น้ำเสียงนั้นช่างคุ้นหู แม้จะได้ยินไม่บ่อยนัก แต่ก็เป็นเสียงที่เพิ่งผ่านหูนางไปเมื่อครู่ใหญ่ๆ ก่อนหน้านี้ไม่ผิดแน่ แพทริเซียหันหลังกลับไปสบสายตาอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ
“พระ…จักรพรรดิ”
“ดึกดื่นเช่นนี้เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
แพทริเซียรีบเช็ดน้ำตาออกด้วยอารามตกใจ นางร้องไห้ต่อหน้าคนที่นางไม่อยากให้เห็นน้ำตาของตัวเองที่สุดเข้าเสียแล้ว หญิงสาวพยายามลืมตาให้กว้างขึ้นด้วยรู้สึกว่าเสียศักดิ์ศรี และจ้องมองร่างของจักรพรรดิที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
“…ฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่ด้วยเหตุอันใดหรือเพคะ”
“เราถามเจ้าก่อนนะ”
“…”
เมื่อเขายังทู่ซี้ แพทริเซียจึงตอบกลับไปส่งๆ
“เห็นว่าแสงจันทร์งดงามนัก หม่อมฉันจึงออกมาอาบแสงจันทร์เพคะ”
“ที่แก้มเจ้ายังมีรอยน้ำตาอยู่เลยนะ”
แพทริเซียหน้าแดงรีบเช็ดน้ำตาเพราะเขาพูดจี้ใจดำ ทีอย่างนี้ละตาดีจริงเชียว
“นี่น้ำลายเพคะ” นางตอบแก้ตัวด้วยน้ำเสียงลนลาน
“…”
ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าประหลาดใจ แพทริเซียก็ยิ่งรู้สึกอาย บ้าจริง ขุดหลุมฝังตัวเองแท้ๆ นางถอนหายใจออกมา และในตอนนั้นเอง อะไรบางอย่างก็ถูกยื่นมาตรงหน้า ลูซิโอยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ แต่นางกลับปฏิเสธด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ไม่เป็นไรเพคะ”
เขาว่ากันว่าหากคนทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนหมายความว่าคนคนนั้นกำลังจะตาย โกหกทั้งเพ ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้าตอนนี้ อย่างน้อยก็ยังต้องมีชีวิตอยู่จนกว่าข้าจะให้กำเนิดรัชทายาท
ลูซิโอยังคงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ แม้ว่าแพทริเซียจะปฏิเสธออกมาตรงๆ แล้วก็ตาม หญิงสาวจำต้องรับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมา เพราะหากปฏิเสธจนถึงที่สุดก็จะดูไม่สุภาพ นางนำผ้าไปซับตรงแก้มที่ตอนนี้เกือบจะแห้งสนิทแล้ว แต่จู่ๆ นางก็นึกสนุกจึงนำผ้านั้นมาปิดจมูกและสั่งน้ำมูกออกมา
สั่งแรงเสียด้วย
แพทริเซียมองลูซิโอที่ยืนตะลึงอยู่ตรงหน้าด้วยความสนุกสนาน
“หม่อมฉันจะซักคืนให้เพคะ ไม่ต้องทำสีพระพักตร์แปลกๆ เช่นนั้นก็ได้” นางพูดกับเขาพลางหัวเราะคิกคักในใจ
“ผ้าเช็ดหน้าผืนสำคัญ นำมาคืนเราด้วยล่ะ”
ผ้าเช็ดหน้าผืนสำคัญ? สงสัยจะได้มาจากโรสมอนด์กระมัง แพทริเซียถามเย้าด้วยความอยากแกล้ง
“บารอเนสเฟ็ลปส์ให้มาหรือเพคะ”
“…เปล่า”
