบบเต็มยศสีกรมท่า ราฟาเอลาพาเหล่านางกำนัลออกไปอย่างรู้งาน ครั้นเห็นรูปลักษณ์ทรงเสน่ห์ไม่แปรเปลี่ยนของเขา แพทริเซียก็คลี่ยิ้มโดยอัตโนมัติและกล่าวออกมาจากใจ
“วันนี้ทรงพระสิริโฉมมากเพคะ แม้ปกติจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้วก็เถอะ”
“อาจจะฟังดูซ้ำซากจำเจ แต่วันนี้เจ้างดงามเหมือนเทพีที่ลงมาจากสวรรค์เลย”
“ซ้ำซากจำเจจริงๆ ด้วยเพคะ”
แพทริเซียหัวเราะเบาๆ และเข้าไปหาลูซิโอ นางจัดแจงเสื้อที่ยับยู่เล็กน้อยของเขาให้เข้าที่และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หม่อมฉันกำลังจะออกไปพอดี ทรงคิดถึงหม่อมฉันมากขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ”
“ต่อให้พบหน้าเจ้าแล้วก็ยังไม่พอ ตอนที่ไม่ได้พบหน้ายิ่งแล้วใหญ่ ถ้าไม่ขัดต่อกฎมณเฑียรบาล เราคงสั่งปิดตายตำหนักจักรพรรดินีเสียเดี๋ยวนี้เพื่อให้เจ้าอยู่แต่ในห้องของเราเท่านั้น”
แพทริเซียรู้ว่าเขาพูดออกมาจากใจจึงคลี่ยิ้มอย่างไม่รังเกียจ นางรักความอยากเป็นเจ้าของ อยากครอบครองไว้เพียงผู้เดียว และความรักของเขาซึ่งเป็นพื้นฐานของทุกสิ่งอย่างที่ว่ามานี้ และหากจะกล่าวตามจริง แพทริเซียเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน แพทริเซียเขย่งเท้าขึ้นเบาๆ เอามือคล้องคอลูซิโอไว้และมอบจุมพิตให้เขา การจูบในยามที่ไม่มีใครเห็นยังคงหอมหวานดังเช่นทุกครั้ง
“ฮา…”
ผ่านไปครู่ใหญ่ นางจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นสบตากับดวงตาสีนิลของอีกฝ่าย แพทริเซียมองใบหน้าขึ้นสีระเรื่อของลูซิโอด้วยแววตารักใคร่ก่อนจะประทับจูบเบาๆ ลงบนส่วนที่แดงที่สุด
“ที่จริงหม่อมฉันอยากทำมากกว่านี้…แต่ขืนทำเช่นนั้นอาหารคงจะชืดเสียหมด จริงไหมเพคะ” นางกระซิบข้างหูเขา
“กลางคืนยาวนานกว่าหัวค่ำ และเช้ามืดยาวนานกว่ากลางคืน ริซซี่”
ลูซิโอหัวเราะเสียงแผ่วแล้วจูบริมฝีปากของแพทริเซียเบาๆ
“ตอนนี้เราคงต้องเก็บไว้ครั้งหน้า”