ในเมื่อปฏิเสธแล้ว ประโยคต่อไปก็ควรจะบอกว่าใครเป็นผู้ให้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มาแต่ลูซิโอกลับไม่ได้พูดอะไรต่อ แพทริเซียคิดว่าลูซิโอช่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลยในขณะที่มือก็พับผ้าเช็ดหน้าเปื้อนน้ำมูกเฉอะแฉะอย่างดี ใครจะให้มาก็แล้วแต่ แต่เอาผ้าเช็ดหน้าของคนอื่นมาใช้แล้วก็ต้องซักก่อนจะคืนให้
“ขอบพระทัยเพคะ”
“เจ้าร้องไห้หรือ”
“…”
ดูความหน้าไม่อายนั่นสิ เห็นๆ อยู่ยังจะถามอีก แพทริเซียปิดบังสีหน้าเหลือเชื่อไว้และไม่พูดอะไร ความเงียบครอบคลุมอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดนางก็ทนความอึดอัดไม่ไหวจึงตัดสินใจที่จะขอตัวออกไปก่อน พูดตามตรงคือบรรยากาศและสถานการณ์ตอนนี้น่าอึดอึดใจอย่างมาก
ขณะที่แพทริเซียทำท่าจะหันกายเพื่อเดินออกจากสวนนั้น แสงจันทร์ก็สาดส่องลงมาที่ใบหน้าของลูซิโอพอดี ครั้นแพทริเซียเห็นใบหน้าของเขา นางก็ตกใจ
‘ปกติแล้ว…ใบหน้าของเขาขาวซีดเช่นนี้หรือ’
ใบหน้าของลูซิโอขาวจนซีดมากกว่าปกติ บนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งหมดนั้นเพียงพอที่จะทำให้แพทริเซียเกิดความสงสัย แต่โชคร้ายที่ไม่ว่าเขาจะมีเรื่องอะไรและจะอยู่ในสภาพใด นางทั้งเหนื่อย ทั้งยุ่ง และไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจเรื่องแบบนี้
เพราะฉะนั้นนางคงจะสามารถเดินจากไปได้โดยไม่คิดอะไร จนกระทั่งเขารั้งนางไว้
“…อย่าไป”
“…”
แพทริเซียแค่นหัวเราะออกมา เมื่อครู่เขาขอไม่ให้ข้าไปอย่างนั้นหรือ ทำไม? เพราะอะไร? ในที่สุดนางก็หันมา สีหน้าของเขายังคงดูไม่ดี ราวกับกำลังทุกข์ใจ
“สีพระพักตร์ไม่ดีเลยเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
“เสด็จไปหาบารอเนสเฟ็ลปส์เถอะเพคะ นางมิใช่หญิงที่ทรงรักหนักหนาหรอกหรือเพคะ”
“…”
“นางคงดูแลพระองค์ได้ดีกว่าหม่อมฉัน ทั้งการปลอบพระทัย และเรื่องอื่นๆ”
แพทริเซียทิ้งถ้อยคำเย็นชาเอาไว้และหันหลังกลับอย่างไม่ไยดี นางไม่มีทั้งความเมตตาและความรักให้ผู้ชายคนนี้ อย่างที่ว่า นางเหนื่อยเกินกว่าที่จะทำดีด้วย นางเหนื่อยเกินกว่าที่จะมีอารมณ์ทำเช่นนั้น
แพทริเซียเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ฝนก็เริ่มตกลงมาทีละเม็ดสองเม็ดจนในที่สุดก็ตกหนัก นางถอดเสื้อคลุมที่สวมอยู่มาคลุมหัวและออกวิ่ง
วิ่งมาได้สักครู่ แวบหนึ่งนางนึกถึงลูซิโอที่ถูกทิ้งไว้คนเดียวในสวนขึ้นมา หญิงสาวมุ่นหัวคิ้ว
คงไปแล้วกระมัง คงไปแล้วล่ะ แต่มันก็เงียบเกินกว่าที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะทางเดินจากสวนไปยังตำหนักกลางมีเพียงเส้นทางนี้เท่านั้น
แพทริเซียกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว อย่าไปสนใจเลย แพทริเซีย ผู้ชายคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าสักนิด แพทริเซียหมุนตัวกลับและเริ่มวิ่งอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ก็ไปได้ไม่ไกล
สายฝนเริ่มซึมมาตามเนื้อตัวของนางที่หยุดนิ่งอยู่กับที่ หญิงสาวสบถออกมาเบาๆ
“บ้าจริง”
จะไม่สนใจได้อย่างไร ถ้าไม่เห็นก็ว่าไปอย่าง นี่เห็นๆ อยู่ว่าเขาน่าจะกำลังตากฝน นางเดินไปเดินมาอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าคล้ายใกล้จะสติแตก ก่อนจะวิ่งกลับไปยังที่ที่ชายคนนั้นอยู่ พลางต่อว่าตัวเองในใจว่า ‘บ้าเอ๊ย ห่วงตัวเองก่อนเถอะ จะไปห่วงเขาทำไม’ ไปตลอดทาง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะนางไม่ร้ายกาจพอที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นทั้งๆ ที่ชายคนนั้นยืนตากฝนอยู่คนเดียว
“แฮ่ก แฮ่ก”
นางวิ่งมาไกลพอสมควรจนกระทั่งมาถึงริมทะเลสาบเมื่อครู่นี้ และพบลูซิโอยืนเหม่ออยู่ใกล้ๆ ริมทะเลสาบนั้น นางไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเขาจึงยืนทำสีหน้าไร้เรี่ยวแรงอยู่ตรงนั้นราวกับละทิ้งทุกอย่างบนโลก แต่จะถามออกไปก็เกรงว่าสถานการณ์จะไม่เป็นใจนัก
รองเท้าส้นสูงของหญิงสาวย่ำน้ำสาดกระเซ็นขณะก้าวเข้าไปหาร่างสูง และเมื่อนั้นเขาก็หันมามองนาง สายตาว่างเปล่านั้นทำเอาแพทริเซียสะดุ้งวูบหนึ่ง แต่นางก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“เสียสติไปแล้วหรือเพคะ” นางถาม
“…”
“จะสร้างโทษให้หม่อมฉันฐานทำให้ประชวรหรืออย่างไร”
“…”
“รีบเสด็จเถอะเพคะ พระองค์กระทำอันใดอยู่ พระเศียรไปกระทบอะไรมาหรือเปล่าเพคะ”
“…”
แพทริเซียกำลังจะอกแตกตายที่เห็นเขาไม่หือไม่อือราวกับเป็นรูปปั้น แต่นางก็รีบปรับอารมณ์และนำเสื้อคลุมที่คลุมศีรษะตนไปพันตัวเขา ทั้งไม่ลืมที่จะคลุมไปจนถึงศีรษะของเขาด้วย
แพทริเซียรู้สึกกระดากอายที่ต้องมาทำอะไรเช่นนี้แทนโรสมอนด์ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ใจตนอยากจะไปบอกโรสมอนด์ว่าให้มาดูแลฝ่าบาทของนางเสีย แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เป็นใจให้ทำเช่นนั้น แพทริเซียถอดเสื้อผืนหนึ่งซึ่งทำจากผ้ามัสลินออกมาพันศีรษะไว้และพูดกับลูซิโอ
“รีบเสด็จเถอะเพคะ”
“…”
“ฝ่าบาท!”
นี่ข้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่ ผู้ชายคนนี้วางแผนที่จะทำให้ข้าอกแตกตายไม่ผิดแน่ หรือเขาอยากให้ข้าล้มป่วยจากการตากฝนอยู่ตรงนี้? แพทริเซียแสดงสีหน้าไม่พอใจและพูดกับเขาด้วยเสียงที่ดังขึ้น
“ฝนตกแรงขึ้นแล้วนะเพคะ หากทรงอยากประชวรนักก็ประชวรพระองค์เดียว อย่าทำให้ผู้อื่นต้องเป็นห่วงสิเพคะ”
“…”
ลูซิโอยังคงยืนนิ่งเป็นรูปปั้นไม่พูดไม่จา แพทริเซียจึงจูงมือเขาให้เดินตามราวกับว่านางทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว หากจะทิ้งไว้อย่างน้อยก็ให้ไปอยู่ในที่ที่มีคนผ่านไปผ่านมาก็แล้วกัน ขืนทิ้งไว้ตรงนี้อาจเกิดเรื่องน่ารำคาญขึ้นได้ ดีไม่ดีเรื่องวันนี้อาจถูกโยนให้เป็นความผิดของนางทั้งหมด
ในใจของหญิงสาวเอาแต่บ่นว่า ‘ข้าบ้าไปแล้ว ข้าบ้าไปแล้ว’ ไม่หยุด นางออกแรงดึงให้เขาเดินตามมาเรื่อยๆ น่าแปลกที่เขายอมให้นางจูงเดินง่ายๆ ต่างจากปกติ
เมื่อพ้นจากสวนมาแล้ว แพทริเซียก็เงยหน้ามองท้องฟ้า ฝนที่เริ่มตกกลางดึกเช่นนี้คงไม่หยุดง่ายๆ
แพทริเซียเลื่อนสายตาไปมองลูซิโอ เขายังคงทำหน้าเหม่อลอย มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมคนเราถึงจิตหลุดได้ในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ แพทริเซียถามออกไปด้วยสีหน้างุนงง
“หม่อมฉันไม่ต้องเชิญเสด็จไปถึงตำหนักกลางใช่ไหมเพคะ”
“…”
ลูซิโอยังคงไม่พูด แพทริเซียรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า นางเริ่มสงสัยแล้วว่าผู้ชายคนนี้จู่ๆ เป็นอะไรไป
“ตรัสอะไรสักนิดมิได้หรือเพคะ ฝ่าบาท พระองค์ตั้งใจจะให้หม่อมฉันอึดอัดใจตาย หรือทรงอยากจะให้ทั้งหม่อมฉันและพระองค์เป็นหวัดตายไปด้วยกันตรงนี้หรือเพคะ” แพทริเซียถามอย่างเร่งเร้า
“…”
จะบ้าตาย เดิมทีเขาเป็นคนที่น่าอึดอัดใจเช่นนี้หรือเปล่านะ ก่อนอื่นถ้านางกับเขายังอยู่ตรงนี้ต้องเป็นหวัดกันทั้งคู่เป็นแน่ นางจึงตั้งใจว่าจะไม่ซักไซ้อะไรต่อและใช้กำลังทำให้ร่างสูงขยับตัว
แม้ใจอยากจะพาเขากลับตำหนักกลาง แต่ระยะทางจากตรงนี้ไปถึงตำหนักกลางนั้นไกลเกินไป สุดท้ายนางก็จนใจที่ต้องเลือกทางที่ไม่อยากเลือกมากที่สุด
“ก่อนอื่นไปตำหนักของหม่อมฉันก่อนเถอะเพคะ ทำพระวรกายให้แห้งก่อนแล้วค่อยเสด็จกลับ ขืนยังเป็นเช่นนี้ พวกเราต้องแย่แน่”
“…”
เขายังคงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา แต่นางก็ยังจูงมือเขาไปถึงตำหนักจักรพรรดินีโดยไม่สนใจอะไร เพราะคราวนี้แพทริเซียไม่ได้คาดหวังคำตอบอะไรอยู่แล้ว แน่นอนว่าทั้งนางกำนัลและข้ารับใช้ของตำหนักจักรพรรดินีต่างก็ตกอกตกใจ ข้อแรก เพราะนายหญิงของพวกนางกับพระจักรพรรดิปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน และข้อสอง ทั้งคู่อยู่ในสภาพเปียกปอน
แพทริเซียไม่สนใจสายตาเหล่านั้นและพยายามลากลูซิโอไปจนถึงห้องของตน ซึ่งแน่นอนว่ามีร์ยาก็มีท่าทีตกตะตึงก่อนจะถามความเป็นมา
“ฝะ…ฝ่าบาท…นี่มันเกิดอะไร…”
“ไว้อธิบายทีหลังนะคะ ก่อนอื่นจุดไฟในห้องแล้วไปหาผ้าแห้งๆ มาให้ที เอามาเยอะๆ เลยค่ะ”
“เพคะ ทราบแล้วเพคะ”
มีร์ยาตอบอย่างลนลาน ส่วนแพทริเซียหันไปปลดเปลื้องเสื้อคลุมของตนออกจากร่างของลูซิโอที่ยังคงทำหน้าเหมือนคนกำลังจะตาย แน่นอนว่าภายใต้เสื้อคลุมนั้นเปียกโชก เขาดูหนาวมากเพราะอยู่ในชุดนอน
ชุดผ้าไหมบางๆ เปียกน้ำจนแนบไปกับลำตัวเผยให้เห็นส่วนนูนส่วนเว้าของร่างกายอีกฝ่ายอย่างชัดเจน แต่แพทริเซียไม่ได้สนใจ กลับถอดเสื้อผ้ามัสลินที่นางเอามาพันตัวออก ชุดเดรสของนางเองก็เปียกน้ำจนแนบไปกับลำตัวเช่นกัน
“…”
แม้จะทำเหมือนว่าไม่สนใจอีกฝ่าย แต่หญิงสาวกลับอายมากกว่าที่คิด นางคิดว่าถ้ามีร์ยากลับมาเมื่อใด นางต้องรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
โชคดีที่มีร์ยาและบรรดาข้ารับใช้นำของที่นางไหว้วานมาให้อย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกนางก็เช็ดเนื้อเช็ดตัวจักรพรรดิให้แห้งตามที่นางสั่ง ส่วนแพทริเซียบอกไว้ว่าจะกลับมาหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ จากนั้นนางก็หอบเอาผ้าเช็ดตัวกองใหญ่เข้าไปในห้องแต่งตัว
เสื้อผ้าของแพทริเซียถูกเปลี่ยนเป็นชุดสีขาวที่แห้งสนิท นางจัดการกับเรือนผมที่เปียกชุ่มก่อนจะกลับเข้ามาในห้อง เมื่อกลับเข้ามาก็พบว่าลูซิโอหลับไม่รู้เรื่องไปแล้ว แพทริเซียตกใจพลางเอ่ยถามมีร์ยา
“เหตุใดฝ่าบาทจึงบรรทมที่ห้องของข้าหรือคะ มีร์ยา”
ทว่า มีร์ยาเพียงแค่ยักไหล่และทำหน้าเจื่อนๆ ราวกับจะบอกว่าเรื่องนั้นตัวนางเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ต่อให้แพทริเซียไม่ไยดีผู้ชายคนนี้เพียงใด แต่จะให้ปลุกคนที่หลับสนิทก็กระไรอยู่ อีกทั้งฝนที่ตกอยู่ด้านนอกก็ไม่รู้จะหยุดเมื่อใด หญิงสาวถอนหายใจยาว ก่อนจะออกคำสั่งกับมีร์ยา
“มีร์ยา พาฝ่าบาทไปที่เตียงของข้าเถอะค่ะ”
“แล้วพระองค์เล่าเพคะ พระองค์จะบรรทมที่ใด”
“ข้างๆ มีห้องว่างใช่ไหมคะ ข้าไปนอนที่นั่นก็ได้ค่ะ ไม่ต้องห่วง อ้อ ช่วยไปจุดไฟที่ห้องนั้นให้ทีนะคะ”
“บรรทมเสียด้วยกันเลยก็ได้นี่เพคะ…”
แม้มีร์ยาจะพยายามอธิบายต่อไปว่าเตียงนอนกว้างเพียงใด แต่เมื่อแพทริเซียมองมาด้วยหางตานางก็รีบหุบปาก น่าเสียดายที่แพทริเซียไม่คิดจะร่วมเตียงกับลูซิโอ อย่างน้อยก็ในตอนนี้
การร่วมเตียงกับจักรพรรดิเพื่อให้กำเนิดรัชทายาทจะเริ่มหลังจากนี้ก็ไม่สาย แพทริเซียพูดกับมีร์ยาด้วยสีหน้าอ่อนล้า
“ดูแลฝ่าบาทด้วยนะคะ ข้าจะได้ไม่ต้องมาสนใจเรื่องในห้องนี้อีก พระองค์ตากฝนอยู่นาน ดึกๆ อาจประชวรเอาได้”
“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันจะทำตามรับสั่ง”
พูดจบ แพทริเซียก็เดินไปยังห้องข้างๆ ซึ่งจะเป็นที่ซุกหัวนอนของตนในคืนนี้อย่างไม่ไยดี แม้นางจะหงุดหงิดด้วยรู้สึกว่าคนที่ควรไปนอนอีกห้องไม่ควรจะเป็นนาง แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะหากจะพูดกันตามจริงแล้ว ตำหนักจักรพรรดินีแห่งนี้ก็ถือเป็นทรัพย์สมบัติของจักรพรรดิเช่นกัน
เนื่องจากยังไม่ได้จุดไฟ แพทริเซียจึงต้องนอนลงบนเตียงในห้องที่หนาวเย็น สีหน้าของนางอ่อนล้า ท่าทางนางคงจะเป็นหวัดก่อนเขา เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในคืนนี้คือการนอนหลับให้ลึก